เหอซือเมี่ยว-โชคชะตาอันประเสริฐ ๙ : ค่ำคืนก่อนเริ่มภารกิจ

โดย  fews

เหอซือเมี่ยว

โชคชะตาอันประเสริฐ ๙ : ค่ำคืนก่อนเริ่มภารกิจ

“มางดา หลงเอ๋อร์กักบิดาขออยู่กักมางดาที่นี่ได้รึไม่ขอรัก?”ไป๋ชิงหลงออดอ้อนสองแขนโอบอยู่เอวบางไม่ยอมปล่อย เป็นครั้งแรกที่เด็กน้อยสามารถนอนตื่นสายได้โดยยังมีมารดานอนอยู่เคียงข้าง ไม่ต้องรีบร้อนกลับตำหนักก่อนฟ้าสางเช่นเหมือนวันก่อนๆ

“มารดาก็ต้องการให้เป็นเช่นนั้น แต่ว่านะหลงเอ๋อร์ลูกรัก ยามนี้มารดาอาศัยร่างพี่สาวลู่อยู่ และนางเป็นสตรียังมิได้ออกเรือน แค่เจ้าเรียกมารดาว่า มารดา ต่อหน้าผู้คนและบิดาเจ้าที่นึกอยากจะมาก็มาไม่ดูเวล่ำเวลา เพียงเท่านี้ก็ทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียงผู้คนครหามากพอแล้ว”ลู่จิวเมี่ยวกอดตอบร่างนุ่มนิ่ม ตากลมโตฉายแววหนักใจ มีเงยหน้าขึ้นสบตาสามียามเน้นคำว่า ‘บิดาเจ้าที่นึกอยากจะมาก็มาไม่ดูเวล่ำเวลา’ แล้วกล่าวต่อ“ขืนเจ้ามาอยู่ที่นี่มารดาอาจถูกผู้คนกล่าวหาว่าเป็น..อืม..สตรีจอมหลอกลวง? จอมฉวยโอกาสก็เป็นได้ หลงเอ๋อร์อยากให้เป็นเยี่ยงนั้นหรือ?”

“ไม่ๆ หลงเอ๋อร์ไม่อยากให้เป็งเช่งนั้งขอรัก!”ศีรษะกลมทุยส่ายไปมาแรงๆยามกล่าว ต่างจากร่างสูงที่เพียงกอดอกมองใบหน้างดงามก่อนเลื่อนลงไปหยุดยังบริเวณทรวงอกแล้วกดยิ้มลึก

“มองอะไรเจ้าคะ?”ลู่จิวเมี่ยวหน้าแดงถลึงตาใส่ สองแขนยกขึ้นโอบลูกน้อยเป็นการปิดกั้นสายตาวิบวับซุกซนคู่นั้น เรื่องราวหลังสามีไล่รัชทายาทกลับไปผุดเข้ามาในหัว

เรื่องมีอยู่ว่าหลังรัชทายาทจากไป นางซึ่งโดนปลุกขึ้นมากลางดึกเพราะความใจร้อนของสามี ก็ตรงดิ่งไปยังเตียงนอนหมายนอนต่ออีกหน่อย แต่ถูกท่อนแขนแข็งแรงกอดรัดจากทางด้านหลังไม่ยอมปล่อย คลอเคลียใบหน้ากับต้นคอนางจนขนลุกซู่ไปหมดต้องย่นคอหนี มือใหญ่เดิมประสานแน่นอยู่ตรงบริเวณหน้าท้องกลับซุกซนสอดเข้ามาสัมผัสทรวงอกนางเล่นเอานางสะดุ้งอ้าปากหมายบอกให้หยุด แต่เจ้าของมือเป็นฝ่ายชะงักหยุดการเคลื่อนไหวเสียเอง ในลักษณะซุกใบหน้าอยู่ที่ลำคอ มือขวากอบกุมดอกบัวซ้ายของนางไว้ ราวสองลมหายใจเข้าออกเจ้ามืออุ่นร้อนที่ควรจะล่าถอยไปกลับออกแรงบีบเบาๆสองสามครั้งแล้วนิ่งไปอีก

‘อะไรของเขา นึกว่าหน่มน้มข้าเป็นแตรรถรึไง บีบเล่นอยู่ได้’ยามนั้นนางยังตะลึงและไม่เข้าใจการกระทำของสามี จึงไม่ทันได้ดิ้นรนขัดขืน ต่อเมื่ออีกฝ่ายผละใบหน้าออกไป ถอนใจแรงและพ่นถ้อยคำที่สำหรับสตรีทุกนางแล้วถือว่าหยาบคายยิ่งว่า

“อา..อย่างนี้นี่เอง ส้มเหมือนกัน แต่ต่างสายพันธุ์ ขนาดผลย่อมต่างกันสินะ..”

“…”ขึ้นสิเจ้าคะรออะไร ไม่ใช่ขึ้นขี่สามีนะ แต่เป็นอารมณ์ที่พุ่งปรี๊ดแตะขอบฟ้า ยามนั้นนางโมโหจนควันออกหูกางมือกางเล็บออกโจมตีใบหน้าอันหล่อเหลาทันที แต่ร่างสูงว่องไวกว่าหลบได้ทุกครั้ง ทั้งยังฉวยโอกาสหอมแก้มนางหลายทีและส่งยิ้มเยาะล้อเลียน เล่นเอานางฉุนขาดพุ่งตัวเข้าใส่เขาสุดกำลังหวังเพียงหนึ่งแผลเท่านั้น แต่สามีนางช่างใจดำนักไม่เพียงไม่ให้ตามที่นางขอ ยังสกัดจุดจนขยับไม่ได้แล้วอุ้มร่างแข็งทื่อของนางไปวางบนเตียงนอน ดันร่างลูกน้อยหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องราวเข้าไปชิดด้านใน ส่วนตัวเองเอนกายลงนอนกอดร่างของนางไว้จากทางด้านหลัง ให้ศีรษะนางหนุนแขนเขา

“พี่เพียงเย้าเจ้าเล่น อย่าขุ่นเคืองใจไปเลย”ได้ยินถ้อยคำทุ้มหวานข้างหูทั้งที่ความขุ่นเคืองใจยังคงเข้มข้น แต่นางก็เลือกจะให้อภัยเพราะขี้เกียจทะเลาะกับสามีแล้ว สุดท้ายนางก็หลับไปและฝันเห็นสามีพูดคำว่า เสี่ยวจวี่จื่อๆ(ส้มลูกเล็กๆ)ทั้งคืน!

รุ่งเช้าพอตื่นมาอารมณ์จึงขุ่นมัวและหงุดหงิด คุณสามียังมามองหน้าอกนางด้วยสายตาสมเพช ปลดปลงเยี่ยงนี้อีก หากนางยังนิ่งเฉยไม่รู้สึกรู้สาอะไร นางก็เป็นเทพเซียนบนสวรรค์แล้ว! คิดพลางจ้องสามีเขม็ง

แต่ประมุขหนุ่มกลับดูสบายๆและทำเป็นมองไม่เห็นสายตาเขียวปัดของนาง เลี่ยงสายตาจากใบหน้างดงามไปยังถาดส้มบนโต๊ะเตี้ยเบื้องหน้าซึ่งมีผลส้มวางซ้อนกันอยู่จนพูน มุมปากพลันกดลึกลงไปอีก“อา..เสี่ยวจวี่จื่อ..ของโปรดเจ้านี่..หลงเอ๋อร์”

“ขอรัก!..หลงเอ๋อร์ชอบกินเสี่ยวจวี่จื่อแบบนี้ที่สุด เสี่ยวจวี่จื่อ..เสี่ยวจวี่จื่อ..เสี่ยวจวี่จื่อหวางเปรี้ยวกังลังดี..เสี่ยวจวี่จื่อ..เสี่ยวจวี่จื่อ..เสี่ยวจวี่จื่อหวางเปรี้ยวกังลังดี..”เด็กน้อยพยักหน้าแรงๆ ร้องเพลงและโคลงศีรษะไปมาเบาๆ ไม่ได้รับรู้เลยว่า ถ้อยคำนั้นแสลงหู แสลงใจเจ้าของตักนุ่มที่ตนนั่งอยู่เพียงใด

“หึๆ”ประมุขหนุ่มถึงกับหลุดหัวเราะอย่างอดใจไม่อยู่ เมื่อเห็นใบหน้างดงามบิดเบี้ยวและแดงจัดประดุจผลผิงกั่ว(แอปเปิ้ล)สุกงอมน่ากัดนั้น จึงถูกนางแยกเขี้ยวถลึงตาใส่เป็นหนที่สอง แต่ประมุขหนุ่มหาได้เกรงกลัวไม่ ซ้ำยังหลุบตามองทรวงอกภรรยาแวบหนึ่งจึงค่อยเงยหน้าขึ้นกดยิ้มแล้วกล่าว “ผู้ใดสอนเจ้าร้องเพลงนี้?”

“มางดาขอรัก”เด็กน้อยหยุดร้องเพลง ฉีกยิ้มกว้าง“มางดารู้ว่าหลงเอ๋อร์ชอกกิงจึงได้สองให้..มางดา..มางดายังจังได้ใช่ไหมขอรัก?”ตอบบิดาแล้วเงยหน้าถามมารดาต่อ

ลู่จิวเมี่ยวรีบปรับสีหน้าเก็บความขุ่นเคืองใจไว้อย่างมิดชิด หลุบตาลงมองลูกน้อยบนตัก “มารดาไหนเลยจะลืมเลือนได้”ลูบแก้มกลมเนียนเบาๆ

“มางดา ใกล้ยางอู่แล้ว หลงเอ๋อร์ขออยู่รักมื้อกลางวังกักมางดาที่นี่..ได้รึไม่ขอรัก?”เด็กน้อยได้ทีออดอ้อน

“ได้สิ..แต่แค่หลงเอ๋อร์เท่านั้นนะ..ส่วนคนอื่น..มาทางไหนเชิญกลับไปทางนั้น”ยิ้มกล่าวกับลูกน้อยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะหุบยิ้มเมื่อกล่าวประโยคต่อมา

‘คนอื่น? ข้าผู้เป็นสามีนาง แต่นางกลับเอ่ยปากไล่อย่างไม่ถนอมน้ำใจ! หรือนางกำลังเอาคืนข้าที่ล้อเลียนขนาดที่เล็กลงจับไม่เต็มมือของ..เอ่อ..บางสิ่งที่นุ่มหยุ่นนั่น? แต่เอาเถิด..วันนี้ข้ายั่วโทสะนางไปไม่น้อย ยอมถอยให้สักก้าวคงไม่เสียหายอะไร’ คิดได้ดังนั้นก็จุมพิตหน้าผากมนทีหนึ่ง “แล้วพบกันยามซวี”กล่าวทิ้งท้ายแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้คนถูกหลอกกินเต้าหู้ขุ่นเคืองใจขึ้นมาอีกระลอก

“ฮึ่ม!..ฝากไว้ก่อนเถิดจอมโจรเด็ดบุปผา!”


คืนวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันนี้ครบสามเดือนพอดีที่ลู่จิวเมี่ยวให้หลี่ซูมี่ ท่านหญิงแห่งจวนราชครูกินยาหมื่นพิษพ่ายของนางเพื่อสลายพิษที่ตกค้างและฟื้นฟูร่างกาย ในระหว่างนั้นหญิงสาวจะคอยมาเยี่ยมเยียนตรวจดูอาการทุกเจ็ดวันและมักจะถูกรั้งตัวไว้อย่างต่ำกว่าหนึ่งชั่วยามทุกครั้งไป ซึ่งลู่จิวเมี่ยวเต็มใจและยินดียิ่ง ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองแนบแน่นสนิทสนมกลมเกลียวจนถึงกับคุกเข่าสาบานเป็นพี่น้อง ซึ่งหลี่ฮุ่ยก็เห็นดีเห็นงามไม่คัดค้าน

“ครบกำหนดสามเดือนแล้ว พี่หญิงหลี่รู้สึกเช่นไรบ้างเจ้าคะ?”ลู่จิวเมี่ยวเอ่ยถามด้วยใบหน้าสงบนิ่งเฉกเช่นทุกครั้ง คำถามนี้นอกจากจะถามถึงสุขภาพแล้วยังรวมถึงความรู้สึกตลอดสามเดือนที่ผ่านมาด้วย

“ความสดใสงดงามที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเจ้า ใกล้เพียงสองฝ่ามือกั้น ยังชัดเจนไม่พอหรือไร?”

‘เฮ้อ..ท่านหญิงไก่ก็ยังเป็นท่านหญิงไก่วันยังค่ำ จิกกัดทุกผู้กระทั่งน้องสาวร่วมสาบาน!’ลู่จิวเมี่ยวค่อนขอดในใจ ยิ้มแล้วว่า“อา..นั่นสินะ เห็นทีกลับไปข้าต้องไปร้านขายยาหน่อยแล้ว”

“ไปร้านขายยา? เหตุใดเล่า..ป่วยรึ?”อารามเป็นห่วงน้องสาวร่วมสาบาน ทำให้หลี่ซูมี่หลงลืมตัวไปชั่วขณะ เอ่ยถามน้ำเสียงร้อนรน ดวงตาหงสมองร่างบางในชุดขาวล้วนอย่างละเอียด ซึ่งความห่วงใยที่อีกฝ่ายมีให้ ลู่จิวเมี่ยวรู้สึกซาบซึ้งใจมาก น้ำเสียงจึงอ่อนโยนขึ้นโดยไม่รู้ตัว“หาไม่เจ้าค่ะ ข้าเพียงต้องการสมุนไพรบำรุงสายตาเพิ่มเท่านั้น”

“สมุนไพรบำรุงสายตา? ดวงตาของเจ้าพร่ามัว มองเห็นไม่ชัดเจนหรือ?”เห็นคนถูกแกล้งยังไม่รู้ตัว ใบหน้างดงามของลู่จิวเมี่ยวพลันบิดเบี้ยวและแดงก่ำ สุดท้ายก็กลั้นไม่อยู่หลุดหัวเราะออกมา

“เจ้า! เจ้า!..เจ้านี่มัน..ฮึ่ย!”หลี่ซูมี่สะบัดหน้าหนีเพราะไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไรดี ด้วยเป็นครั้งแรกที่ถูกหยอกเย้า ล้อเล่นเช่นนี้โดยสหาย ใช่..สหายคนแรกที่นางสามารถกล่าวได้เต็มปากเต็มคำปราศจากความเคลือบแคลงสงสัยใดๆ

“ข้าเพียงหยอกท่านเล่น ขอท่านอย่าถือสาเลยนะ”ลู่จิวเมี่ยวสะกิดไหล่บาง ใบหน้ากลับมาสุขุมเยือกเย็นดังเดิม มีเพียงมุมปากที่หยักยกขึ้นเล็กน้อย เมื่ออีกฝ่ายสะบัดไหล่หนีจึงว่า“อา..เดิมทีตั้งใจจะชวนท่านไปดื่มชา แต่ดูแล้วท่านคงไม่อยากไป..”เรือนร่างบอบบางลุกขึ้นยืนช้าๆดวงตาจดจ้องแผ่นหลังอีกฝ่ายอย่างรอคอย

“รู้ใช่รึไม่ว่าข้าดื่มแต่ชาอู่หลงจากโรงเตี๊ยมหมื่นลี้เท่านั้น?”หลี่ซูมี่หันมาตอบด้วยน้ำเสียงแง่งอน เอาแต่ใจ

“ข้าคิดจะพาท่านไปที่นั่นอยู่พอดีเจ้าค่ะ”

“แล้วจะรออะไร นำทางไปสิ”

“หมวกเจ้าค่ะท่านหญิง”เสี่ยวมู่รีบเดินไปหยิบหมวกในห้องด้านในยื่นส่งให้นายสาว ใบหน้ากลมเปี่ยมรอยยิ้มแห่งความตื่นเต้นยินดี หลายปีแล้วที่ท่านหญิงเก็บตัวอยู่ในเรือนไม่ออกไปไหน จะมีออกไปแจกจ่ายอาหารแก่ผู้ยากไร้ด้านหน้าจวนก็เมื่อสามเดือนก่อนเท่านั้น ครั้นแจกจ่ายอาหารหมดสิ้นก็ตรงกลับเข้าจวนทันที หากไม่ได้หมอหญิงลู่ผู้นี้ช่วยเหลือ ไม่รู้ท่านหญิงจะเป็นอย่างไรต่อไป เพียงแค่นึกถึงความเกรี้ยวกราดของท่านหญิงในอดีตแล้ว เสี่ยวมู่พลันสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ครั้นเงยหน้าขึ้นเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของท่านหญิงมีต่อหมอหญิงลู่ ความหวาดกลัวในใจนางคล้ายจะลดลงไปหลายส่วน

“ข้าสบายดีแล้ว ไม่ต้องลำบากเจ้าประคองหรอก”หลี่ซูมี่กล่าวกับสาวใช้ของตน

“เจ้าค่ะท่านหญิง”เสี่ยวมู่รับคำสั่งและถอยเท้าออกมายืนข้างหลัง ซึ่งมีเสี่ยวซีและจางหลินยืนอยู่ก่อนจะเดินตามนายสาวทั้งสองไปเงียบๆ

“ท่านพ่อกลับมารึยัง?”หลี่ซูมี่เอ่ยถามพ่อบ้านใหญ่ที่บังเอิญพบเข้าระหว่างทางเดินไปยังด้านหน้าจวน

“กลับมาแล้วขอรับ ยามนี้อยูที่โถงหลัก”ชงหยวนค้อมศีรษะตอบด้วยความสุภาพนอบน้อม

“เอ๊ะ..ท่านพ่อมีแขกหรือ? ผู้ใดกัน?”หลี่ซูมี่ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะก้าวเดินต่อไป โดยมีลู่จิวเมี่ยวเดินเคียงข้าง ส่วนชงหยวนหลบไปยืนด้านข้าง รอจนท่านหญิงเดินผ่านไปจึงค่อยออกเดินตามหลังไป

“ขอรับ เป็นผู้นำสกุลอี้ อี้เฟยเทียน”

“อ้อ..เช่นนั้นรบกวนเจ้าช่วยไปรายงานท่านพ่อทีว่า ข้าจะไปโรงเตี๊ยมหมื่นลี้กับสหายยามเซินจึงจะกลับ”

“เอ่อ..เรียนท่านหญิง..นายท่านให้มาเชิญท่านหญิงและหมอหญิงลู่ไปโถงใหญ่ขอรับ”

“เอ๊ะ..ท่านพ่อได้บอกหรือไม่ว่าเรื่องอะไร?”หลี่ซูมี่ให้สงสัย เพราะเท่าที่นางทราบบุรุษผู้นี้เคยมาจวนราชครูพบท่านพ่อเพียงสองสามครั้งและนางก็เพียงมองดูอยู่ไกลๆไม่ได้เข้าไปทักทายแต่อย่างใด

“เรียนท่านหญิง เรื่องนี้นายท่านให้แจ้งว่า ไปถึงแล้วท่านหญิงจะทราบเองขอรับ”ชงหยวนก้มศีรษะต่ำลงไปอีกยามรายงาน ก้อนเนื้อข้างซ้ายเต้นกระหน่ำด้วยความหวาดหวั่น เกรงท่านหญิงจะมีโทสะ

“ข้ารู้แล้ว..ไปกันเถิดเมี่ยวเอ๋อร์”หลี่ซูมี่ตอบชงหยวนแล้วคว้าข้อมือบางมุ่งหน้าไปยังโถงใหญ่ โดยมีชงหยวนและสามบ่าวเดินตามไปห่างๆ

ครั้นมาถึงหน้าประตูทางเข้าโถง ชงหยวนรีบวิ่งเหยาะๆเข้าไปด้านใน เพียงครู่ก็กลับออกมาค้อมกายเชิญหลี่ซูมี่และลู่จิวเมี่ยวเข้าไป

ลู่จิวเมี่ยวไม่อยากถูกตำหนิว่าไร้มารยาทจึงคิดจะถอดหมวกผ้าโปร่งออก แต่ถูกหลี่ซูมี่ห้ามปรามไว้เสียก่อน ให้เหตุผลว่า ‘สตรียังมิได้ออกเรือนจะเที่ยวเปิดเผยหน้าตาให้บุรุษอื่นที่ไม่ใช่สามีเห็นส่งเดชไม่ได้’ หญิงสาวจึงเข้ามาทั้งที่สวมหมวกปิดบังใบหน้าท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ที่ชำเลืองมอง รวมถึงสายตาคมปลาบดุจใบมีดของอดีตสามี อี้เฟยเทียน..

“ลูกคารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ”หลี่ซูมี่ทำความเคารพบิดาอย่างอ่อนช้อยงดงามตามแบบชนชั้นสูง เห็นบิดาทำมืออนุญาตก็ยืดกายขึ้นแล้วทักทายบุรุษหนุ่ม“ท่านก็คือ..ผู้นำสกุลอี้?”

“อี้เฟยเทียนคารวะท่านหญิงหลี่”ร่างสูงลุกขึ้นค้อมศีรษะทักทายด้วยใบหน้าสุขุมและให้เกียรติ

“ท่านอี้เชิญตามสบายเถิด”หลี่ซูมี่ค้อมศีรษะลงเล็กน้อยตามศักดิ์ที่สูงกว่า ใบหน้าภายใต้หมวกผ้าโปร่งมีความสงสัยปรากฏอยู่

เมื่อคนอื่นทักทายจบ ก็ถึงคราวลู่จิวเมี่ยวบ้าง หญิงสาวย่อกายลงต่ำกว่าหลี่ซูมี่เล็กน้อยพลางกล่าว“ลู่จิวเมี่ยวคารวะท่านราชครูหลี่..คารวะท่านอี้เจ้าค่ะ” น้ำเสียงเรียบเรื่อยไร้ความเขินอายเช่นสตรีทั้งหลายควรมียามพบเจอบุรุษรูปงาม สร้างความประหลาดใจแก่อี้เฟยเทียนไม่น้อย

“อา..พวกเจ้ามาก็ดีแล้ว มี่เอ๋อร์มานั่งข้างพ่อมา”หลี่ฮุ่ยยิ้มกล่าว มืออวบกวักเรียกหลี่ซูมี่ “จะออกไปไหนกันรึ?”เอ่ยถามหลังเห็นว่านั่งลงเป็นที่เรียบร้อย

“ลูกจะมาขออนุญาตท่านพ่อไปดื่มชาที่โรงเตี๊ยมหมื่นลี้เจ้าค่ะ”หลี่ซูมี่คลี่ยิ้มหวาน แม้จะมีผ้าโปร่งสีขาวขวางกั้นไว้แต่ความบางของผ้าและความที่นั่งใกล้เพียงมือเอื้อมทำให้หลี่ฮุ่ยมองเห็นใบหน้าบุตรีได้ไม่ยาก ราชครูเฒ่าจึงยิ้มตอบ

“แล้วท่านพ่อเรียกข้ากับเมี่ยวเอ๋อร์มาพบ ไม่ทราบมีเรื่องใดหรือเจ้าคะ?”ดวงตาหงส์ชำเลืองมองบุรุษนั่งด้านขวามือแวบหนึ่งจึ่งถามเข้าประเด็น

“อ้อ..ลูกก็รู้ใช่รึไม่ว่าอนุภรรยาของท่านอี้ต้องพิษเช่นเดียวกับลูก?”

“เจ้าค่ะ หรือท่านอี้มาเยือนเพราะเรื่องนี้?”

“ถูกต้อง”หลี่ฮุ่ยพยักหน้าพลางชำเลืองมองหญิงสาวที่นั่งถัดจากบุตรีออกไป

ลู่จิวเมี่ยวชะงักเงยหน้าขึ้นก็สบกับตาคมปลาบดุจใบมีดของอดีตสามีที่มองอยู่ก่อนแล้วเข้าพอดี จึงมองตอบไม่หลบสายตา

“ทราบมาว่าแม่นางเป็นหมอ?”คำถามของชายหนุ่มทำเอาลู่จิวเมี่ยวย่นคิ้ว

“มิได้เจ้าค่ะ ข้าเพียงมีความรู้ด้านสมุนไพรมากกว่าผู้อื่นเท่านั้น”กวนมากวนกลับ ไม่โกงเจ้าค่ะ!

“อ้อ..เช่นนั้นจะรบกวนเกินไปรึไม่ ถ้าข้าจะเชิญแม่นางไปบ้านสกุลอี้?”อี้เฟยเทียนจงใจเน้นคำว่าแม่นางทุกคำ นั่นทำให้ลู่จิวเมี่ยวเกิดอาการหงุดหงิดไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

“บ้านสกุลอี้? หมายถึงคฤหาสน์ที่อยู่ในเมืองหลวงนี้หรือเจ้าคะ?”

“ถูกต้อง หาไม่จะเป็นที่ใดได้อีก..”อี้เฟยเทียนยิ้มเย้าอย่างอดใจไม่ไหว ด้วยทราบว่าหมอหญิงลู่ผู้นี้ก็คือสตรีที่ตนเคยช่วยไว้จากเหตุม้าคลั่งกลางตลาดเมื่อหลายเดือนก่อน กิริยาหวาดระวังและน้ำเสียงขอบคุณที่ขุ่นมัวคล้ายเจ็บใจ ไม่พอใจที่เขาช่วยไว้ สร้างความแปลกใจแก่เขาไม่น้อย ขณะเดียวกันก็นึกสนใจตัวนางขึ้นมาและส่งคนออกไปสืบ จนทราบว่าแท้จริงนางก็คือลู่จิวเมี่ยว บุตรีลู่จิวซาแห่งเมืองหยางหลิว เปิดกิจการร้านยาและค้าขายสมุนไพร ผิวเผินดูธรรมดาเหมือนร้านขายยา ขายสมุนไพรทั่วๆไป ไม่มีอะไรโดดเด่น

ทว่าความจริงแล้วร้านยาเฉ่าเย่ามีสมุนไพรและตัวยาล้ำค่าที่ว่าหาได้ยากยิ่งมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบัวหิมะสีชาด ที่มักขึ้นอยู่ตามซอกหินบนหน้าผาสูงชันสุดอันตราย หรือแม้แต่ จักรพรรดิแมงป่อง ราชาอสรพิษแห่งทะเลทรายที่เป็นดั่งฝันร้ายของนักเดินทาง เคลื่อนที่รวดเร็ว ว่องไวยากจะจับได้ และพิษของมันสามารถสังหารเหยื่อตัวโตอย่างม้าและคนได้ในเวลาเพียงหนึ่งเค่อเท่านั้น ร้านยาเฉ่าเย่ามี พร้อมขายออกไปทุกเมื่อขอเพียงเงินถึง

น่าเศร้าที่หลายเดือนก่อนเกิดเหตุร้ายกับบ้านสกุลลู่ โจรชั่วบุกปล้นและสังหารคนในบ้านอย่างเหี้ยมโหด เหลือเพียงนางที่รอดมาได้ราวปาฏิหาริย์ แต่นางก็เข้มแข็งนักจนเขานึกชื่นชม ยิ่งได้รู้ว่านางคือผู้ที่รักษาท่านหญิงหลี่จนหายดีจากพิษร้าย ความชื่นชมในใจจึงเพิ่มทวีคูณ และที่มาในวันนี้ นอกจากมาขอร้องนางให้ช่วยรักษาเหม่ยเอ๋อร์ อนุภรรยาของเขาแล้ว เขายังคาดหวังจะได้พูดคุยเรื่องยาหมื่นพิษพ่าย อันร้ายกาจของนาง หากเจรจาสำเร็จเขามั่นใจว่า ยามหัศจรรย์ นั่นจะทำให้ร้านอี้เย่าเตี้ยน โด่งดัง ชื่อเสียงระบือไกลยิ่งๆขึ้นไปอีก

อี้เย่าเตี้ยน แปลตรงตัวว่า ร้านขายยาสกุลอี้ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของเมืองตงไห่ จัดหาและจำหน่ายยาล้ำค่า ที่ได้รับการยอมรับจากหมอหลวงหรือหมอเทวดาเหอซือเค่อเท่านั้น ไม่ดีจริงอย่าหมายว่าร้านอี้เย่าเตี้ยนจะชายตาแล

ขณะที่อี้เฟยเทียนตกอยู่ในภวังค์ความคิด ดวงตามองหญิงสาวเบื้องหน้าอย่างเหม่อลอย แต่คนถูกมองไหนเลยสังเกตเห็น ด้วยกำลังหงุดหงิดกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม วาจากวนโทสะของอีกฝ่ายอยู่ ต่างจากหลี่ซูมี่ที่นั่งใกล้และสัมผัสถึงอารมณ์ขุ่นมัวของนางได้เป็นอย่างดี

“เป็นอะไร? ไยทำหน้าเหมือนกินยาขมเข้าไปทั้งหม้อเยี่ยงนั้น”หลี่ซูมี่เอียงตัวกระซิบถาม

ร่างบางชะงักดึงสายตากลับ“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ”แหม่..ท่านหญิงคนงามของเมี่ยว ไม่ได้จิกกัดข้าสักวันจะถ่ายไม่ออกรึไรเจ้าคะ!

“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว ว่าแต่เจ้าจะช่วยนางรึไม่?”หากน้องน้อยยอมรักษาหวังเจียวเหม่ยนางย่อมยินดี อย่างไรเสียสตรีผู้นั้นก็ทุกข์ทรมานมานานแล้วเช่นกัน

ลู่จิวเมี่ยวยิ้มให้นางแล้วหันไปสบตาอดีตสามีผ่านผ้าโปร่งสีขาว “ขออภัยเจ้าค่ะ ข้ายังมีธุระที่ต้องไปจัดการอีกมาก ไม่สามารถไปคฤหาสน์สกุลอี้กับท่านได้ในวันนี้..”แสร้งทำท่าทางลำบากใจ แต่ครั้นเห็นดวงตาคมปลาบเป็นประกายวาบก็เหยียดยิ้ม“แต่เพราะท่านคือผู้ช่วยชีวิต ข้าจึงขอตอบแทนด้วยการมอบโอสถนี้แก่ท่าน”มือเรียวรับกล่องบรรจุ ยาหมื่นพิษพ่าย จากสาวใช้ ก้าวออกไปยืนตรงกลางเบื้องหน้าราชครูเฒ่าและอี้เฟยเทียน

อี้เฟยเทียนรีบลุกขึ้น ยื่นมือรับกล่องบรรจุโอสถจากมือเรียวดุจลำเทียนด้วยความยินดี “ขอบคุณท่านหมอหญิง น้ำใจของท่านในวันนี้ อี้เฟยเทียนจะขอจดจำและหาทางตอบแทนอย่างแน่นอน”ชายหนุ่มประสานมือขึ้นเสมออกโค้งกายให้นาง

แต่ร่างบางเบี่ยงหลบแล้วว่า“มิได้ๆ โอสถเพียงเล็กน้อยไหนเลยจะเทียบเท่าบุญคุณช่วยชีวิตที่ท่านช่วยไว้ในครั้งนั้นได้ อีกอย่างอนุหวังต้องพิษกระเรียนแดงเฉกเช่นท่านหญิง จำต้องกินโอสถนี้สองเม็ด แต่ในวันนี้ข้านำติดตัวมาเพียงเม็ดเดียวเท่านั้น”

“เช่นนั้นแสดงว่าเจ้ายังมีโอสถสวรรค์นี้อีกใช่รึไม่?”

โอสถสวรรค์รึ?..อา..จะว่าไปที่ท่านลุงหลี่พูดมาก็ถูก ยานี้เป็นโอสถที่องค์เง็กเซียนประทานให้เรียกว่า โอสถสวรรค์ ย่อมเหมาะสมยิ่ง

“เมี่ยวเอ๋อร์ยังมีอีกเล็กน้อยเจ้าค่ะ”พอนางคุกเข่าสาบานเป็นพี่น้องกับท่านหญิงเมื่อเดือนก่อน ราชครูผู้นี้ก็บอกให้นางใช้คำแทนตัวว่า เมี่ยวเอ๋อร์ และให้เรียกตนท่านพ่อบุญธรรม แต่นางปฏิเสธขอเรียกท่านลุงหลี่แทน โดยอ้างว่าตนนั้นต่ำต้อยเป็นเพียงลูกพ่อค้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งบุตรีบุญธรรมขุนนางใหญ่ ซึ่งกว่าอีกฝ่ายจะยินยอมก็เล่นเอานางเสียพลังงานไปไม่น้อยกับการต้องงอนง้อคนแก่แสนเอาแต่ใจผู้นี้!

"ยามซื่อวันพรุ่ง ข้าจะนำมันไปมอบให้ท่านที่คฤหาสน์และขอตรวจอาการป่วยอนุหวังเสียเลย ไม่ทราบว่าท่านอี้คิดเห็นประการใด?"ดวงตากลมโตจ้องอีกฝ่ายผ่านผ้าโปร่ง 'หึ..ดูซิด้วยเวลาอันสั้นเจ้าจะพานางกลับมาทันได้อย่างไร?'

ก่อนจะเดินเข้ามาในโถงยมทูตขาวที่ไม่รู้อยู่แห่งหนใดได้กระซิบบอกเรื่องนี้ให้นางทราบผ่านกระแสจิต ได้ฟังก็อดโมโหแทนไม่ได้ ทั้งที่อดีตรักกันปานจะกลืนกิน แต่พอหญิงคนรักต้องพิษ หน้าตาอัปลักษณ์ คนรักเช่นเขาสมควรดูแลใกล้ชิด เขากลับส่งนางไปบ้านบรรพบุรุษสกุลอี้เมืองหยาง เมืองหน้าด่านซึ่งห่างไกลผู้คนและความสะดวกสบายทั้งปวง! แม้จะยังมีใจนึกถึงหญิงคนรักอยู่บ้าง ด้วยการบากหน้าหนาๆมาขอความช่วยเหลือจากนาง แต่เขาคงลืมไปกระมังว่าเพียงแค่นี้ จะไปทดแทนความรู้สึกเสียใจ เจ็บปวดใจยามถูกคนรักส่งตัวไปอยู่ที่อื่นได้อย่างไรกัน!

“อา..น่าเสียดาย วันพรุ่งยามเหม่าข้าต้องเดินทางไปต่างเมือง ไม่อาจอยู่ต้อนรับท่านหมอหญิงได้..”อี้เฟยเทียนรีบปฏิเสธด้วยท่าทางสุภาพ ทั้งที่ใจลอบตระหนก ด้วยคนที่นางต้องการพบถูกเขาส่งไปรักษาตัวอยู่อีกเมืองหนึ่งซึ่งห่างไกลจากเมืองหลวงไม่น้อย หากเดินทางโดยรถม้าต้องใช้เวลาไปกลับนับสิบวันเลยเทียว และเรื่องนี้มีเพียงคนในบ้านสกุลอี้ไม่กี่คนที่ทราบ

“แต่ว่าโอสถนี้ต้องกินหลังเม็ดแรกห้าชั่วยาม หากเลยเวลาฤทธิ์ของมันจะลดลงไปกึ่งหนึ่ง”ลู่จิวเมี่ยวลอบสังเกตอากัปกิริยาบุรุษตรงหน้า เห็นขมวดคิ้วมุ่นหนักใจจึงว่า“ยิ่งปล่อยไว้นานโอกาสที่จะหายและกลับมางดงามดังเดิมยิ่งลางเลือน”กล่าวจบไม่ลืมเอานิ้วชี้ไขว้นิ้วกลางอย่างทุกครั้งที่มุสา ความจริงยาหมื่นพิษพ่ายของนาง ไม่สิ..โอสถสวรรค์ที่องค์เง็กเซียนเสกให้มีประสิทธิภาพล้ำเลิศกว่ายาหมื่นพิษพ่ายของนางมากนัก ไม่ใช่แค่ถอนพิษได้แต่สามารถขจัดพิษทั้งหลายบนโลกใบนี้ได้อย่างหมดจด ที่สำคัญในเม็ดเดียวกันยังมีสรรพคุณช่วยฟื้นฟูและบำรุงร่างกายให้กลับมาแข็งแรงงดงามดังเดิมอีกด้วย

“หากเป็นเช่นนั้น เกรงว่าข้าคงต้องรบกวนท่านแล้ว”อี้เฟยเทียนค้อมศีรษะลงเล็กน้อยอย่างขออนุญาตความหมายคือ จะเดินทางไปรับโอสถด้วยตนเองในวันนี้ ซึ่งก็เป็นไปตามที่ลู่จิวเมี่ยวคาดการไว้ หญิงสาวลอบเบะปากมองบน

“หาได้รบกวนไม่ ข้ากำลังจะกลับอยู่พอดีเจ้าค่ะ”

“แล้วนัดหมายของข้าเล่า? จะเลื่อนออกไปรึ? ไม่ได้..ข้าไม่ยอมนะ!”หลี่ซูมี่กล่าวแทรก หลายปีแล้วที่นางเก็บตัวอยู่แต่ในจวน ไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก เมื่อสบโอกาสทั้งทีจึงตั้งใจจะไปจิบชาสนทนาเรื่อยเปื่อย และหาซื้อเครื่องประดับสักชิ้นสองชิ้น มอบให้น้องสาวร่วมสาบานเสียหน่อย จู่ๆจะมายกเลิกนางไหนเลยจะยินยอม!

“ข้าก็ไม่ได้จะยกเลิกนัดเสียหน่อย นี่ท่านลืมแล้วหรือว่าข้าพักอยู่ที่ใด?”

หลี่ซูมี่ชะงัก ใบหน้างามค่อยๆเห่อร้อนขึ้นเมื่อตระหนักในคำถามนั้น แต่ด้วยทิฐิจึงเชิดคางกล่าวอย่างมีอารมณ์ “ข้าไม่ได้ลืม ที่ย้ำก็เพื่อความมั่นใจเท่านั้นว่าเจ้าจะไม่บิดพลิ้ว เบี้ยวนัดข้า”

‘แถวนไปเจ้าค่ะท่านหญิงไก่ของเมี่ยว แถจนสีข้างถลอกแล้วกระมัง’ลู่จิวเมี่ยวยิ้มอ่อนไม่กล่าวตอบสิ่งใดอีก

การสนทนาดำเนินต่อไปราวหนึ่งเค่อ สองสตรีหนึ่งบุรุษและผู้ติดตามกว่าสิบชีวิต จึงได้เคลื่อนขบวนออกจากจวนราชครูมุ่งหน้าไปโรงเตี๊ยมหมื่นลี้อย่างไม่รีบร้อน สืบเนื่องจากเป็นรถม้าจวนขุนนางใหญ่จึงดูหรูหรา อลังการสะดุดสายตาผู้คนที่สัญจรผ่านไปมา ยิ่งมีบุรุษรูปงามอย่างอี้เฟยเทียนควบม้านำขบวนอีก ขบวนนี้จึงตกเป็นเป้าสายตาและเสียงซุบซิบ วิพากษ์วิจารณ์ทันที แต่หญิงสาวที่ถูกกล่าวถึงอย่างหลี่ซูมี่กลับนั่งจิบชาหรี่ตามองหญิงสาวอีกคนฝั่งตรงข้าม








มาแล้วจ้าอีกหนึ่งตอน หลัวเก่าเป็นฝ่ายมาหาเองเลยล่ะเธออออออ ใครหมั่นไส้ฝากไรท์ด่าได้น้า555555

แล้วพบกันพรุ่งนี้เช้าจ้า^_^


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว