ชายหนุ่มหันมามองใบหน้าเรียวสวย วันนี้เธอแต่งหน้าอ่อนๆ ชุดที่ใส่ก็ไม่ใช่กางเกงยีนส์เสื้อยืดอย่างที่เคยเห็น เธอสวมเสื้อเชิ้ตแขนสามส่วนสีขาว มีลายดอกไม่เล็กๆ ที่ปลายแขน ส่วนตัวเสื้อก็แต่งลายปักดอกไม้ เข้ากับกระโปรงบานยาวคลุมเข่าแค่เล็กน้อย ดูเป็นสาวหวาน คงเพราะวันนี้ต้องไปทำบุญที่วัดเขานึกชมเธอที่แต่งตัวตามกาลเทศะ แต่ถ้าเธอจะใส่แค่กางเกงยีนส์กับเสื้อยืดอย่างเคยเขาก็ไม่ว่าอะไร เพราะชายหนุ่มไม่เคยบังคับใครเรื่องแต่งตัว อย่างมุกไหม ตั้งแต่คบกันมาเขาเห็นเธอใส่แต่สายเดี่ยว กระโปรงสั้นเหนือเข่าแทบจะทุกครั้ง ขนาดชุดนักศึกษายังทั้งสั้นทั้งรัดไม่รู้ว่าแต่ก่อนเขาชอบผู้หญิงที่แต่งตัวเปิดเผยอย่างนั้นได้ยังไง บางทีตอนนั้นเขาอาจแค่อยากควงกับเธอเพราะทั้งสวยและหุ่นดีแต่ยังไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาคิดไปถึงการแต่งงาน ทั้งๆ ที่คบกันก็นานอยู่แต่กับคนที่นั่งข้างๆ ตอนนี้สิเขาคิดไปไกลถึงการมีครอบครัวที่อบอุ่น เวลาไปไหนก็มีลูกน้อยๆ ตามไปด้วยทุกครั้ง ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตยังไงเขาก็พร้อมสนับสนุนและเดินเคียงค้างเธอไปตลอด
“ตกลงเลือกได้หรือยังครับว่าจะดูเรื่องไหน”
การดูหนังครั้งแรกของคนทั้งสองเขาให้เธอเป็นคนเลือกหนังที่จะดู ผ่านไป 10 นาทีเธอก็ยังตัดสินใจไม่ได้สักที ส่วนเขาน่ะเหรอ เข้าโรงหนังเป็นต้องหลับเพราะฉะนั้นให้เธอเลือกก็ถูกแล้ว
หญิงสาวหันมามองหน้าเขาก่อนจะตัดสินใจพูด “พี่วิชญ์คะ ปอมีเรื่องจะสารภาพค่ะ”
ปุณณวิชญ์มองผู้หญิงตรงหน้าด้วยใจที่เต้นแรง เขาไม่รู้ว่าเธอจะพูดอะไร แต่ดูจากสีหน้าแล้วเธอคงหนักใจไม่น้อย
“ผมต้องเตรียมใจก่อนไหมครับ” เขาสูดหายใจลึกๆ อย่างรอฟังคำตอบ
“พี่วิชญ์ต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่โกรธ และจะขับรถพาปอไปส่งที่บ้าน”
ชายหนุ่มใจเสีย แต่ก็พยักหน้ารับ เพราะเขาเป็นคนพาเธอมาก็ควรจะพาเธอกลับไปส่ง ถึงแม้ยังไม่รู้ว่าเรื่องที่เธอจะสารภาพนั้นตัวเองจะรับได้แค่ไหน
หญิงสาวจับมือเขาให้เดินตามมายังเบาะกำมะหยี่ ตัวยาวสีเดียวกับผนัง ห่างจากช่องขายตัวมาพอสมควร มือของเขาเย็นเฉียบ ไม่รู้ว่าเพราะเครื่องปรับอากาศที่นี่หรือว่าเพราะความกังวลกันแน่
“ปอขอไม่ดูหนังได้ไหมคะ ปอบอกตรงๆ ว่าปอไม่ชอบดูหนังในโรงหนัง ตอนแรกปอก็ไม่อยากขัดใจพี่วิชญ์แต่ปอไม่อยากฝืนใจตัวเอง แต่ถ้าพี่วิชญ์ยังอยากจะดูหนัง ปอก็จะไปรอที่ร้านหนังสือก็ได้ค่ะ” เธอพูดเร็วปรื๋อ
ปุณณวิชญ์ค่อยๆ ดึงมือที่เธอจับอยู่ ออกอย่างช้า เขายกมือกุมท้อง ขณะที่ตาก็จ้องใบหน้างาม แล้วเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนคนเดินผ่านไปมาต้องหันมามอง
“เบาๆ ค่ะพี่วิชญ์คนมองกันใหญ่แล้ว” เธอพยายามให้เขาหยุดเสียงหัวเราะ หากแต่เขาก็ยังหัวเราะต่อจนมีน้ำรื้นเกาะขอบตา
“ก็มันตลกนี่ครับ พี่ก็คิดไปไกลเลยว่าจะโดนบอกเลิก ที่ไหนได้ เรื่องแค่นี้เอง ผมชอบนะที่คุณกล้าพูดออกมาตรงๆ จะบอกให้ก็ได้ว่า ผมเองก็ไม่ชอบดูหนังเท่าไหร่ แค่อยากหาเวลาอยู่ด้วยกันบ้าง เท่านั้นเอง สรุปว่าเราใจตรงกัน” เขาบีบจมูกเธอเบาๆ อย่างเอ็นดู
“ปอนึกว่าพี่จะโกรธ”
“ไม่เลยสักนิด ไปร้านหนังสือกันเลยไหม แล้วค่อยไปหาอะไรทาน” ชายหนุ่มไม่รอคำตอบ แต่เขาจับมือเธอให้เดินตาม ระหว่างเดินก็หันมามองหน้าคนข้างๆ เป็นครั้งคราว รู้สึกดีใจที่กัลยณัฏฐ์มีอะไรคล้ายๆ กับเขา อย่างน้อยก็เรื่องหนึ่งล่ะ
พอไปถึงร้าหนังสือต่างก็แยกย้ายไปตามมุมหนังสือที่ตัวเองต้องการ
กัลยณัฏฐ์ใช้เวลาไม่นานในการเลือกหนังสือเลือกหนังสือสำหรับตัวเอง 2 เล่มและให้พิจิกาอีก 4 เล่ม จากนั้นก็เดินไปหาชายหนุ่ม
“ได้หนังสือครบแล้วเหรอครับ” คนถามก้มหน้าเลือกหนังสือจากชั้นล่างสุด
“ค่ะ ได้ครับแล้วค่ะพี่วิชญ์ล่ะคะได้หนังสือถูกใจไหม”
ปุณณวิชญ์ชี้ไปยังเคาน์เตอร์ชำระเงินที่มีหนังสือกองอยู่เกือบสิบเล่ม
“ปอก็นึกว่าชวนพี่มาร้านหนังสือ กลัวพี่วิชญ์จะเบื่อ”
“ไม่เบื่อเลย พี่ชอบอ่านหนังสือ อ่านได้ทุกแนวเล่มนี้อ่านมาเกือบห้ารอบแล้วก็ไม่เบื่อ” เขาชี้ไปยังหนังสือเล่มสีแดงตรงสันปกเขียนไว้ว่า ‘รหัสลับดาวินชี’
“เล่มนี้ปอก็เคยอ่านพอเค้าทำเป็นหนังปอก็ซื้อแผ่นมาดูนะคะแต่ไม่ค่อยกล้าดูตอนที่เค้าเอาลวดหนามรัดตัว เพื่อทำพิธีกรรมอะไรสักอย่างปอก็ลืมไปแล้ว พอดูมาถึงตอนนี้ก็กรอผ่านทุกทีเลยค่ะ”
“ครับ ไว้วันหลังดูพร้อมกันนะผมเองก็มีแผ่นนี้อยู่” เขาบอกพร้อมเดินไปชำระเงิน
“พี่วิชญ์หิวหรือยังคะ” ถามขึ้นเมื่อเดินออกมาจากร้านหนังสือ
“ก็นิดหน่อย คุณล่ะ”
“เมื่อไหร่จะเลิกเรียกปอว่าคุณสักทีคะ”
“ก็เรียกอย่างนี้ตั้งแต่แรกมันชินแล้ว”
“แล้วถ้าให้เปลี่ยนจะได้ไหมคะ”
“ได้สิ ผมตามใจคุณทุกอย่าง”
“ไม่ต้องเรียนว่าคุณก็ได้ มันฟังแล้วเหมือนคนพึ่งรู้จักกันพี่วิชญ์ว่าจริงไหมคะ”
“งั้นผมเรียกชื่อปอเฉยๆ นะ”
“ค่ะ” หญิงสาวรู้สึกว่าการได้บอกอะไรออกไปตรงๆ ก็ทำให้การคุยกันง่ายขึ้น เธออยากให้เขาแทนตัวเองว่าพี่ แต่ไม่กล้าบอก กลัวเขาจะหาว่าได้คืบจะศอก
“ทานอะไรกันดีครับ”
“พี่วิชญ์ชอบทานอาหารแบบไหน”
“ได้ทุกแบบครับ แล้วปอล่ะ”
“ทานอะไรง่ายที่ฟูดคอร์ดไหม แล้วค่อยไปกินไอศกรีม” เธอเสนอเพราะไม่อยากเสียเวลาไปนั่งรออาหารนาน เธอเกรงว่าจะกลับถึงบ้านดึก
“ได้ครับปอไปจองโต๊ะก่อนเลย พี่แลกบัตรก่อน”
ปุณณวิชญ์เดินกลับมาพร้อมบัตรในมือ 2 ใบ เขายื่นบัตรของฟูดคอร์ดให้เธอ ปุณณวิชญ์เลือกทานข้าวขาหมู ส่วนหญิงสาวทานเป็นก๋วยเตี๋ยว ชายหนุ่มมองอย่างแปลกใจ เขาเคยออกเดทกับผู้หญิงมาก็หลายคนอยู่ ไม่เคยมีใครทำให้ต้องแปลกใจเท่านี้มาก่อน เริ่มจากการเลือกร้านอาหาร ปกติสาวๆ ที่เขาควงมักจะเลือกร้านอาหารหรูๆ ไม่เคยมีใครเลือกทานที่ฟูดคอร์ทเลยสักคน ไหนจะอาหารที่เธอเลือกทานอีก การทานก๋วยเตี๋ยวต่อหน้าชายหนุ่มที่มาทานในฐานะแฟนครั้งแรก เขาจำได้ว่าตรีทิพย์เคยพูดไว้ว่า เธอจะไม่ทานก๋วยเตี๋ยวเด็ดขาด ไหนจะทานยากเกิดคีบไม่ดีก๋วยเตี๋ยวกระเด็นใส่หน้าหรือกระเด็นโดยคู่เดท คงขายหน้า ไหนจะความร้อนจากน้ำก๋วยเตี๋ยว ทานเสร็จก็หน้ามันเยิ้ม แต่ดูเหมือนหญิงสาวคนนี้จะไม่ได้กังวลอะไรเลยสักนิดปุณณวิชญ์นั่งมองเธอทานอย่างเอร็ดอร่อย จากนั้นเขาก็ก้มหน้าทานของตัวเองบ้าง
“พี่วิชญ์มองอะไรคะ ปอไม่เรียบร้อยหรือเปล่า” เธอหยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาเช็ดรอบปากอย่างระแวงว่าจะมีอะไรติด
“ไม่มีอะไรติด ปอชอบทานก๋วยเตี๋ยวเหรอ”
“ค่ะ พี่วิชญ์ไม่ชอบเหรอคะ” เธอมองจานข้าวขาหมูที่พร่องไปเกินครึ่ง
“ปกติก็ชอบทานนะ แต่เมื่อกี้เดินผ่านร้านนี้แล้วอดใจไม่ได้”
“ปอไม่ค่อยชอบข้าวขาหมู ทานเยอะแล้วอ้วนขี้เกียจออกกำลังกาย”
“ผมว่าไม่เห็นจะอ้วนตรงไหน ตัวเล็กจนจะปลิวอยู่แล้ว”
“ก็ตอนนี้อาจยังไม่อ้วน แต่ถ้าทานแบบพี่วิชญ์ประจำคงได้อ้วนเข้าสักวัน” กัลยณัฏฐ์รวบตะเกียบและช้อนเข้าด้วยกันก่อนจะเปิดขวดน้ำเปล่าตรงหน้าดื่มไล่ความเผ็ด ปุณณวิชญ์มองเธอดูดน้ำจากขวดแล้วอมยิ้ม
“อิ่มไหม ทานไปนิดเดียวเองนะครับ”
“อิ่มค่ะปอกลัวทานไอศกรีมได้ไม่เยอะ” คำตอบนั้นทำให้เขาเกือบสำลักเลยทีเดียว ในบางมุมหญิงสาวก็ดูโตเป็นผู้ใหญ่ แต่บางมุมก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กเลย
“อ้าว ปอพูดจริงนี่คะพี่วิชญ์ขำอะไร ไม่เห็นตลกเลยนานแล้วที่ปอไม่ได้ออกมาทานไอศกรีม”
“แล้วแต่ก่อนมาทานกับใครเหรอครับ มาบ่อยไหม”
“ไม่ค่อยบ่อยค่ะ ครูที่โรงเรียนไม่ค่อยชอบทาน เคยชวนแล้วไม่มีใครมาด้วยแต่ก่อนกับหนูดีก็พากันมาทานในเมืองบ้าง แต่นี่ไม่ได้ทานมาตั้งเกือบเดือนแล้ว”
“วันนี้ทานให้หนำใจเลย ผมสัญญาจะหาโอกาสพามามาทานบ่อยๆ เราเข้ากรุงเทพฯ กันทุกอาทิตย์เลยดีไหม”
“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกค่ะ ที่สมุทรสงครามก็มี ปอไม่ได้อยู่บ้านอกซะหน่อยนะคะ” เธอย่นจมูกใส่
กว่าทั้งสองคนจะทานไอศกรีมเสร็จก็เกือบห้าโมงเย็น ปุณณวิชญ์ขอแวะไปเอาของที่บริษัทก่อนพาเธอกลับบ้าน
“เงียบจังนะคะ” เธอมองไปรอบๆ ไม่มีใครอยู่เลย แม้จะยังไม่มืดแต่ก็รู้สึกวังเวง
“วันอาทิตย์ก็อย่างนี้แหละ อย่าได้มาวันธรรมดาเชียวเสียงดังยิ่งกว่าตลาดนัดเสียอีก”
“พี่วิชญ์ก็พูดเกินไป บริษัทที่ไหนจะเสียงดังขนาดนั้นถ้าเป็นจริงเจ้าของคงต้องกุมขมับแน่ๆ”
“เอาไว้ครั้งหน้าผมจะพามาเช้าวันเสาร์นะ รับรองได้ว่าผมไม่พูดเกินจริง” เขานึกไปถึงบรรดาวิศวกรและสถาปนิกที่ทำงานอยู่ชั้นสอง ในแต่ละวันจะคุยกันโหวกเหวก ไม่มีใครว่าเพราะชายหนุ่มรู้ว่าทุกคนทำงานที่เครียดจึงไม่อยากกดดันเรื่องระเบียบวินัยมากเกินไป
เธอเดินตามเขาขึ้นไปชั้นสอง เพราะไม่อยากรออยู่ด้านล่างคนเดียว พอเดินขึ้นไปยังไม่ถึงบันไดขั้นสุดท้ายก็ได้ยินเสียงคนทักทายกัน
“คุณวิชญ์มาเอาเอกสารอย่างนี้แสดงว่า พรุ่งนี้ไม่เข้าบริษัทใช่ไหมคะ” ดารณีที่ถูกตามตัวมาทำงานทั้งๆ ที่เป็นวัดหยุดพูดอย่างรู้ทัน
“ครับคุณดา ถ้ามีอะไรด่วนก็โทรบอกได้ขับรถแป๊บเดียวก็ถึง แต่ถ้าไม่ด่วนก็รอวันพฤหัสฯ”
“ปอ เข้ามาก่อนสิ” ชายหนุ่มเห็นเธอเดินขึ้นมาแล้วแต่ยังกล้าเดินเข้ามาในห้องทำงานของเขา
“ค่ะ”
“นี่คุณดา เลขาฯ ผมเอง คุณดานี่โอปอแฟนผมครับ” เขาแนะนำ
กัลยณัฏฐ์ยกมือไหว้ เพราะดูแล้วเธอน่าจะอายุพอๆ กับชายหนุ่ม
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ คุณวิชญ์นี่ตาแหลมจริงๆ สวยน่ารัก ดูแล้วเหมาะกับคุณวิชญ์นะคะ”
“ขอบคุณค่ะ คุณดาก็ชมปอเกินไป” กัลยณัฏฐ์ยิ้มยินดี
“ไม่เกินไปหรอกค่ะ คุณวิชญ์ของดาน่ะ มีผู้หญิงมาจีบเยอะแยะไปหมด พึ่งจะมีคนคุณโอปอนี่ล่ะคะที่คุณวิชญ์แนะนำว่าเป็นแฟนสงสัยดาจะได้นายผู้หญิงสักที”
“คุณดา พูดอย่างนี้ผมก็แย่สิ” ปุณณวิชญ์ตำหนิแต่ไม่จริงจังมากนัก
“พี่วิชญ์เสน่ห์แรงเหมือนกันนะคะ”
“แต่ไม่มีใครน่ารักเท่าคุณสักคน ไม่เชื่อคุณวิชญ์ต้องพาเธอมารู้จักกับคุณตุลา คุณวศินและคุณตรีทิพย์ นะคะสามคนนั้นจะช่วยคุณวิชญ์ยืนยันได้เป็นอย่างดี” ดารณีพูดจบก็ขอตัวกลับ
“สามคนนั้น หุ้นส่วนของผมเองครั้งหน้าผมจะนัดไปทานข้าวด้วยกันนะครับ คราวนี้ปอได้รู้เรื่องผมละเอียดยิบทุกแง่มุมแน่ๆ”
“ใครอยากรู้กันคะ” เธอแกล้งไม่สนใจ แต่อันที่จริงก็อยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาให้มากกว่านี้
“อ้าว เป็นงั้นไป” เขาหัวเราะ
“บางครั้งอดีตมันก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ รู้ไปก็เท่านั้นค่ะ”
“ทำไมผมไม่เจอคุณเร็วกว่านี้นะ” เขาฟังคำพูดของเธอแล้วรู้สึกได้ทันทีว่านี่แหละคนที่เขารอคอยมาตลอด
“ถ้ารู้จักเร็วกว่านี่พี่วิชญ์จะทำยังไงเหรอคะ” คนถามเอียงหน้าน้อยๆ เลิกคิ้วอย่างสงสัย
“ถ้ารู้จักก่อนหน้านี้สักสองสามปีผมคงไม่ตั้งบริษัทที่นี่หรอก ผมไปตั้งที่อัมพวาดีกว่าจะได้อยู่ใกล้ๆ” เขาทำเสียงหวานอย่างที่ไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าทำมาก่อน
“พี่วิชญ์มัวโอ้เอ้ ดูสิจะทุ่มแล้ว” กัลยณัฏฐ์รีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“เดี๋ยวพี่เหยียบแป๊บเดียวถึงอัมพวารับรองไม่ดึกแน่นอนครับ”
“ช้าๆ ก็ได้บ้านคงไม่หนีไปไหน ปอกลัวไปไม่ถึงบ้านมากกว่าค่ะ”
“ครับผม” เขาทำเสียงขึงขังจนเธอหัวเราะอย่างชอบใจ
*****
“ไปดูหนังสนุกไหมลูก” กัลยาถามขึ้นเมื่อลูกสาวเดินเข้ามายังห้องรับแขกของบ้าน
“ไม่ได้ดูค่ะแม่ ปอเปลี่ยนใจตอนอยู่หน้าโรงหนังเลยไปเข้าร้านหนังสือแทน”
“อ้าว แล้ววิชญ์ไม่ว่าเอาเหรอชวนกันไปดูหนังแต่ไปร้านหนังสือ”
“ว่าที่ไหนคะ พี่วิชญ์เลือกหนังสือนานกว่าปออีกค่ะได้มาเกือบสิบเล่มมั้งคะ”
“ดีแล้วลูกคนเราชอบอะไรเหมือนๆ กันก็จะคุยกันรู้เรื่องกว่าคนที่ต่างคนต่างชอบนะ”
“ค่ะ ปอเลยเหมือนได้เพื่อนไปร้านหนังสือเพิ่มมาหนึ่งคน ปอรู้สึกเป็นตัวของตัวเองไม่อึดอัดอย่างที่คิด”
“แล้วนี่วิชญ์กลับกรุงเทพฯ เลยเหรอ” เมื่อไม่เห็นว่าชายหนุ่มเดินตามลูกสาวเข้ามาด้วยเธอก็ถามอยากแปลกใจเพราะตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว
“พี่วิชญ์เอาของไปเก็บที่โฮมสเตย์แล้วค่ะ”
“แล้วนี่บ้านใกล้เสร็จหรือยังละ”
“ปอก็ไม่แน่ใจค่ะ หนูดีบอกว่าน่าจะอีกไม่เกินเดือน”
“แม่คะ ช่วงนี้พี่วิชญ์ต้องคุมงานสองที่ปอขอติดรถพี่วิชญ์ไปทำงานได้ไหมคะ”
“จะไม่เป็นภาระพี่เค้าเหรอลูก”
“พี่วิชญ์เค้าชวนเอง แต่คงไม่ทุกวันหรอกค่ะ ปอก็เกรงใจแต่จะปฏิเสธก็กลัวพี่เค้าจะหาว่ารังเกียจ”
“แม่แล้วแต่หนูจ้ะ มีคนไปรับไปส่งก็ดีแม่จะได้ไม่ต้องห่วงมาก”
“ค่ะแม่”
ปุณณวิชญ์นั่งตรวจเอกสารได้เพียงหนึ่งในสี่ส่วนก็เริ่มง่วง พอดูนาฬิกาแล้วก็รีบโทรหากัลยณัฏฐ์ทันทีเพราะกลัวเธอจะเข้านอนแล้ว เขากดโทร. ออกรอไม่นานเสียงใสๆ ก็ดังมาตามสายสนทนา
“นอนดึกจังครับ”
“ยังไม่ดึกเลยค่ะ พึ่งสี่ทุ่มเองพี่วิชญ์จะนอนแล้วเหรอคะ”
“ยังครับ ผมพึ่งตรวจงานไปไม่ถึงไหนเลย” เขาโอด
“ก็งานทั้งสัปดาห์นี่คะ”
“นั่นสิ ยิ่งใกล้สิ้นปีต้องรีบเคลียร์ทุกอย่าง”
“ปอล่ะ ทำอะไรอยู่ผมเดาว่ากำลังอ่านหนังสือที่ซื้อมาใหม่ใช่ไหม”
“พี่วิชญ์เดาเก่งค่ะ”
“ผมไม่ใช่คนเดาเก่ง แต่ผมรู้ใจแฟนตัวเองมากว่าจริงไหม” คนพูดคงจะไม่รู้ว่าตอนนี้คนฟังหน้าแดงเป็นลูกตำลึงไปแล้ว
“อ้าวเงียบไปเลยฟังอยู่ไหมครับ”
“ค่ะปอฟังอยู่ พี่วิชญ์มีธุระอะไรไหมถ้าไม่มีก็ไปทำงานต่อได้แล้วค่ะ”
“ผมจะบอกว่าพรุ่งนี้ผมรอมี่บ้านผมนะ ว่าจะสั่งงานพี่สิงห์ก่อนไปแล้วอย่าลืมให้ผมเลี้ยงไข่กระทะนะ”
“ได้ค่ะ เจอกันพรุ่งนี้นะคะ”
“ครับ ฝันดีนะครับ”
“ค่ะ ฝันดีค่ะ” เธอพูดอย่างอายๆ แล้วรีบวางสาย
กัลยณัฏฐ์เริ่มชินกับการใช้ชีวิตโดยมีผู้ชายตัวโตๆ อยู่ข้างๆ เขาไปรับไปส่งเธอวันจันทร์ถึงวันพุธ ส่วนพฤหัสฯ กับศุกร์ชายหนุ่มเข้าไปทำงานที่บริษัท วันอาทิตย์เขาก็มารับเธอไปเที่ยว บ้านของชายหนุ่มก็ใกล้เสร็จแล้วเหลือแค่ตกแต่งภายในอีกแค่นิดหน่อยก็ย้ายเข้ามาอยู่ได้
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว