“เจ้ามาแล้ว” หลินหลานกล่าว
หลังจากที่หลินเฟิงเรียกหลินหลาน เวลาก็ผ่านไปไม่นานนัก หลินหลานมาเปิดประตูแล้วจึงเชิญหลินเฟิงเข้าบ้านเพื่อทานอาหารเย็นร่วมกับปู่ นางไม่รู้จริงๆว่าปู่นางคิดอันใดกันแน่ เพราะปกติแล้วถึงนางจะเป็นเพื่อนกับหลินเฟิงแต่ปู่นางก็ไม่เคยเชิญให้หลินเฟิงเข้ามาบ้านสักครั้งเดียว
“เดี๋ยวข้าจะไปตามท่านปู่ เจ้านั่งรออยู่ที่นี้ก่อนแล้วกัน” หลินหลานเดินนำหลินเฟิงมาถึงโต๊ะรับประทานอาหารก็บอกกล่าวกับหลินเฟิงก่อนจะเดินจากไปด้วยใบหน้าที่แดงหน่อยๆ แน่นอนว่านี้คือครั้งแรกที่หลินเฟิงมาบ้านของนาง
หลินเฟิงเดินมาถึงโต๊ะรับประทานอาหาร เขาก็นั่งลงที่เก้าอี้ พลางมองไปรอบๆ ในโต๊ะมีอาหารตั้งอยู่มากมาย รวมทั้งบริเวณรอบๆหรือแม้แต่ภายในบ้านยังดูเรียบง่าย แต่ก็สะอาดสะอาดอย่างดี ดูแล้วเป็นระเบียบยิ่งนัก
หลังจากหลินหลานไปไม่นาน นางก็กลับมา แต่คราวนี้นางกลับมาพร้อมกับชายชรา คนหนึ่ง นางเดินตามหลงชายชราคนนั้นมา และแน่นอนว่าชายชราคนนี้ย่อมต้องเป็นปู่ของหลินหลาน ผู้อาวุโสสูงสุดหลินมัวไห่ แน่นอน
“ผู้อาวุโสสูงสุด” หลินเฟิงกล่าว
หลินเฟิงลุกขึ้นขณะกล่าวทำความเคารพหลินมัวไห่ ผู้อาวุโสสูงสุดคนนี้คือคนที่พบยากมากในตระกูลหลินแห่งนี้ เพราะปกติแล้วท่านจะเก็บตัวฝึกฝนเพียงอย่างเดียว ไม่ยุ่งเรื่องของตระกูล และหากไม่มีเหตุจำเป็นหรือเร่งด่วยอันใด เขาก็จะไม่เคลื่อนไหวนอกเสียจากว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงความอยู่รอดของตระกูลหลิน
หลินมัวไห่เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับหลินหยาง พวกเขาทั้งคู่ไม่มีใครที่มีฝีมือเป็นลองกัน ทั้งคู่นั้นเป็นทั้งคู่แข่ง เป็นทั้งมิตรสหาย และผู้คนส่วนใหญ่ก็รับทราบถึงความสัมพันธ์นี้ด้วยเช่นกัน แต่กระนั้น ตั้งแต่ที่หลินหยางขึ้นเป็นประมุข ตัวหลินมัวไห่ขึั้นเป็นอาวุโสสูงสุด พวกเขาก็ต่างยุ่งอยู่กับงานของตนจนแทบไม่ได้พบหรือพูดคุยกัน แน่นอนว่าหลินหยางคือคนเดียวที่ยุ่งวุ่นวานกับหน้าที่ เพราะหลินมัวไห่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดจึงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปของตระกูล
การที่หลินมัวไหเรียกผมหลินเฟิงเช่นนี้ ย่อมต้องมีอะไรมากกว่าการรับประทานอาหารเย็นแน่นอน และยังต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันไปถึงตระกูลหลินด้วย หลินเฟิงทราบเรื่องนี้ดี จากความทรงจำของเจ้าของร่างคนเก่า
“ทำตัวตามสบายเถอะ” หลินมั่วไห่กล่าวกับหลินเฟิง ขณะที่เขานั่งลง
“ขอรับ/เจ้าค่ะ”หลินเฟิงกับหลินหลานก็นั่งลงตามหลังจากที่หลินมั่วไห่นั่งลงแล้ว
“เรามากินอาหารกันเถอะ เดี่ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อย กับข้าวฝีมือหลานเอ๋อร์นั้นอร่อยจนเจ้าอาจต้องติดใจเลยละ” หลินมัวไห่กล่าว
“ข้าได้ข่าวเรื่องการประลองของเจ้าแล้วละ เจ้าคิดทำอันใดต่อรึ” ระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารกันอยู่พวกเขาก็พูดคุยกันเรื่องทั่วไป แต่ไม่นานหลินมัวไห่ ก็กล่าวถามหลินเฟิงอีกครั้ง
“ข้าคิดว่าจะฝึกฝนตัวเองอยู่ที่บ้านให้เก่งขึ้นขอรับ” หลินเฟิงกล่าวตอบตามที่เขาคิดไว้
“งั้นรึ เจ้าไม่คิดจะทดสอบเข้านิกายเมฆารึ?” หลินมัวไห่กล่าวถามอีกครั้ง
“นิกายเมฆา??” หลินเฟิงทำหน้างงและไม่เข้าใจว่าหลินมัวไห่กล่าวถึงเรื่องใด
“นี้เจ้าไม่รู้รึว่าหมู่บ้านตระกูลหลินของเราอยู่ภายใต้การดูแลของนิกายเมฆา”หลินมัวไห่กล่าวถามด้วยความประหลาดใจ
“ข้าไม่รู้ โปรดผู้อาวุโสชี้แนะด้วย” แน่นอนว่าหลินเฟิงย่อมไม่รู้ รวมไปถึงความทรงจำของเจ้าของร่างคนเก่าด้วย เพราะเดิมทีนั้น หลินเฟิงคนเก่าฝึกฝนวรยุทธ์ไม่ได้ ทำให้ทั้งบิดามารดาไม่ได้บอกอะไรให้เขาฟัง หวังว่าจะให้เขาอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลหลินต่อไป ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่ที่นี้
“อืม...ข้าเข้าใจแล้ว ” หลินมัวไห่กลาวขณะครุ่นคิด
หลังจากนั้นหลินมัวไห้ก็กล่วบอกเรื่องของนิกายเมฆาให้หลินเฟิงฟังอย่างพอเข้าใจ
นิกายเมฆาเป็นหนึ่งในมหาอำนวจบริเวณนี้ทั้งหมด ตระกูลเซี่ยเองก็อยู่ภายใต้การดูแลของนิกายเมฆา ไม่ได้มีเพียงสองตระกูลเท่านั้นที่อยู่ภายใต้การดูแลของนิกายเมฆา ยังมีตระกูลหยง ตระกูลชิน อีกแต่ละปี ทุกๆตระกูลจะต้องส่งเครื่องบรรณาการไปให้นิกายเมฆา เพื่อเป็นค่าคุ้มครอง
นอกจากนิกายเมฆาแล้วยังมีอีกหนึ่งนิกายที่เป็นศัตรูกับนิกายเมฆา นั่นคือนิกายอัคคี และนิกายอัคคีเองก็มีตระกูลที่อยู่ภายใต้การดูแลเช่นเดียวกับนิกายเมฆา ที่ตระกูลหลินอยู่ภายใต้นิกายเมฆาเพราะพวกเขาอยู่ใกล้เคียงและอยู่ในอาณาเขตของนิกายเมฆา
ไม่ได้มีเพียงนิกายเมฆากับนิกายอัคคีเท่านั้น ยังมีนิกายอื่นๆอีกมาก เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในบริเวณใกล้เคียงหลินมัวไห่จึงไม่ได้กล่าวอธิบายอะไรให้มากนัก
ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมต้องอยู่ภายใต้การดูของนิกายนั่นก็เพราะว่าหากไม่มีนิกาย ถึงแม้ว่านิกายเหล่านี้จะไม่ทำอันใด แต่พวกเขาก็คงไม่รอดพ้นจากพวกสัตว์อสูรตนอื่นๆที่พวกเขาไม่สามารถจัดการกันเองได้ บางตัวมีพลังทำลายตระกูลพวกเขาได้ด้วยเพียงตัวมันตัวเดียวเท่านั้น
ไม่ใช่แค่สัตว์อสูรที่เป็นปัญหาเท่านั้น ยังมีผู้ฝึกยุทธ์จากนิกายหรือตระกูลอื่นๆที่อยู่ภายใต้การดูแลของนิกายที่จ่องจะทำลายหรือกลืนกินตระกูลพวกเขาอยู่ ทำให้หากไม่มีนิกาย พวกเขาไม่สามารถอยู่รอดได้แน่นอน
“ขอบคุณสำหรับการชี้แนะขอรับ” หลินเฟิงกล่าวของคุณขณะที่หัวใจของเขาเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น นี้ทำให้เขากระจ่างชัดและเข้าใจโลกใบนี้มากขึ้น ทำให้เขารู้สึกราวกับได้เปิดโลกกว้าง รวมทั้งยังมีแรงปราถนาที่จะแข็งแกร่งมากขึ้นเมื่อรู้ว่าโลกนี้มันกว้างใหญ่เพียงใด
ทางด้านหลินหลานเองก็ได้ฟังเรื่องราวของนิกายเมฆามาบ้าง แต่เพิ่งจะได้ฟังเรื่องราวโดยละเอียดก็คราวนี้ ทำให้ดวงตานางแวววับเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นเช่นเดียวกับหลินเฟิง นางเองก็ปราถนาที่จะแข็งแกร่งเช่นกัน
“เอาละทีนี้เจ้าคิดอย่างไรกับนิกายเมฆาละ”หลินมัวไห่กล่าวถามหลินเฟิงที่กำลังตื่นเต้นอยู่
“ข้าต้องการเข้าร่วมแน่นอน” หลินเฟิงกล่าวตอบทันทีโดยไม่เสียเวลาคิดสักนิดเดียว
จะบ้าหรอ โอกาสนี้จะทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตา ได้เห็นโลกกว้างมากขึ้น และจะยิ่งทำให้ตัวเขาพัฒนาไปได้ไกลมากขึ้น เขาจะพลาดโอกาสเช่นนี้ได้อย่างไร
“ข้าเองก็คิดที่จะให้หลานเอ๋อร์เข้าร่วมทดสอบในปีนี้เช่นกัน พวกเจ้าเอก็สนิทกันอยู่แล้ว ก็ควรจะไปทดสอบพร้อมกันเสียเลย” หลินมัวไห่กล่าวตอบ
“จริงหรือท่านปู่ ท่านจะให้ข้าไปจริงๆใช่ไหม” หลินหลานกล่าวอย่างประหลาดใจและเต็มไปด้วยอารมณ์ตื่นเต้น
“แน่นอนว่าข้าจะให้พวกเจาเข้าร่วมการทดสอบรับศิษย์ของนิกายเมฆา แต่พวกเจ้าควรรู้ว่ามันหาใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเข้าไปเป็นศิษย์นอกได้” หลินมัวไห่กล่าว พร้อมกับถอนหายใจออกมา
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว