กระบี่เล่มนั้นที่หลิวเจี้ยนเห็น เป็นกระบี่ที่ฝังตัวอยู่ในฝักกระบี่สีเทาควันบุหรี่
ตรงด้ามจับถูกพันไว้ด้วยผ้าเนื้อนุ่มที่ถูกถักเป็นรูปมังกรด้วยด้ายสีขาวขณะที่พื้นหลังจะเป็นผ้าสีดำ ตรงโกร่งกระบี่ทำจากไม้เนื้อแข็งที่ถูกสลักเป็นลวดลายคล้ายเกลียวคลื่น ส่วนตรงกลางของโกร่งกระบี่นั้นถูกแกะขึ้นรูปเป็นอักษรที่อ่านว่า 'หลิว'
“นี่คือกระบี่เล่มแรกและเล่มเดียวที่ย่าสั่งช่างตีเหล็กสร้างขึ้นเพื่อเป็นของขวัญของพ่อของหลานหลังจากเขาชนะในศึกปัญจมิตร” คนเป็นย่าพูดออกมา ภาพในครั้งอดีตพลันผุดขึ้นมาในหัวสมอง ภาพของการกระโดดโลดเต้นดีใจของหลิวหลงครั้งที่ได้เห็นกระบี่เล่มนี้ยังตรึงอยู่ในใจของหญิงชรานางนี้อย่างไม่จืดจาง ภาพรอยยิ้มนั้น ภาพความดีใจนั้น ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นานมานี้
“กระบี่เล่มนี้พ่อของหลานตั้งชื่อให้มันว่า 'กระแสธารา' เป็นกระบี่ระดับจิตวิญญาณ”
หลิวเจี้ยนค่อย ๆ ใช้มือช้อนกระบี่เล่มนั้นขึ้นมาอย่างทะนุถนอม แต่ส่วนตัวแล้ว หลิวเจี้ยนกลับรู้สึกว่ากระบี่เล่มนี้เบาเกิดไปไม่ได้น้ำหนัก เวลาฟันหรือโบกสะบัดคงต้องเพิ่มแรงใส่เข้าไปอีกถึงจะฟันอะไรขาดได้ ด้ามกระบี่เองก็ยังให้ความรู้สึกที่ไม่พอดีไปสักหน่อย รวม ๆ แล้วตัวหลิวเจี้ยนไม่ค่อยประทับใจในตัวกระบี่เล่มนี้สักเท่าไหร่ แต่ด้วยการที่เป็นกระบี่เก่าของคนเป็นพ่อที่ท่านย่าของมันอุตส่าห์นำออกมา หลิวเจี้ยนจึงได้พยายามเก็บอาการเอาไว้ก่อนพยายามดึงกระบี่ออกจากฝักมาดู
ทว่าหลิวเจี้ยนพยายามจะดึงกระบี่ออกจากฝักเท่าไหร่ ใช้แรงมากขนาดไหน ตัวกระบี่กลับยังคงติดแน่น..ฝังตัวติดกับฝักราวกับว่าของสองสิ่งผสานกลายเป็นเนื้อเดียวกันไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
“มันเป็นกระบี่ระดับจิตวิญญาณ.. หากคิดจะดึงออกจากฝัก หลานต้องใช้พลังปราณช่วยในการดึง แล้วหลังจากดึงออกมาแล้ว หลานต้องใช้ใบของกระบี่กรีดเลือดรดลงบนใบของกระบี่ ชโลมให้ทั่วตัวใบของมันพร้อมทั้งใช้พลังปราณไปด้วย ถือเป็นการทำพันธสัญญาของผู้ถือศาสตราและตัวของศาสตรา”
เห็นท่าทางสุดเงอะงะของหลาน คนเป็นย่าจึงได้รีบบอกวิธีการในการดึงและการทำสัญญาณระหว่างคนและกระบี่
หลิวเจี้ยนทำปากเป็นรูปตัว ' O ' พร้อมกับร้อง 'อ๋อ' เบา ๆ ก่อนลงมือกระทำตามอย่างที่ย่าของมันบอก
หลิวเจี้ยนค่อย ๆ เร่งพลังปราณออกมา แต่ด้วยตัวคนกลัวว่าอัตลักษณ์ของมันที่ไม่มีเหมือนคนอื่น ที่ตัวของมันมีพลังปราณถึงสามสายภายในร่าง
ด้วยเหตุนั้น หลิวเจี้ยนจึงเรียกพลังปราณทั้งสามสายออกมาจนเกิดเป็นพลังปราณสีคราม..ทอง..ชาดที่หมุนวนบิดเป็นเกลียวสามสีขึ้นที่กระบี่กระแสธารา
ทันในนั้นเอง กระบี่ที่ชักออกจากฝักไม่ได้จึงสามารถดึงออกจากฝักนั้นได้อย่างง่ายดายโดยแทบไม่ต้องออกแรง
ตัวใบของกระบี่นั้น ก็เหมือนกระบี่ทั่วไปที่มีสองคม แต่ที่แตกต่างจากกระบี่เล่มอื่นนั้น คือสีใบกระบี่ที่เป็นสีครามที่คล้ายกับกระบี่ครามของหลิวเจี้ยนเพียงแต่กระแสธารานั้นเป็นสีครามท้องฟ้าที่ให้ความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจ ดูแล้วช่างสวยงามยิ่งนัก
“ใช้มือขวานะหลานรัก.. ต้องให้ตัวกระบี่จดจำพลังสถิตของหลานด้วย” คนเป็นย่ากล่าวออกมาด้วยรู้ว่าลืมที่จะบอกในจุดนั้นไป
หลิวเจี้ยนผงกหัวรับรู้ก่อนจะเปลี่ยนมือข้างที่จับกระบี่จากขวาเป็นซ้ายแล้วจึงใช้มือขวานั้นกำไปที่ใบของกระบี่แล้วจึงลูบมือผ่านใบคมนั้นจนเกิดเป็นแผล
หลิวเจี้ยนกัดฟันทนเจ็บ ลูบฝ่ามือที่มีแผลชโลมโลหิตของตนเองไปทั่วตัวใบของกระบี่ ในจังหวะนั้นเอง หูของหลิวเจี้ยนพลันได้ยินเสียง 'ตุ๊บ ๆ ' คล้ายกับเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจ และในช่วงเวลานั้น ปานรูปมังกรของหลิวเจี้ยนก็ได้ส่องแสงสว่างสีทองออกมา สว่างเสียจนคนที่อยู่ตรงนั้นต้องยกมือขึ้นมาป้องตาจากแสงสุดแรงกล้านั้น
จนเมื่อแสงสีทองนั้นค่อย ๆ จางหายไป มือซ้ายของหลิวเจี้ยนที่เคยจับกระบี่กระแสธาราอยู่พลันรู้สึกว่างเปล่า ทำเอาตัวหลิวเจี้ยนที่เปิดตาขึ้นมาแล้วมองหากระบี่ของตนเองไม่พบ
“พันธสัญญาเป็นอันเสร็จสิ้น” หลิวเล่าฮูหยินกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ตอนนี้เพียงหลานขับเคลื่อนพลังปราณแล้วนึกถึงหรือเรียกกระแสธาราภายในใจ กระบี่ของหลานก็จะปรากฏขึ้นที่มือข้างถนัดของหลาน”
หลิวเจี้ยนผงกหัวรับรู้ก่อนเพ่งสมาธิเรียกหากระแสธาราอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง กระแสธารานั้นจึงได้ปรากฏออกมาอยู่ที่มือขวาของหลิวเจี้ยนราวกับคว้าอากาศขึ้นมาเป็นของแข็งก็มิปาน
“อย่างไร.. เหมาะมือหลานดีหรือไม่” รอยยิ้มของคนเป็นย่ายังไม่จืดจางในตอนที่กล่าว
ด้วยคำพูดของหลิวเล่าฮูหยิน หลิวเจี้ยนจึงรู้สึกว่ากระบี่เล่มนี้จากที่เคยเบาเกินไปและจับได้ไม่ถนัดมือนัก กลับกลายเป็นกระบี่ที่มีน้ำหนักที่พอเหมาะ อีกด้ามจับเองยังสุดแสนกระชับมือ จากความรู้สึกแรกที่ดูไม่ชอบใจ กลับเปลี่ยนไปในทันที
ตอนนี้หลิวเจี้ยนรู้สึกชอบกระบี่เล่มนี้เป็นอย่างมาก หากไม่ติดว่าที่นี่คือสุสานประจำตระกูล มีร่างอันไร้วิญญาณของบรรพบุรุษหลายต่อหลายรุ่นสิงสถิตอยู่ ป่านนี้หลิวเจี้ยนคงกระโจนออกไปร่ายรำเพลงกระบี่ด้วยความเห่อของใหม่ของมันแล้ว ที่ทำได้ในตอนนี้คือการโบกสะบัดกระแสธาราไปมาเท่านั้น
แต่ทว่าในช่วงที่ตัวคนลองโบกกระบี่เล่มเก่าของพ่อของมันนั้น หลิวเจี้ยนก็ได้ยินเสียงคล้ายคลื่นทะเลแทนเสียงของกระบี่ที่กรีดผ่าอากาศ แถมความรู้สึกที่ให้นั้นยังรู้สึกปลอดโปร่งคล้ายการมองเมฆบนท้องฟ้าที่ไม่มีพิษไม่มีภัย
“น้ำหนักโอเค....เอ่อ.... ข้าหมายถึงข้าชอบมากเลยท่านย่า มีเสียงคลื่นด้วยตอนที่ข้าโบก..” ในชีวิตนี้ของหลิวเจี้ยน ไม่เคยเจอกระบี่ที่ถูกใจมากขนาดนี้มากก่อน ขนาดกระบี่ครามที่หลิวเจี้ยนใช่เป็นอาวุธประจำตัวมานานยังเทียบไม่ได้กับกระบี่เล่มนี้เลย
“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้วหลานรัก กระแสธาราคือกระบี่ระดับจิตวิญญาณ แล้วศาสตราจำพวกจิตวิญญาณขึ้นไปส่วนใหญ่แล้วจะปรับเปลี่ยนน้ำหนักไปตามความต้องการของผู้ทำพันธสัญญา เรื่องการจับถือได้อย่างถนัดถนี่เองก็เช่นเดียวกัน” คนเป็นย่าเอ่ยอธิบายอีกครั้ง ก่อนที่จะชี้นิ้วไปทางด้านฟ้าเบื้องบน “ทีนี้หลานลองขว้างกระแสธาราออกไปแล้วลองเพ่งจิตเรียกหามันดู”
สิ้นคำกล่าวของคนเป็นย่า หลิวเจี้ยนจึงได้ลองออกแรงเกร็งกำลังแขนแล้วจึงขว้างกระบี่กระแสธาราให้เหินสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า
ตัวกระบี่ค่อย ๆ ลอยสูงขึ้นจากห้าเมตร..สิบเมตร..สิบห้าเมตรไปเรื่อย ๆ จนสิ้นสุดที่สามสิบเมตรก่อนที่จะล่วงกลับลงมา
ในระหว่างนั้นตัวของหลิวเจี้ยนก็ได้เพ่งสมาธิเรียกหากระแสธาราอยู่ในใจ
เผลอแผล็บเดียว กระแสธาราที่กำลังล่วงลงตามแรงดึงดูดของโลกก็กลับมาอยู่ในมือของหลิวเจี้ยนอีกครั้งภายในสามถึงสี่วินาทีให้หลัง
“อย่างไร.. สะดวกขึ้นหรือไม่เจี้ยนเจี้ยนเอ๋อร์ของย่า”
“เยี่ยมเลยท่านย่า..” ตอนนี้หลิวเจี้ยนดีใจเป็นอย่างมาก มันอยากกลับไปฝึกวิชาด้วยกระบี่ใหม่ของตนเองเสียเต็มแก่แล้ว
แต่ในขณะที่หลิวเจี้ยนกำลังดีใจอยู่ และหลิวเล่าฮูหยินกำลังยิ้มออกมา หลินซินที่ช่วยประคองแขนหญิงชราอยู่นั้นก็รับรู้อะไรบางอย่างได้
ด้วยความที่นางอยู่กับหลิวเล่าฮูหยินมาตั้งแต่เล็ก บางครั้งหญิงชราไม่จำเป็นต้องเอ่ยหลินซินก็เข้าใจได้ว่านายหญิงของนางนั้นต้องการอะไร ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน หลินซินรับรู้ได้ผ่านการจับประคองแขนของหลิวเล่าฮูหยิน ว่าตอนนี้หญิงชรานั้นรู้สึกกังวลใจ บรรยากาศรอบ ๆ ตัวเองก็ดูไม่เหมือนปกติที่ควรจะเป็น
ด้วยเหตุนั้นหลินซินจึงได้อ้าเอ่ยถามออกไปด้วยความเป็นห่วง “นายหญิงเจ้าค่ะ.. เอ่อนายหญิง..”
“ข้าไม่เป็นอะไร..” หลิวเล่าฮูหยินรีบเอ่ยขัดออกมา พร้อมทั้งใช้มือขวาลูบลงบนหลังมือของสาวใช้ที่นางรักเหมือนลูกสาวเบา ๆ “ข้าไม่เป็นอะไรจริง ๆ ซินซินเอ๋อร์..”
รอยยิ้มของหลิวเจี้ยนพลันหุบลง สายตาของได้สะกดอยู่ลงบนรอยยิ้มของคนที่เป็นย่า
แม้หลิวเล่าฮูหยินจะยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่ได้ให้ความรู้สึกถึงความดีใจของคนที่แย้มออกมาเลย มันดูเหมือนรอยยิ้มที่ทำให้คนที่ยิ้มให้สบายใจมากกว่า
ในทันที หลิวเจี้ยนจึงได้เพ่งจิตเรียกเก็บกระแสธาราลงไป ทันใดนั้นกระบี่สีครามท้องฟ้าจึงได้อันตรธานหายไป ก่อนที่ตัวของบุรุษคิ้วบางจะรีบเสือกร่างของตนเองเดินตรงเข้าหาคนที่เป็นย่า
“มีอะไรหรือขอรับท่านย่า.. ท่านกังวลเรื่องใดอยู่รึ?”
“อ่า..” ในที่สุด รอยยิ้มที่คนเฒ่าคนชราพยายามปั้นแต่งมาเสียเนิ่นนานก็ได้จืดจางหายไป จากดวงตาที่เคยคว่ำหงายจึงได้คว่ำลงจนให้ความรู้สึกเศร้าสร้อย
“ย่ารู้สึกไม่ชอบใจเลยที่หลานถูกคนตระกูลตงเพ่งเล็งเช่นนี้ คนตระกูลนั้น.. พวกมันยังคงเป็นเช่นกาลครั้งก่อน อยากได้อะไรต้องได้ อะไรขวางหูขวางตาต้องตัดต้องเล็ม”
น้ำเสียงของหลิวเล่าฮูหยินนั้นฟังแล้วให้ความรู้สึกใจหาย คล้ายกับการเอ่ยบอกลาลูกหลานที่เป็นทหารเกณฑ์ที่รอออกทำศึกอย่างไรอย่างนั้น
“วันนี้ที่ย่ามอบกระแสธาราให้หลาน ไม่ใช่เพราะต้องการส่งเสริมหลานให้ได้รับชัยชนะจากศึกครั้งนี้เหมือนที่พ่อของหลานเคยทำ ย่าไม่ต้องการเช่นนั้น ย่าเพียงแต่หวังให้ดวงวิญญาณของหลงหลงเอ๋อร์ช่วยปกป้องหลาน ให้ปู่ของหลานช่วยนำทางหลานไปสู่หนทางที่ดี ให้เหล่าบรรพบุรุษตระกูลหลิวช่วยปกป้องหลานจากเภทภัยที่มองไม่เห็น ย่าไม่พร้อมเสียใครเป็นอีกแล้ว..”
ด้วยความกลัวจับใจ แม้ไม่รู้ว่าวิญญาณหรือภูตผีมีจริงหรือไม่ แต่หากทำให้นางสบายใจหรือทำให้หลานชายของนางพ้นภัยได้จริง ๆ หลิวเล่าฮูหยินก็พร้อมที่จะเชื่ออย่างนั้น
ขอเพียงบุรุษตรงหน้าสามารถกลับมาหานางได้อย่างปลอดภัย มันก็คุ้มที่จะเชื่อแบบนั้น
ฟังคำของคนเป็นย่า หลิวเจี้ยนก็รับรู้ได้ถึงความกังวลใจที่ถ่ายทอดมาผ่านประโยค..ผ่านน้ำเสียงและสายตา แต่กระนั้นหัวใจของบุรุษคิ้วบางใช่เกิดความกังวล
มันเป็นสิ่งตรงกันข้าม
หลิวเจี้ยนที่มีเพลิงไฟแห่งความมุ่งมั่นจุดติดอยู่ในใจ อัคคีสายนั้นยิ่งลุกโหมมากยิ่งขึ้น กระพือความมั่นอกมั่นใจออกมาผ่านใบหน้าและแววตา
“หลานเข้าใจที่ท่านย่ากล่าวทุกอย่าง แต่หลานไม่อาจรับปากได้ว่าหลานจะไม่บาดเจ็บ.. หรือสัญญากับท่านได้ว่าความบาดหมางระหว่างหลานและตงเสวี่ยซานจะยุติลงหลังจากจบศึก มีเพียงอย่างเดียวที่ข้าสามารถสัญญากับท่านได้..ท่านย่า”
มือขวาของคนกำขมวดแน่น ก่อนที่กำปั้นนั้นจะทุบลงบนแผ่นอกของคน อีกมือซ้ายเองก็ลูบจับไปที่มือข้างหนึ่งของคนเป็นย่า
“ข้าจะกลับมาหาท่านแบบครบสามสิบสอง จะไม่ให้มีส่วนใดตกหล่นหรือขาดทิ้งไว้บนสนามประลองสักส่วนเดียว นี่คือสิ่งเดียวที่ข้าจะสัญญากับท่านได้..ท่านย่า..”
ดวงตาที่ใกล้ฝ้าฟางของหลิวเล่าฮูหยินพลันเบิกออกกว้าง หลังจากที่นางได้ยินคำกล่าวในประโยคสุดท้ายของหลานชาย ภาพตรงหน้าที่นางมองตอนนี้กลับไม่ใช่หลิวเจี้ยนอีกต่อไป ภาพนั้นกลับกลายเป็นคนที่นางคิดถึงถวินและหามากที่สุดคนหนึ่ง
นั่นคือลูกชายของนาง หลิวหลง
'ข้า..หลิวหลง ขอให้คำสัตย์สาบานต่อท่าน..ท่านแม่ เอิน ซิงซิง ว่าข้าหลิวหลงจะกลับมาอย่างปลอดภัย จะไม่ลืมแขนหรือทิ้งขาไว้ที่ศึกปัญจมิตรเป็นอันขาด!! '
'ช่างละม้ายคล้ายนัก.. เลี้ยงก็ไม่เคยเลี้ยง อุ้มก็ไม่เคยอุ้ม.. ภาษาที่ใช้พูดยังแตกต่าง.. แต่เหตุใดถึงให้ความรู้สึกที่คล้ายกันได้ถึงเพียงนี้..'
หลิวเล่าฮูหยินถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่ใช้มืออันเหี่ยวย่นทาบลงบนหัวของหลานชายแล้วจึงได้ลูบหัวของมันอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน ปากเองก็พลางเอ่ยอย่างไม่รู้ตัวว่า “ของเพียงเจ้ากลับมาได้.. ยายแก่คนนี้ก็สุขใจแล้ว..”
หลังจากนั้นสองย่าหลานก็ได้คุยกันอีกหลายประโยค ด้านคนเป็นหลานก็พยายามเลือกเรื่องพูดคุยเรื่องอื่นเพื่อไม่ทำให้คนเป็นย่าต้องรู้สึกเป็นห่วงตนมากไปกว่านี้ คนเป็นย่าเองก็พยายามเลี่ยงการที่จะทำให้ความเป็นห่วงของตนทำให้หลานชายของนางต้องรู้สึกพะวักพะวนในระหว่างที่พวกมันทั้งสามเดินทางกลับไปที่จวนเจ้าเมือง
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว