โถงหลักสกุลอี้
“พี่ได้ยินว่าเจ้าให้คนออกไปปล่อยข่าวเพื่อกลบข่าวลือนั่นให้นาง?”อี้เฟยเทียนวางถ้วยชาพลางเอ่ย
“ท่านพี่ทราบ?”หวังเจียวเหม่ยทำท่าตกใจคล้ายไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้ ก้มหน้าลงตอบรับเสียงเบา “เจ้าค่ะ น้องได้ยินข้างนอกนินทาให้ร้ายคุณหนูเหอแล้วทนไม่ได้ จึงจ้างคนออกไปแก้ข่าวให้เจ้าค่ะ”
“..อ้อ..”ตอบรับและหรี่ตามองหญิงงามเบื้องหน้านิ่ง หลายวันที่ผ่านมานับจาก อดีตภรรยาย้ายออกไป เพียงชั่วข้ามคืนข่าวลือที่สร้างความเสื่อมเสียแก่นางและสกุลเหอก็แพร่กระจายไปจนทั่วเมืองหลวงว่า..
ที่ประมุขสกุลอี้มอบหนังสือหย่าให้นาง เป็นเพราะซินแสท่านหนึ่งทักว่านางเป็นหญิงกาลกิณี....จะนำพาหายนะและความโชคร้ายมาสู่ตระกูลและจะล่มสลายไร้ทายาทสืบสกุลเพราะนาง
คราวแรกที่ได้ฟังรายงานนี้ อี้เฟยเทียนไม่พอใจและสั่งให้คนสืบหาตัวการปล่อยข่าวลือไร้สาระนั่นทันที ส่วนตัวเองรอจังหวะที่จะไปเยือนสกุลเหอเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจอยู่ ทว่าผ่านไปไม่กี่วันคนของเขาก็มารายงานว่า ชาวเมืองกำลังให้ความสนใจข่าวใหม่มาแรง เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกปากกลบข่าวเก่าเสียสิ้น
“คุณหนูเหอแต่งให้ประมุขสกุลอี้ เป็นเพราะคำสัญญาของผู้ใหญ่กำหนดเวลาหนึ่งปี ภายในหนึ่งปี หากทั้งสองไม่มีใจผูกสมัครรักใคร่ต่อกันก็ให้หย่าร้างกันได้”
เมื่อได้ฟังข่าวนี้อี้เฟยเทียนพอใจมาก แต่ก็ไม่นิ่งนอนใจสั่งให้คนสืบหาตัวการปล่อยข่าวจนได้รู้ความจริงอันน่าตื่นตะลึง
“เอ่อ..ข่าวลือทั้งสองมาจากเรือนอิงฮวาของนายหญิงหวังขอรับ”เหยาจิ้งรายงานเสียงเบา ความเงียบที่ตอบกลับมาทำให้พ่อบ้านใหญ่อดที่จะเหลือบตามองนายท่านไม่ได้ แต่ก็เห็นเพียงนายท่านยืนหันหลังสองมือไพล่กันอยู่ข้างหลัง ไม่ทราบกำลังครุ่นคิดสิ่งใด
“ข้ารู้แล้ว ออกไปได้”
“ขอรับนายท่าน”พ่อบ้านใหญ่รีบเผ่นออกมาไม่ต้องรอให้สั่งซ้ำ ร่างผอมบางเป่าลมออกทางปากโล่งใจ แม้ไม่เห็นสีหน้าแต่แรงกดดันที่นายท่านปล่อยออกมาเข้มข้นจนเขาเสียวสันหลังวาบ
“พ่อบ้านเหยา นายท่านกำลังมีโทสะหรือ?”หานตงที่เฝ้าอยู่หน้าประตูกระซิบถาม
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น”เหยาจิ้งกระซิบตอบ
“นายท่านคงผิดหวังที่นายหญิงเรือนอิงฮวาสร้างเรื่องปวดหัวให้”เหยาจิ้งและหานตงพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของหานลี่ สายตาสามคู่ลอบมองเข้าไปข้างในห้องแวบหนึ่งก่อนจะหันมามองหน้ากันแล้วถอนหายใจ นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน
กลับมาปัจจุบัน
“ท่านพี่ ถึงแม้เหม่ยเอ๋อร์จะทำตัวร้ายกาจไปบ้าง แต่เหม่ยเอ๋อร์ทำไปเพื่อท่านพี่นะเจ้าคะ”หวังเจียวเหม่ยเห็นสามีไม่กล่าวว่ากระไร จึงลงไปนั่งคุกเข่าแนบหน้ากับท่อนขาแข็งแรงของสามีออดอ้อนเสียงหวานขอความเห็นใจ
“พี่ไม่ติดใจเอาความเรื่องที่ผ่านมา แต่พี่มีเรื่องจะถามเจ้าและขอให้เจ้าตอบตามจริง”หลุบตากล่าวกับนางที่ยังกอดขาตนเองไม่ยอมปล่อย
“เหม่ยเอ๋อร์จะพูดแต่ความจริงเจ้าค่ะ แต่ก่อนที่ท่านพี่จะถามอะไร เหม่ยเอ๋อร์มีเรื่องจะสารภาพเจ้าค่ะ”
คิ้วกระบี่เลิกขึ้นสงสัยเมื่อเห็นอนุคนโปรดถอยเข่าออกห่างแล้วเงยหน้าขึ้นมองตนอย่างขออนุญาต “สารภาพ?”
“เจ้าค่ะ”
“ว่ามา”
“ข่าวลือแรกที่กล่าวให้ร้ายคุณหนูเหอ เป็นฝีมือสาวใช้ของน้องเอง นางเจ็บแค้นแทนน้องจึงได้ทำเช่นนั้นเจ้าค่ะ พอน้องทราบเรื่องก็โกรธมากสั่งโบยนางไปสิบไม้ อีกทั้งยังจ้างให้คนปล่อยข่าวลือใหม่เพื่อสยบข่าวลือนั้นเจ้าค่ะ"
ถ้อยคำที่ออกจากริมฝีปากอิ่มสีแดงสดของหญิงงาม สร้างความประหลาดใจแก่อี้เฟยเทียนไม่น้อย หมอกควันแห่งความขุ่นเคืองสลายหายไปเกือบหมด ร่างสูงลุกขึ้นประคองร่างอรชรอ้อนแอ้นขึ้นมานั่งข้างกาย เอ่ยกำชับเสียงเข้ม
“ครั้งนี้พี่ให้อภัยเจ้า แต่อย่าคิดทำอะไรโดยพลการอันจะนำความเสื่อมเสียมาสู่สกุลอี้อีก เข้าใจรึไม่?”
“เจ้าค่ะ น้องเข้าใจแล้ว”หวังเจียวเหม่ยรับปากเสียงหวาน สองมือกอดแขนสามีแล้วแนบหน้ากับท่อนแขนแข็งแรงประจบ
ชายหนุ่มหลุบตามองนางด้วยสายตาอ่อนโยนแต่ไม่ได้อ่อนโยนเท่าแต่ก่อน ไพล่นึกถึงใบหน้างดงามของสตรีอีกนางที่เคยเป็นภรรยาเอกของตนแล้วให้เจ็บแปลบบริเวณอกซ้ายขึ้นมา
‘เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าจะเป็นเช่นใดบ้าง? จะคิดถึงพี่บ้างหรือไม่?’
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดถึงสตรีอื่นอยู่ หญิงงามกลับเหยียดยิ้มร้าย อันที่จริงข่าวลือทั้งสองเป็นนางที่อยู่เบื้องหลัง ข่าวลือแรกเกิดจากความคับแค้นใจจนเลอะเลือนไปชั่วขณะ ครั้นตั้งสติได้จึงรีบให้คนปล่อยข่าวใหม่ออกไปสยบข่าวแรก ด้วยคาดการว่าสามีนางจะต้องหาตัวการที่ปล่อยข่าวลือเป็นแน่ ซึ่งก็เป็นไปตามที่นางคาดเดาไว้จริงๆ
ประการสำคัญนอกจากสามีจะชื่นชอบสตรีอ่อนหวาน เอาใจเก่งแล้ว ยังชื่นชมคนกล้า กล้าทำกล้ารับ นางจึงเลือกใช้วิธีชิงสารภาพความจริงกับเขาก่อนและผลก็เป็นดังคิด
ทางด้านโรงเตี๊ยมหมื่นลี้ บนชั้นสามห้องริมสุดอันเป็นห้องทำงานของเหอซือเมี่ยว ร่างระหงในอาภรณ์สีงาช้างกำลังนั่งจิบชาสมุนไพรอยู่กับบิดาอย่างสบายอารมณ์
“เป็นอย่างไร?ถูกใจข่าวลือหรือไม่?”
คนถูกถามเงยหน้าส่งยิ้มหวาน“หากให้เดา ลูกคิดว่าน่าจะเป็นฝีมือของหวังเจียวเหม่ยเจ้าค่ะ”
“หืม? เหตุใดจึงคิดว่าเป็นฝีมือนาง?”
“ท่านพ่อก็ทราบ ลูกไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับผู้ใดจะมีก็แต่นางเท่านั้น อีกอย่างในวันนั้นนางทำให้สามีขุ่นเคืองใจและผิดหวังไม่น้อย ลูกคิดว่านางคงโกรธแค้นลูกมากเลยสั่งให้คนปล่อยข่าวหวังทำลายชื่อเสียงของลูก แต่ต่อมานางคงจะคิดได้และกลัวสามีรู้ความจริงจึงสั่งให้คนปล่อยข่าวใหม่สยบข่าวเก่าเจ้าค่ะ”
“เจ้าพูดมาก็มีเหตุผลหากเป็นดังที่ลูกว่า นับว่านางยังฉลาดเฉลียวพอตัวทีเดียว”
“หากนางโง่เขลาเบาปัญญา ไหนเลยจะเอาสามีใจดำแถมยังเล่ห์อยู่เล่าเจ้าคะ”
“เป็นสตรีพูดจาเช่นนี้มันไม่งามรู้รึไม่?”เหอซือเค่อตีหน้าขรึมตำหนิบุตรี
“ข้าน้อยทราบแล้วเจ้าค่ะ นายท่านเหอ”ร่างระหงหาเกรงกลัวไม่ ทำหน้าทะเล้น สองมือยกขึ้นประสานคำนับแบบชาวยุทธ
“เจ้านี่นะ เฮ้อ! เห็นทีสกุลเหอคงไร้ทายาทสืบสกุลเป็นแน่”
"แหม ลูกสาวท่านพ่อออกจะงดงามปานนางฟ้านางสวรรค์ ไม่ต้องกลัวว่าจะขึ้นคาน...เอ๊ย...เป็นสาวเทื้อหรอกเจ้าค่ะ"ว่าพลางคลานเข่าเข้าไปหาบิดาที่นั่งหน้าตึงส่งสายตาดุฝั่งตรงข้าม เอนกายลงนอนหนุนตักอบอุ่นที่ตนโหยหาในภพที่จากมาหลับตาพริ้มใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
"เฮ้อ..."เหอซือเค่อส่ายหน้าอ่อนใจ มือหยาบกระด้างลูบศีรษะนางเบาๆ นัยน์ตาอบอุ่นมีประกายความหมองหม่นวาบผ่าน เมื่อระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับบุตรีผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจตลอดระยะเวลาถึงหนึ่งปีเต็มยามที่อยู่จวนสกุลอี้
‘ลูกพ่อ นับจากนี้พ่อจะปกป้องเจ้า จะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมารังแกเจ้าได้อีก!’
"อ๊า! ลืมไปเสียสนิทเลย"
"เป็นอะไรไป? ลืมสิ่งใดรึ?"เห็นบุตรีผุดลุกนั่งพรวดพราดร้องเสียงดังไม่รักษากิริยา จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
"ลูกลืมไปว่ามาที่นี่ เพื่อสอนพ่อครัวทำขนมต้านหวงฮวาเจ้าค่ะ"
"เช่นนั้นก็ไปเถิด พ่อจะรอเจ้าอยู่ที่ห้องนี้"
"เจ้าค่ะ เดี๋ยวลูกจะทำมาให้ท่านพ่อลิ้มลองนะเจ้าคะ"
"ดี! แล้วพ่อจะรอชิมขนมของเจ้า"
หญิงสาวสนทนากับบิดาอีกสองสามประโยคแล้วลงมาที่ห้องครัว ซึ่งเหล่าพ่อครัวและคนงานในร้านกว่าห้าสิบชีวิตยืนรออยู่ก่อนแล้ว
อันว่าโรงเตี๊ยมหมื่นลี้แห่งนี้เปิดกิจการมาเกือบห้าสิบปีแล้ว ตั้งอยู่ใจกลางเมืองตงไห่ โรงเตี๊ยมขนาดใหญ่สามชั้น ชั้นล่างเปิดเป็นร้านอาหารส่วนชั้นสองและชั้นสามเปิดเป็นห้องพักแขก จัดเป็นโรงเตี๊ยมที่มีชื่อเสียงในหมู่ลูกค้าขาจรและลูกค้าขาประจำ ด้วยราคาที่สมเหตุสมผล อาหารสด สะอาดและอร่อย
"หลงจู๊คงแจ้งให้ทราบแล้วว่าข้าจะสอนพ่อครัวทำขนมชนิดใหม่..."กวาดตามองทุกคนรอบหนึ่ง "อีกห้าวันร้านของเราจะปิดปรับปรุงเป็นเวลาหนึ่งเดือน ข้าจะใช้ช่วงเวลานั้นสอนขนมชนิดใหม่ให้พ่อครัวทุกคน"เห็นทุกคนตั้งอกตั้งใจฟังที่นางพูด เหอซือเมี่ยวพลันคลี่ยิ้มพอใจพลางกล่าวต่อ "ไม่ต้องห่วง ช่วงที่ร้านปิดปรับปรุงทุกคนจะได้ค่าแรงตามปกติ แต่สถานที่ทำงานจะเปลี่ยนจากที่นี่เป็นโรงครัวสกุลเหอแทน”
เหล่าคนงานหลายคนพอได้ฟังต่างแย้มยิ้มยินดีเป็นที่สุด เพราะไม่ต้องกังวลใจว่าช่วงหนึ่งเดือนที่ร้านปิดปรับปรุงจะขาดเบี้ยอัฐไว้ใช้จ่ายในบ้าน เนื่องจากพวกเขาทำงานรับค่าจ้างเป็นรายวันหาใช่พนักงานประจำเช่นเหล่าพ่อครัวไม่
“อ้อ..คนงานที่ทำงานเกินหนึ่งปีขึ้นไป ข้าจะให้เป็นคนงานประจำร้าน มีเงินเดือนที่แน่นอน ทำงานหกวันหยุดหนึ่งวันโดยไม่หักค่าแรง ส่วนคนงานรายวันก็เช่นเดียวกันเพียงแต่หากมาทำงานในวันหยุดจะได้ค่าแรงสองเท่าของวันปกติ”หยุดมองสีหน้าคนงานแวบหนึ่ง
“หากวันใดคนงานไม่พอจนต้องทำงานเกินเวลา ข้าจะจ่ายเงินให้เป็นกรณีพิเศษ หากตนเองหรือคนในครอบครัวเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา ให้ส่งคนมาแจ้งที่หลงจู๊ ทางร้านมีหมอประจำคอยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่ รักษาให้โดยไม่คิดเงินและไม่หักเงินเดือน”
‘รักษาให้โดยไม่คิดเงิน? ไม่หักเงินเดือน?โอ..สวรรค์’
“ขอบคุณคุณหนู!!!”พอหายตะลึงเหล่าคนงานกว่าห้าสิบชีวิตพลันคุกเข่าโขกศีรษะพร้อมกับกล่าวขอบคุณนางเสียงดังด้วยความตื้นตันใจและซาบซึ้งใจ บางคนถึงกับหลั่งน้ำตา
‘เจ้านายที่ประเสริฐ มีเมตตาและเปี่ยมด้วยคุณธรรมเช่นนี้ เห็นทีคงหาไม่ได้อีกแล้วนับเป็นวาสนาของพวกเขาโดยแท้’
“พูดเพียงไม่กี่คำก็สามารถซื้อใจคนงานได้ คุณหนูช่างฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนักนะขอรับ”จิ้นฝานชื่นชมจากใจจริง เปลี่ยนคำเรียกจาก นายหญิง เป็นคุณหนู แทนหลังทราบเรื่องราวทั้งหมด
“ใช่ๆ นางสมเป็นบุตรีคนเดียวของข้า!”เหอซือเค่อยิ้มรับสีหน้าภาคภูมิใจยิ่ง เขาเบื่อที่จะนั่งอยู่เฉยๆจึงลงมาที่โรงครัวเพื่อดูบุตรี เห็นนางพูดคุยกับเหล่าคนงานอยู่จึงหยุดฟัง คำพูดของนางสร้างความประหลาดใจแก่เขายิ่งนัก มันช่างแปลกแตกต่าง โดยเฉพาะเรื่องความเจ็บป่วยที่รักษาให้แบบไม่คิดเงินและไม่หักค่าจ้าง ซึ่งที่ไหนๆเขาไม่ทำกัน จึงคิดเข้าไปคัดค้าน แต่พอเห็นเหล่าคนงานคุกเข่าขอบคุณนางสายตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ ทำให้เขาไม่อยากดูเป็นบิดาจิตใจคับแคบในสายตาของบุตรี จึงเลือกที่จะดูอยู่ห่างๆแทน
หลังการประชุมสิ้นสุดลง ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน ใบหน้ายิ้มแย้มมีชีวิตชีวา พลอยทำให้ลูกค้าแขกเหรื่อที่เข้ามาใช้บริการพึงพอใจและมีความสุขที่ได้รับการบริการอย่างดี จนลูกค้าหลายรายพากันตบรางวัลให้เป็นกรณีพิเศษ
ส่วนร่างระหงกำลังสาละวนทำขนมต้านหวงฮวา เหล่าพ่อครัวต่างให้ความสนใจเพราะเป็นขนมชนิดใหม่ไม่เคยได้ยินหรือเคยเห็นมาก่อน พอว่างก็รีบมายืนมุงดูทันที และสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาทำเอาพ่อครัวตะลึงด้วยความตื่นเต้น ‘อา! ขั้นตอนง่ายๆและส่วนผสมอันน้อยนิด กลับสร้างขนมหน้าตางดงามสีสันสดใสไม่ต้องใส่สีปรุงแต่งให้วุ่นวายได้น่ารับประทานถึงเพียงนี้! คุณหนู ท่านเก่งกาจเกินไปแล้ว!’
“ทุกคนลองชิมดู”ไม่ต้องรอให้นางกล่าวซ้ำพ่อครัวกว่าสิบที่รออยู่แล้วก็รีบหยิบถ้วยชาเล็กๆที่มีขนมสีเหลืองทองรูปดอกไม้อยู่ข้างในดมกลิ่นแล้วส่งเข้าปากทันที
“หอมหวานกำลังดี ไม่น่าเชื่อว่าจะทำมาจากไข่แดงและน้ำเชื่อมเพียงสองอย่างเท่านั้น”เกาหมิงเจ๋อ หัวหน้าพ่อครัวร่างอ้วนวิจารณ์ตรงไปตรงมา
“ใช่ๆข้าไม่เคยลิ้มลองขนมที่ทำจากไข่แดงล้วนๆเช่นนี้มาก่อน กลิ่นคาวรึก็หามีไม่”
“ดีใจที่ทุกคนชอบ”
“เอ่อ คุณหนูแล้วจะทำเช่นไรกับไข่ขาวเหล่านี้ขอรับ?”พ่อครัวคนหนึ่งเอ่ยถาม
“เรามีรายการอาหารผักชุบแป้งทอดอยู่ เช่นนั้นลองตอกไข่ลงไปเพิ่มในไข่ขาวที่มีอยู่แล้ว ตีให้เข้ากัน นำผักลงไปชุบให้ทั่วแล้วทอดให้กรอบ กินคู่กับน้ำจิ้มสามรสสูตรพิเศษน่าจะใช้ได้นะ”คิดว่างั้น นางเองก็ไม่เคยลองทำดูมาก่อน แต่เคยทำผักชุบไข่ทอดจิ้มกับน้ำพริกกะปิ เลยคิดว่าคงไม่ต่างกันเท่าไหร่
“ข้าน้อยจะลองทำดูขอรับ”เกาหมิงเจ๋อรับคำแข็งขัน แล้วหันไปสั่งคนงานให้กลับไปทำงาน
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย หญิงสาวจึงเดินนำถิงถิงมาหาบิดาที่ยืนยิ้มมองอยู่ จากนั้นพากันขึ้นไปบนห้องทำงานของนาง ปรึกษาหารือเรื่องการปรับปรุงร้านต่อไป กว่าจะเสร็จสิ้นได้ล่วงเข้ายามเซินแล้ว สองพ่อลูกผูกพันจึงเดินทางกลับสกุลเหอ ท่ามกลางสายตาเห็นใจและชื่นชมของชาวบ้านร้านตลาดที่ทราบเรื่องราว หลายคนเดินเข้ามาพูดคุยให้กำลังใจนางและบิดา ซึ่งเหอซือเมี่ยวทำเพียงยิ้มขอบคุณไม่กล่าวสิ่งใดให้มากความ
พอขึ้นรถรถม้าได้นางถึงกับถอนใจยาวเสียงดัง จนบิดาส่ายหน้ากับกิริยาไม่งามของบุตรีแต่ไม่กล่าวว่ากระไร นัยน์ตาอบอุ่นทอดมองบุตรีที่นั่งหลับตาก่อนจะหลับตาลงบ้าง
รถม้าที่ได้ผู้ช่วยอย่าง อันจี้กวง เป็นสารถีมีถิงถิงสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์นั่งอยู่ข้างๆขับพานายท่านและคุณหนูได้เพียงครึ่งทางจำต้องหยุดลงเพราะถูกกลุ่มคนห้าคนขวางทาง
“ผู้ใดหรือจี้กวง?”เหอซือเค่อส่งเสียงถาม
“เอ่อ...เป็นนายท่านอี้ อี้เฟยเทียนกับผู้ติดตามสี่นายขอรับอาจารย์”อันจี้กวงตอบเบาๆ
“หือ?”พอทราบว่าผู้ใดขวางทางนัยน์ตาอบอุ่นพลันแข็งกร้าวขึ้น ใบหน้าแย้มยิ้มตลอดทั้งวันแปรเปลี่ยนไปเครียดขึงแข็งกระด้าง กล่าวออกมาเสียงห้วนไม่คิดจะรักษาไมตรี
“บอกไปว่าข้าไม่ว่างจะสนทนาด้วย มีงานอีกมากที่ต้องกลับไปสะสาง”
“ท่านลุง ข้าขอเวลาท่านเพียงครู่เดียวเท่านั้น แล้วจะยอมจากไปแต่โดยดีขอรับ”คำขอร้องที่สุภาพและให้เกียรติ ที่ดังอยู่ข้างหน้าต่างรถม้า ทำให้เหอซือเค่อจำใจเลิกผ้าม่านขึ้น ครั้นเห็นสายตาคมกริบเหลือบมองบุตรีที่นั่งหลับอยู่ก็บังเกิดความไม่พอใจ ย้ายร่างมานั่งฝั่งบุตรีบดบังสายตาสอดรู้ของอีกฝ่าย “เจ้ามีสิ่งใดจงว่ามาเถิด? ข้ามีเวลาไม่มาก”
“หากท่านคิดจะมาขออภัยข้า ข้ายินดียกโทษให้เจ้าค่ะ”
ยังไม่ทันที่อี้เฟยเทียนจะได้กล่าวสิ่งใด เสียงกังวานใสดุจระฆังแก้วดังแทรกขึ้นมา
‘นางให้อภัยข้า!’ ชายหนุ่มยกยิ้มยินดีมองนางด้วยสายตาลึกซึ้งและมีความหมาย
“เมี่ยวเอ๋อร์..นี่ลูก...”ตรงข้ามกับเหอซือเค่อที่แสดงความขุ่นเคืองใจชัดเจน
เหอซือเมี่ยวเห็นดังนั้นจึงส่งยิ้มหวานตอบบิดา เอียงศีรษะเผชิญหน้ากับอดีตสามีพลางกล่าว “ข้าให้อภัยท่านและไม่คิดพยาบาทเคียดแค้นใดๆทั้งสิ้น แต่หากท่านคิดจะมาขอโอกาสสานสัมพันธ์แล้วไซร้ ขอบอกตรงนี้เลยว่า เสียเวลาเปล่า ความรู้สึกรักใคร่ที่ข้ามีต่อท่าน มันหมดไปนับแต่วันนั้นแล้ว ไม่หลงเหลือแม้เศษเสี้ยวในหัวใจ”
‘ไม่หลงเหลือแม้เศษเสี้ยวในหัวใจ?’ ดีใจเพียงชั่วหนึ่งลมหายใจเข้าออก นางก็ชักดาบสังหารเขาอย่างไร้ความปรานี ร่างสูงตัวแข็งทื่อ ชาหนึบไปทั้งร่าง อุตส่าห์หมายใจว่า หากขออภัยนางอย่างจริงใจและขอโอกาสได้พิสูจน์ตนเองสักครั้ง ด้วยความรักที่นางมีให้มากล้นเต็มหัวใจ คิดว่านางต้องใจอ่อนและยินดีเป็นแน่...แต่แล้ว…….
กว่าอี้เฟยเทียนจะกลับมามีสติอีกครั้ง รถม้าสกุลเหอได้แล่นจากไปไกลแล้วหลงเหลือไว้เพียงฝุ่นคลุ้งกระจายและถ้อยคำบาดใจดังก้องที่ชั่วชีวิตนี้...ไม่มีทางลืมเลือน...
ตอนที่ 7 มาแล้วจ้าาาา ไรท์จะทยอยอัพไปเรื่อยๆ
ส่วนรีดท่านใดที่เพิ่งเข้ามาอ่าน ก็ขอต้อนรับด้วยความยินดี และขอให้สนุกกับนิยายจ้า
เหมือนเดิมขอฝากนิยายเรื่องแรก จอมทัพตื๊อรัก ด้วยจ้า ใครที่ต้องการในรูปแบบหนังสือหรือ e-book สามารถหาซื้อได้แล้วจากหลายเว็บไซต์
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว