เหอซือเมี่ยว-ความสุขแสนประเสริฐ ๕๐ : จงรับผลกรรมที่ก่อซะ!!

โดย  fews

เหอซือเมี่ยว

ความสุขแสนประเสริฐ ๕๐ : จงรับผลกรรมที่ก่อซะ!!

ปลายยามไฮ่

หลังจากไล่สาวใช้กลับไปพักผ่อนแล้ว แทนที่ร่างระหงจะล้มตัวลงนอนกลับเดินออกไปรับลมยังหอเก๋งกลางสวน โดยมีสายตาสองเงาที่ซ่อนอยู่ในมุมมืดคอยเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลา

การมาของหวงฮูหยินวันนี้ทำให้นอนนอนไม่หลับ ตอนอยู่โลกเก่าไม่เคยสัมผัสหรือภูมิใจในผลงานตัวเองแบบนี้มาก่อน ทุกอย่างทำไปก็เพื่อเงินเท่านั้น พอได้เห็นได้รับรู้ว่าตำราที่นางอุตส่าห์ตั้งใจเขียนใช้ได้ผล โดยเฉพาะกับสตรีที่เป็นภรรยาเอกหรือเมียหลวงจึงอดดีใจและภาคภูมิใจไม่ได้ แม้จะเป็นตำราต้องห้ามที่ไม่สามารถวางขายอย่างเปิดเผยได้ตามท้องตลาดก็ตาม

"อุ๊ย!"อุทานตกใจเมื่อถูกสวมกอดจากทางด้านหลัง สัมผัสและกลิ่นกายที่คุ้นเคยทำให้ปากน้อยที่ตั้งท่าจะกรีดร้องโวยวายขอความช่วยเหลือเพราะคิดว่าโจรบุกปล้นบ้าน เปลี่ยนเป็นแย้มยิ้มดีใจ

"มาได้อย่างไรเจ้าคะ?งานชุมนุมชาวยุทธเลิกราแล้วหรือ?"หันมาเผชิญหน้าคู่หมั้นยิ้มถาม

"ยัง"ไป๋เสวี่ยหลงตอบสองแขนแกร่งยังคงโอบเอวคอดกิ่ว

"อ้าว...ท่านหนีมาเยี่ยงนี้แล้วงานชุมนุมชาวยุทธจะไม่เป็นไรหรือ?"

"ไม่ได้หนี"ประมุขหนุ่มแย้งเสียงเบาติดจะขุ่นเคืองเล็กน้อย เขาอุตส่าห์เดินทางเกือบสามชั่วยามไม่หยุดพักหวังเห็นนางดีใจแต่นางกลับกล่าววาจาตำหนิเขาเสียนี่! คิดแล้วมันน่าน้อยใจนัก!

"หือ?อย่าบอกนะว่าท่านคิดถึงข้าจนทนไม่ไหว จึงแอบหนีมาหาข้าดึกๆดื่นๆเช่นนี้?"ยิ้มเย้า

“…”คำพูดของนางทำเอาร่างสูงชะงักเสมองไปทางอื่น กิริยาขัดเขินของคนตัวใหญ่ช่างน่าเอ็นดูนักในสายตาหญิงสาว

"ข้าก็คิดถึงท่านเจ้าค่ะ คิดถึงทุกวันเลย"สวมกอดแนบหน้ากับแผ่นหลังกว้างแล้วกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจ

"อืม"คนถูกกอดยิ้มกริ่มอารมณ์ดี ร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางและจิตใจที่ปวดร้าวเพราะความคะนึงหา ถูกปัดเป่าออกไปจนสิ้นด้วยถ้อยคำไม่กี่คำและอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของนาง

"เมี่ยวเอ๋อร์"

"เจ้าคะ?"

"อย่าซน"

"ข้าเปล่า"

"เปล่า?แล้วนี่อะไร?"คว้าข้อมือเรียวออกจากตัว ‘นางช่างน่าตายนัก! อยู่นิ่งได้ไม่ถึงสองลมหายใจก็เริ่มหลอกกินเต้าหู้ข้าอีกแล้ว!’

"มือไงเจ้าคะ"หญิงสาวตีมึนส่งยิ้มหวาน ‘แหม...ก็หุ่นท่านแน่นเปรี๊ยะน่ากินยิ่ง ข้าเลยอดใจไม่ไหว เผลอสอดมือเข้าไปลูบไล้เล่นหน่อยเดียวเอง จะหวงทำไมนักหนา’ หากประมุขหนุ่มได้ยินสิ่งที่นางคิดจะเป็นเช่นใดหนอ?...

"อ้อ...ข้าก็หลงนึกว่าเจ้าเป็นปลาหมึก"ยามกล่าวหลุบตามองมือเรียวนุ่มสลับใบหน้าทะเล้นของคู่หมั้นสาวไปด้วย

"แล้วไม่ชอบหรือเจ้าคะ?หากท่านไม่ชอบข้าจะได้ไม่ทำอีก"มุ่ยหน้าน้อยใจ บิดข้อมือออกจากการเกาะกุมหันหลังให้ไม่สนใจอีกฝ่าย

"ชอบ แต่ไม่ใช่ในที่โล่งแจ้งเช่นนี้"โอบกอดจากทางด้านหลังอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบเสียงอ่อนโยน

"หมายความว่า หากอยู่ในที่อับลับสายตาผู้คน ข้าสามารถกินเต้าหู้ท่านได้ตามที่ใจต้องการใช่รึไม่?"ร่างระหงหมุนตัวกลับมากล่าวเสียงใส ดวงตาคู่งามเป็นประกายวิบวับราวกับบุรุษเจ้าสำราญไม่มีผิด

หารู้ไม่ว่า ถ้อยคำที่พูดส่ง ๆ ไม่คิดอะไรของนางมันทำให้ประมุขหนุ่มถึงกับหน้ากระตุกไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดมาสั่งสอนนางดี

‘นางช่างน่าตายและไร้ยางอายยิ่ง! เห็นทีข้าคงต้องจับนางมาอบรมมารยาทความเป็นกุลสตรีใหม่เสียแล้ว!’

"ไม่ตอบ แสดงว่า..."ไม่พูดเปล่ามือน้อยเริ่มซุกซนลูบไล้แผงอกกว้างผ่านอาภรณ์รัดรูปสีดำอีกครั้ง ‘อย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้หื่นนะ ข้าก็แค่อยากแกล้งเขาเล่นเท่านั้น! อ่ะ...ขอเวลานอก...เช็ดน้ำลายแป๊บ’

"เมี่ยว-เอ๋อร์"ร่างสูงสูดลมหายใจเข้าแรงๆคว้ามือเรียวที่แสนจะซุกซนไว้ก่อนที่เขาจะหมดความอดทน

"ก็ได้ๆข้าเข้าใจแล้ว"ยอมรามือทันทีที่เห็นสายตาคาดโทษของคนตัวใหญ่ตรงหน้า

ไป๋เสวี่ยหลงลอบถอนใจโล่งอกที่ปีศาจน้อยยอมรามือ หากนางยังดื้อรั้นเขาคงอดใจไม่ไหวเปลี่ยนข้าวสารให้เป็นข้าวสุกในราตรีนี้เป็นแน่!

"จริงสิ ท่านมาได้อย่างไรเจ้าคะ?"

"ใช้วิชาตัวเบาสามชั่วยาม"

"อ้อ...หา!...สามชั่วยาม! จากอีกแคว้นเนี่ยนะเจ้าคะ?"

"ใช่"

"เท่าที่ข้ารู้ ระยะทางจากเมืองตงไห่แคว้นฉีเฉินเราถึงเมืองหลวงเป่ยจิงแคว้นเป่ยมากกว่าห้าพันลี้แต่ท่านกลับใช้เวลาเพียงสามชั่วยาม" ‘สวรรค์! คู่หมั้นข้า ท่านติดจรวจมิดไซน์ไว้ในร่างกายใช่รึไม่?...ตอบ!!’

"หาใช่เรื่องผิดแปลก"ประมุขหนุ่มเลิกคิ้วตอบใบหน้าเรียบเฉย แม้จะพอใจกับสายตาตื่นตะลึงระคนชื่นชมของนางที่กำลังมองมาก็ตาม

"แล้วไม่เหนื่อยหรือเจ้าคะ?"

"เล็กน้อย ห่วงพี่หรือ?"

"ท่านเก่งกาจเพียงนี้ คงไม่ต้องการความห่วงใยจากข้ากระมัง?"

"ต้องการที่สุดต่างหากเล่า"มือหนาเชยคางมนขึ้นให้สบตายิ้มมุมปากชวนให้ใจละลาย แล้วตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มมีเสน่ห์

ถ้อยคำหวานที่ออกมาจากคนตัวใหญ่ทำเอาหญิงสาวขัดเขินแลปลื้มใจยิ่งนัก ดวงตาคู่งามจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาคมกล้าสีรัตติกาลที่ลึกล้ำดุจท้องฟ้าอันมืดมิดไร้ขอบเขตอย่างค้นหา

ซึ่งประมุขหนุ่มก็ไม่ยอมแพ้จ้องนางกลับไร้ความหวาดหวั่นลังเลใจ ทุกคำที่กล่าวบอกไปล้วนมาจากก้นบึ้งหัวใจทั้งสิ้น

สองสายตาประสานกันนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ และเป็นร่างสูงที่โน้มใบหน้าหล่อเหลาลงมาช้าๆ ชั่วขณะที่ริมฝีปากทั้งสองกำลังจะประกบกัน

"ห้ามทำรุ่มร่ามในที่โล่งแจ้งเจ้าค่ะ!"ร่างระหงกลับใช้มือปิดปากประมุขหนุ่มไว้

‘บิดาเจ้าเถิด!ไป๋เสวี่ยหลง ไม่น่าพูดคำนั้นออกไปเลย’ ประมุขหนุ่มสบถ

"อุ๊ย!...จะพาข้าไปไหนเจ้าคะ?"ตกใจเมื่อถูกเขาอุ้มในท่าเจ้าหญิง

"กลับเรือนเจ้า"คนอุ้มหลุบตามองร่างนุ่มนิ่ม

"ท่านจะกลับแคว้นเป่ยแล้วหรือ?"ถามเสียงอ่อย รู้สึกใจหายยังไม่ทันหายคิดถึงเขาก็จะกลับเสียแล้ว

"ยัง"

"อ้าว แล้วทำไมต้องรีบพาข้ากลับเรือนเล่าเจ้าคะ?"

"อับ...ลับสายตาผู้คน"

‘อับ? ลับสายตาผู้คน? หะ!!...อย่าบอกนะว่า...’

"หึๆ"

“….” ‘รู้รึไม่? เสียงหัวเราะของท่านมันน่าหมั่นไส้ที่สุด!แต่ก็เอาเหอะ อุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกล ตามใจเขาหน่อยละกัน’ หญิงสาวค้อนให้ทีหนึ่งแล้วถอนใจอ่อนใจกับความเอาแต่ใจของอีกฝ่าย

เช้าวันต่อมา

"คุณหนู ปลายยามเหม่าแล้วตื่นเถิดเจ้าค่ะ"ถิงถิงวางอ่างล้างหน้าแล้วเดินเข้ามาปลุกนายสาวของตน

"อือ...ขออีกหน่อยนะ..."เสียงอู้อี้ต่อรองและพลิกตัวหนี

"ก็ได้เจ้าค่ะ ก็แค่เลื่อนเวลามื้อเช้าออกไปอีกสักสองสามเค่อคงไม่เป็นไร..."

"......."

"เช่นนั้นถิงถิงจะไปเรียนนายท่านและคุณหนูคุณชายทั้งห้านะเจ้าคะว่าคุณหนู..."เห็นร่างระหงยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติง ถิงถิงเพียงยิ้มมุมปากกล่าวขึ้นลอยๆ

"ตื่นแล้วๆ...นับวันเจ้าชักจะเอาใหญ่แล้วนะ เอะอะก็เอาท่านพ่อกับน้องๆมาขู่ข้าอยู่เรื่อย"ผุดลุกขึ้นอย่างเกียจคร้านตวัดสายตาดุใส่ถิงถิงสาวใช้จอมขู่แบบไม่จริงจังนัก

ปกติก็เป็นคนตื่นยากอยู่แล้ว เมื่อคืนยังนอนดึกอีกเลยทำให้เหอซือเมี่ยวง่วงมากเป็นพิเศษ

"คุณหนู!"

"เฮือก! อะอะไร? เรียกเสียดังเชียวตกใจหมด"ร่างระหงที่กำลังมัวขี้ตาสะดุ้งโหยง

"ปากท่าน..."ถิงถิงชี้ไปที่ปากอิ่มของนาง

"หือ? ปากข้าทำไมรึ?"ลูบปากตัวเองอย่างงงๆ

"...นี่เจ้าค่ะ"ถิงถิงไม่ตอบ เดินไปหยิบคันฉ่องบานเล็กเท่าฝ่ามือยื่นให้นายสาว

"......"หญิงสาวรับมาพอเห็นภาพที่สะท้อนในคันฉ่องใบหน้างามพลันแดงซ่านเป็นผลอิงเถาสุก

‘คนบ้า!...ไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาเอาเสียเลย!’ ต่อว่าพลางไล้นิ้วที่กลีบปากบวมเป่งของตนเบาๆอย่างเหม่อลอยเมื่อนึกถึงจุมพิตอันเร่าร้อนเอาแต่ใจของเขา

"อ่อ...สงสัยเมื่อคืนข้าคงถูกมดเจ้าชู้กัดเอาตอนหลับ ทายาเดี๋ยวก็หาย"

"มดเจ้าชู้?"

"เอาน่า อย่าถามอีกเลย ช่วยเตรียมน้ำอาบให้ที ข้าอยากอาบน้ำ"

"เจ้าค่ะ คุณหนูโปรดรอสักครู่"

"อืม"ร่างระหงมองร่างเล็กที่เดินออกไปแล้วกลับมาสำรวจปากตัวเองอีกครั้ง เห็นปากเจ่อๆห้อเลือดก็ได้แต่ยู่ปากหงุดหงิดใจ

‘คอยดูเถิด...กลับมาจะเอาคืนเป็นสิบเท่า!’

“พ่อว่าจะนำจิ้งเอ๋อร์ กับไฉเอ๋อร์ไปฝากเรียนวรยุทธกับท่านไป๋ ซึ่งท่านไป๋ก็เห็นดีเห็นงามด้วย แล้วลูกเล่าเห็นด้วยรึไม่?”เหอซือเค่อถามความเห็นบุตรีหลังจากรับมื้อเช้าแล้ว โดยมีสายตาสองคู่ของเหอซือจิ้ง เหอซือไฉ มองลุ้นอยู่ข้างๆ

“ลูกเห็นด้วยเจ้าค่ะ และดูเหมือนน้องรองกับน้องสามก็ต้องการเช่นนั้นใช่รึไม่?”นิ่งคิดเพียงครู่จึงค่อยตอบบิดา จากนั้นหันไปถามเด็กน้อยทั้งสอง

“พี่ใหญ่กล่าวถูกต้องแล้วขอรับ ข้าอยากฝึกยุทธวันข้างหน้าจะได้ปกป้องคุ้มครองท่านพ่อบุญธรรม พี่ใหญ่และน้องๆทุกคนได้”เหอซือจิ้งตอบเสียงหนักแน่น ใบหน้าที่เริ่มฉายแววหล่อเหลาดูจริงจังเกินวัยของเด็กชาย เหอซือเค่อพยักหน้าพึงพอใจในคำตอบ

“ซือเอ๋อร์ก็จะฝึกด้วยเจ้าค่ะ”เสียงแหลมใสของเหอซือซือน้อยกับท่าทางทะมัดทะแมงเอาจริงเอาจังเรียกสายตาเอ็นดูและเสียงหัวเราะจากทุกคน

“ไว้เจ้าโตกว่านี้ ค่อยมาว่ากันใหม่เถิด”เหอซือเค่อยิ้มสุขใจลูบศีรษะเด็กน้อยที่นั่งข้างตนเบาๆ

“ท่านพ่อบุญธรรม อิ๋งเอ๋อร์ขออนุญาตไปเรียนรู้งานที่โรงเตี๊ยมกับพี่ใหญ่ได้รึไม่เจ้าคะ?"เหอซืออิ๋งเอ่ยขออนุญาต ดวงตาเป็นประสดใส

"หือ? เจ้าชอบค้าขายรึ?"

"เจ้าค่ะ อิ๋งเอ๋อร์อยากค้าขายเก่งเหมือนพี่ใหญ่"

"แล้วเจ้าเล่าอ้ายเอ๋อร์"เหอซือเค่อหันไปถามบุตรีบุญธรรมอีกคนที่นั่งสงบเสงี่ยมกว่าทุกคนถัดจากเหอซืออ้ายออกไป

“เรียนท่านพ่อบุญธรรม อ้ายเอ๋อร์ถนัดงานบ้านงานเรือน เย็บปักถักร้อยมากกว่าเจ้าค่ะ”เหอซืออ้ายเอียงอายตอบเสียงเบา

“อืม...เช่นนั้นพ่อจะจ้างอาจารย์มาสอนวิชาเหล่านี้แก่เจ้าทั้งสามก่อน ดูความถนัดของแต่ละคน จากนั้นค่อยมาว่ากันอีกที”เหอซือเค่อสรุป

“ขอบคุณท่านพ่อบุญธรรมเจ้าค่ะ/ขอรับ”เด็กน้อยทั้งห้าคุกเข่าโขกศีรษะขอบคุญด้วยความตื้นตันซาบซึ้งใจ โดยมีสายตาและรอยยิ้มอ่อนโยนจากเหอซือเมี่ยวเฝ้าดูอยู่ตลอด

----------------

ยามอู่ภายในโรงเตี๊ยมหมื่นลี้

“นี่ๆพวกเจ้าได้ยินเรื่องตำราต้องห้ามนั่นรึไม่?”ชายหนุ่มคนหนึ่งหันซ้ายมองขวาแล้วกระซิบกระซาบกับสหายร่วมโต๊ะอีกสามคน

“เจ้าหมายถึงตำราต้องห้ามที่กำลังเป็นที่กล่าวถึงกันอยู่ในตอนนี้ใช่รึไม่?”ชายคนที่สองคาดเดา

“ใช่ๆว่ากันว่าเป็นตำราที่หาได้ยากยิ่งมีเพียงเก้าเล่มเท่านั้น"ชายคนแรกพยักหน้ารัวๆ

"เพ้ย! เก้าเล่มที่เจ้าว่า สี่เล่มเขียนขึ้นเพื่อสตรีไว้ใช้มัดใจสามีมิใช่รึ?"ครานี้เป็นเสียงของชายคนที่สาม

"อา...ก็ใช่ ข้ารู้มาจากญาติที่ทำงานในวังว่าตำรากามสูตรสามเล่มอยู่ในวังหลวง"ชายคนแรกตอบ

"อา...แล้วผู้ใดกันที่มีไว้ในครอบครอง เจ้ารู้รึไม่?"ชายคนที่สี่สบโอกาสเอ่ยถามบ้าง

"ชู่ว์...เบาหน่อย เรื่องนั้นไม่มีใครรู้ แต่ข้าคิดว่าผู้ที่ได้ครอบครองตำราหายากนี้ ต้องเป็นผู้มีอำนาจบารมียิ่งใหญ่เป็นแน่"ชายคนแรกกล่าวจบก็เหลียวซ้ายมองขวาอีกครั้ง

"ข้าไม่สนเรื่องว่าใครจะได้ครอบครองเท่ากับผลลัพธ์ของมัน ข้ารู้มาว่ามีผู้ที่ได้ปฏิบัติตามตำรานั่นแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาก็ดีขึ้นผิดหูผิดตาเชียวล่ะ"ชายคนที่สี่กระซิบบอกในโทนเสียงเดียวกัน

"อา...ช่างเป็นตำราที่ร้ายกาจยิ่ง"ชายคนที่สองกระซิบ ชายสามคนที่เหลือพยักหน้าเห็นด้วย

การสนทนาของบุรุษทั้งสี่ แม้จะเบาแต่ลูกค้าชายสามคนที่นั่งโต๊ะข้างๆกลับได้ยินชัดเจน และช่วยกระพือข่าวจนโด่งดังไปทั่วเมืองหลวง กลายเป็นหัวข้อหลักในวงสนทนา ผู้คนไม่ว่าบุรุษหรือสตรี ทั้งที่ยังออกเรือนและยังไม่ได้ออกเรือนต่างเสาะหาตำราต้องห้ามนี้จ้าละหวั่น เรียกว่าแทบจะพลิกแผ่นดินหากันเลยทีเดียว

รวมถึง...เจ้าของตำราผู้ใช้นามแฝง เซียนดอกท้อ ผู้เขียนตำราอันร้ายกาจที่สั่นสะเทือนแผ่นดินเก้าเล่มนี้ด้วย...

--------------

เวลาเดียวกัน ณ ตลาดมืด

ร้านซูเตี้ยน อันเป็นร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นฉีเฉิน มีตำรามากมายหลายพันเล่มจากหลายเชื้อชาติ หลายชนเผ่า มีทั้งตำราความรู้พื้นฐานที่บัณฑิตทั้งหลายพึงมี ตำรายาสมุนไพรทั่วไป ตำราอ่านเล่นประโลมโลกหรือนิยายในปัจจุบัน แม้แต่ตำราต้องห้าม ตำราสมุนไพรพิษ ซึ่งเป็นตำราที่ผิดกฏหมาย ไม่สามารถนำออกมาวางขายหน้าร้านได้ ร้านซูเตี้ยนล้วนมีแทบทั้งสิ้น

จากที่เคยเงียบเหงาบัดนี้เต็มไปด้วยลูกค้าบุรุษทั้งหนุ่มและแก่มาถามหาตำรากามสูตรมัดใจหญิง กับ ตำรากามสูตรมัดใจสามี ของเซียนดอกท้อ

"เถ้าแก่ ยังมีตำราที่ว่านั่นอีกรึไม่?"พ่อบ้านจากตระกูลใหญ่กระซิบถามเจ้าของร้าน

"อา...ต้องขออภัยจริงๆข้าน้อยมีเพียงสี่เล่มเท่านั้น และขายไปหมดแล้วขอรับ"เถ้าแก่ร้านร่างอ้วนตอบตามจริง

"แล้วจะมีมาอีกรึไม่? นายท่านข้าต้องการมันมาก เรื่องราคานายท่านข้าทุ่มไม่อั้น!!"พ่อบ้านวัยใกล้เคียงพ่อบ้านคนแรกกระซิบข่มอีกฝ่าย

"อา...เรื่องนี้...ข้าเองก็บอกไม่ได้ ด้วยผู้ที่นำมาขายปิดบังแหล่งที่มา ใบหน้าและชื่อแซ่"

"ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก ว่าแต่เถ้าแก่ได้อ่านเนื้อหาข้างในดูบ้างรึไม่?"ลูกค้าหนุ่มอีกคนกระซิบถามด้วยเสียงที่เบาลง คำถามนั้นดึงความสนใจลูกค้ารอบข้างให้ล้อมวงเข้ามาจนศีรษะแทบจะชนกันอยู่รอมร่อ

"แฮ่ม!...ย่อมต้องผ่านตาบ้าง..."สิ้นเสียงเถ้าแก่ ร้านซูเตี้ยนพลันเนืองแน่นด้วยลูกค้าบุรุษและจำต้องปิดร้านลงเป็นการชั่วคราว!

ฟากไป๋เสวี่ยหลง ประมุขพรรคมังกรเหมันต์และยังเป็นผู้นำชาวยุทธฝ่ายธรรมะมาพร้อมไป๋เสวี่ยเจี้ยน อาวุโสพรรคผู้ปราดเปรื่อง ฟง เฟิ่ง จิ้ง เจิ้ง ผู้ที่เป็นทั้งศิษย์เอกและองครักษ์ฝีมือดีที่สุดของพรรคกำลังหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดีอยู่ในตำหนักรับรองของพรรคแสงจันทร์ ซึ่งสร้างอยู่บนเขาต้าซาน ห่างไกลจากเมืองหลวงแคว้นเป่ยไปทางตอนใต้กว่าพันลี้

พรรคแสงจันทร์เป็นพรรคใหญ่อันดับสามรองจากพรรคเงาโลหิต มีหยูไท่เป็นประมุขพรรค ในปีนี้ได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดงานชุมนุมชาวยุทธมีไป๋เสวี่ยหลงเป็นผู้นำฝ่ายธรรมะเป็นปีแรก

จุดประสงค์หลักของการชุมนุม คือต้องการให้แต่ละพรรคได้แสดงฝีมือเพื่อกำหนดขอบเขตการดูแลพื้นที่ รวมถึงนำปัญหาที่พบเจอมาถกเถียงหาข้อสรุปและดำเนินการช่วยเหลือต่อไป

เรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดทั้งมวลนี้ หาได้อยู่ในความสนใจของไป๋เสวี่ยหลงไม่ เพราะประมุขหนุ่มไม่ได้เต็มใจหรืออยากมาร่วมงานชุมนุมที่สามปีจัดครั้งหนึ่งนี้เลย สำหรับเขามันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก แล้วยังมีผู้ที่กล้าทำให้หงุดหงิดใจอย่างหลี่มู่เพิ่มมาอีก

"เมี่ยวเอ๋อร์สบายดีรึไม่?"หลี่มู่เอ่ยถามสหายที่นั่งหน้าบูดฝั่งตรงข้าม

"...นางใช่จะสนิทกับเจ้าเพียงนั้น?"ไป๋เสวี่ยหลงไม่สบอารมณ์ที่เจ้าเต่าโง่เรียกนางว่า เมี่ยวเอ๋อร์

"ข้าไม่ถือ"หลี่มู่ยักไหล่

"แต่ข้าถือ"

"เจ้าช่างเป็นบุรุษที่จิตใจคับแคบยิ่ง"

"........"

"อา...อย่าหวงไม่เข้าท่านักเลย เอ้า!..."หลี่มู่ล้วงเข้าไปในอกเสื้อหยิบสิ่งหนึ่งออกมายื่นให้

"อะไร?"ไป๋เสวี่ยหลงเลิกคิ้วไม่เข้าใจ หลุบตามองตำราปกสีน้ำเงินไร้อักษรด้วยสายตาว่างเปล่า

"รับไปศึกษาเสีย นี่เป็นของกำนัลล่วงหน้าจากข้า"กล่าวแล้วยื่นเข้าไปใกล้อีกนิด

ประมุขหนุ่มปรายตามองตำราสลับกับใบหน้าภายใต้หน้าครึ่งใบอย่างไม่ไว้ใจ

"รับไปเถิด ข้าอุตส่าห์ให้คนของข้าซื้อมาให้จากแคว้นฉีเฉิน ราคาสูงถึงห้าร้อยตำลึงทองเชียวนะ!"

"ตำราอะไร? ราคาเท่ากับบ้านหลังใหญ่?"รับตำราจากหลี่มู่มาเปิดดู เพียงเปิดไปหน้าแรก ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาถึงกับซับสีแดงจางๆขึ้นมาทันที

นี่มัน....ตำรากามสูตรมัดใจสตรี!!

"เอาคืนไป"ปิดตำราดังพรึ่บแล้วส่งคืนให้เจ้าของ

"แน่ใจรึว่าไม่ต้องการ? ข้าลองอ่านดูแล้ว มันเป็นตำราที่ยอดเยี่ยมกว่าตำราเล่มใด ทั้งยังใช้ได้ผลดีเยี่ยม"หลี่มู่เพียงปรายตามองไม่ได้ยื่นมือออกไปรับ

"อ้อ...ที่กลับมาสว่างเพราะเรื่องนี้?"ไป๋เสวี่ยหลงชะงักเหยียดยิ้มมุมปากรู้ทัน

"แฮ่ม...ก็นะ ผลลัพธ์มันดีเกินที่คาดไว้มาก เห็นเจ้ากำลังจะแต่งฮูหยินเอก ข้าสหายรักจึงตั้งใจเสาะหาของขวัญของกำนัลมามอบให้เป็นพิเศษ และได้รับรายงานจากสายข่าวว่า ที่ร้านซูเตี้ยนในตลาดมืดเมืองตงไห่ มีบุรุษลึกลับนำตำรากามสูตรสี่เล่มมาขายให้เถ้าแก่...

ข้าเห็นเจ้าไร้เดียงสาในเรื่องนี้ จึงซื้อและนำมันมามอบให้เจ้า เจ้าก็รับไปแต่โดยดีเถิด อย่าให้ข้าต้องเสียน้ำใจเลย"ถ้อยคำบ่งบอกเจตนาดีของหลี่มู่ฟังดูน่ายินดีนัก แต่ประโยคถัดมาทำเอาประมุขหนุ่มถึงกับหน้าชาด้วยความโกรธเคือง แต่ก็เลือกที่จะเมินเฉยเสีย ไม่ยอมให้อีกฝ่ายปั่นหัวได้ง่ายๆ

แม้ไม่อยากยอมรับกับถ้อยคำสบประมาทของเจ้าเต่าโง่ แต่นั่นคือความจริง แต่แล้วอย่างไรเล่า? ค่อยๆเรียนรู้ไปพร้อมกับนางก็ได้ ไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องพึ่งตำราไร้สาระนี่เลย ไป๋เสวี่ยหลงคิดในใจ

"อา...หากเจ้าดึงดันเอาแต่ใจ เจ้าอาจทำให้นางเจ็บ จนเกลียดกลัวการร่วมอภิรมย์กับเจ้า ถึงตอนนั้น...มันก็อาจจะสายเกินแก้..."เห็นสหายรักทำท่าครุ่นคิด หลี่มู่จึงรีบพูดโน้มน้าวต่อและเหยียดยิ้มเมื่อสหายชะงักแล้วดึงตำรากลับไป

"เลวร้ายที่สุด อาจถึงขั้นเกลียดกลัวเจ้าไปเลยก็ได้ เจ้าทำใจได้รึ?"หลี่มู่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ตบบ่ากว้างของสหายรักทีหนึ่งแล้วกล่าวทิ้งท้าย

"คิดดูให้ดี หากเจ้าไม่ต้องการจริงๆข้ายินดีรับคืน เพราะข้าคิดว่า นี่เป็นตำราที่เยี่ยมยอดที่สุดในปฐพีนี้แล้ว"

ร่างสูงในชุดสีม่วงเข้มจากไปนานแล้ว แต่ไป๋เสวี่ยหลงยังคงนั่งจ่อมอยู่กับที่ ดวงตาคมกล้ามองตำราในมือนิ่งไม่คิดแม้แต่จะเปิดอ่านนานราวสองเค่อ จากนั้นเงยหน้ามองรอบกาย เห็นว่าไร้ผู้ใดก็รีบเอาตำรายัดเข้าไปในอกเสื้ออย่างรวดเร็ว แล้วเดินกลับห้องพักของตนทันที....

สิบวันผ่านไป การชุมนุมชาวยุทธฝ่ายธรรมะได้ข้อสรุป ในปีนี้ ตัวแทนพรรคมังรเหมันต์สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้จากพรรคต่างๆขาดลอย ทั้งที่เมื่อสามปีก่อนชนะสามในห้าแก่พรรคเงาโลหิต และสี่ในห้าแก่พรรคแสงจันทร์ ไม่ได้ชนะรวดทุกการแข่งขันเช่นปีนี้ สร้างความตื่นตะลึงและเป็นที่ยำเกรงต่อพรรคเล็กพรรคน้อยทั้งหลายกว่าพันคนที่มาร่วมประลองฝีมือยิ่งนัก

"ไม่อยู่ร่วมงานอาหลงก่อนรึ?"ไป๋เสวี่ยเจี้ยนเอ่ยถามหลี่มู่ ขณะกำลังเตรียมตัวกลับแคว้นฉีเฉิน

"ต้องขออภัย ข้ามีเรื่องที่ต้องรีบไปจัดการ ไม่อาจรั้งอยู่ต่อไปได้ขอรับ"หลี่มู่ประสานมือยิ้มกล่าว

"อา...ช่างน่าเสียดาย อย่างไรเสีย มีเวลาก็มาเยี่ยมเยียนลุงกับอาหลงบ้าง อย่าเงียบหายไปเช่นที่ผ่านมาเล่า เข้าใจรึไม่?"ไป๋เสวี่ยเจี้ยนตบบ่าบุรุษในชุดม่วงเข้มอย่างสนิทสนม

"หลี่มู่ทราบแล้ว และจะหาเวลาไปเยี่ยมเยียนท่านลุงบ่อยๆขอรับ"กล่าวกับไป๋เสวี่ยเจี้ยนแต่สายตาเจ้าเล่ห์สีม่วงเข้ม กลับมองอีกคนที่ยืนกอดอกนิ่งขรึมอยู่ข้างๆผู้อาวุโส

เห็นสายตาแพรวพราวเป็นประกายล้อเลียนของเจ้าเต่าโง่แล้ว ไป๋เสวี่ยหลงรีบเบือนหน้าหนีปกปิดความขัดเขิน กระอักกระอ่วนแอบหวั่นใจลึกๆว่าเจ้าเต่าโง่จะทวงขอตำราปกน้ำเงินนั่นคืน

"ข้าบอกเจ้าแล้ว มันเป็นตำราที่เยี่ยมยอดที่สุดในปฐพี หึๆ"หลี่มู่รู้เท่าทันความคิดสหายรักผู้อ่อนประสบการณ์ ยกแขนขึ้นโอบบ่ากระซิบถ้อยคำที่เล่นเอาคนฟังหน้าตึงและซับสี และรีบดีดตัวออกห่างไปหลายก้าวเมื่อสหายรักปล่อยปราณเยือกแข็งใส่

"ฮ่า ๆๆๆ ท่านลุง หลี่มู่ขอลา แล้วจะหาโอกาสไปเยี่ยมคารวะท่านขอรับ"

ไปเสวี่ยเจี้ยนโบกมือไล่ใบหน้าแย้มยิ้มกับความขี้เล่นของชายหนุ่ม ผิดกับไป๋เสวี่ยหลงที่กัดฟันกรอดหงุดหงิดใจระคนอับอาย มือขวายกขึ้นลูบอกซ้ายที่มีตำราปกน้ำเงินซ่อนอยู่อย่างลืมตัว

‘ฝากไว้ก่อนเถิด เจ้าเต่าโง่น่าตาย! อย่าให้ถึงทีข้าเชียว’ ประมุขหนุ่มคาดโทษอีกฝ่ายในใจ

งานมคลสมรสระหว่างสกุลเหอกับสกุลไป๋ เหลือเพียงสามสิบวันเท่านั้น แต่ทุกอย่างกลับราบรื่นเรียบร้อยราวกับเตรียมการไว้นานแล้ว ผู้ที่เข้ามาช่วยงานนอกจากญาติพี่น้องทางฝั่งมารดาและบิดายังมีแม่งานใหญ่อย่าง เสิ่นเยว่ซิน ฮูหยินเอกเจ้ากรมพิธีการหวงอี้มาช่วยดูแลในเรื่องต่างๆทุกวัน

นอกจากนี้ ฉีเฉินเทียนหลงฮ่องเต้ ยังมีรับสั่งส่งนางกำนัลฝ่ายเย็บปักมาช่วยเย็บชุดเจ้าสาว พร้อมทั้งยังพระราชทานผ้าไหม แพรต่วนที่ต้องใช้อีกยี่สิบพับ สร้างความปลาบปลื้มใจและถือเป็นสิริมงคลแก่สกุลเหอยิ่งนัก ทั้งที่เป็นงานมงคลสมรสที่ไม่สมควรจัดให้เอิกเกริกเพราะเป็นงานมงคลสมรสของสตรีที่ได้ขึ้นชื่อว่า สตรีหม้ายสามีหย่า แต่ดูเหมือนทุกคนจะไม่ใส่ใจและเลือกที่จะเมินเฉยเสีย ราวกับไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนั้นมาก่อน เรื่องนี้เหอซือเมี่ยวก็ติดใจสงสัยอยู่ไม่น้อย

ตอนที่นางแต่งเข้าสกุลอี้ มีประจักษ์พยานแขกเหรื่อมาร่าวมงานรู้เห็นมากมาย เรื่องที่นางแต่งงานใหม่ ย่อมต้องถูกพูดถึงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้คน โดยเฉพาะสตรีน้อยใหญ่ที่ปักใจรัก หลงใหลได้ปลื้มคู่หมั้นรูปงามในทางเสียหายให้ได้ยินบ้าง แต่กลับไม่มีเลยคิดอย่างไรก็แปลก

เบื้องหลังความจริงที่นางไม่ทราบคือ ก่อนเดินทางไปแคว้นเป่ย ไป๋เสวี่ยหลงได้สั่งการคนของตนที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วแคว้นให้ควบคุมดูแลเรื่องนี้ หากพบผู้ไม่หวังดี บังอาจกล่าววาจาให้ร้ายหรือกุข่าวอันจะสร้างความเสื่อมเสียแก่คู่หมั้นตนและสกุลเหอ ให้จัดการได้ตามความเหมาะสมขึ้นอยู่กับเจตนาของคนผู้นั้นเป็นหลักนั่นเอง...

ยามไฮ่ภายในเรือนกระจ่างฟ้า

เหอซือเมี่ยวทิ้งตัวลงนอนอย่างอ่อนเพลีย ช่วงนี้นางเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด ไหนจะเรื่องชุดเจ้าสาวที่ต้องเย็บเอง ไหนจะเรื่องสถานที่จัดงาน ไหนจะต้องคอยรับรองญาติและผู้ที่มาช่วยงาน และอีกจิปาถะเล่นเอานางปวดเศียรเวียนเกล้าไม่น้อย

ขณะกำลังเคลิ้มหลับจมูกพลันได้กลิ่นหอมอันคุ้นเคยลอยเข้ามา เจ้าของกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ต้องลืมตามองก็เดาถูกว่าเป็นใคร

"ครานี้ภารกิจสำเร็จแล้ว หรือแอบหนีมาเหมือนครั้งก่อนเจ้าคะ?"เอ่ยถามทั้งที่ยังนอนหลับตา

"จบแล้ว"อีกฝ่ายตอบกลับสั้นๆหย่อนกายนั่งลงข้างเตียง สายตาคมกล้ามองใบหน้างามด้วยแววตาอ่อนโยนและคะนึงหา

"หือ? เหตุใดจึงเร็วนัก? ไหนว่าอาจกินเวลาเป็นเดือน"ยันกายลุกขึ้นพิงหัวเตียง ส่งสายตาสงสัย

"คล้ายเจ้าไม่ยินดีที่จบเร็ว?"เสียงทุ้มเจือน้อยใจเรียกรอยยิ้มขบขันระคนเอ็นดูจากร่างระหง มือเรียวนุ่มกุมมือหนากระด้างประจบเอาใจ

"ตรงข้าม ดีใจมากต่างหากเจ้าค่ะ"ยิ้มหวานกล่าวไล้นิ้วโป้งกับหลังมือใหญ่เบาๆ ดวงตาฉ่ำหวานแวววาวช้อนขึ้นยั่วยวนอีกฝ่าย

"อืม"แม้จะเป็นคำตอบสั้นๆแต่มุมปากที่ยกขึ้นสูงพึงพอใจ ดวงตาเป็นประกายหวานซึ้งเต็มไปด้วยความเสน่หาที่ทอดมองมายังนาง ทำให้ใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำไม่เป็นจังหวะอยู่ในขณะนี้ ทำให้อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าเขาให้ความสำคัญกับนางมาก ถึงจะไม่รู้ตัวตนของนางในใจเขามีมากเพียงใด แต่อย่างน้อยก็มั่นใจว่าเขาจะไม่ทอดทิ้ง ทิ้งขว้างปล่อยให้นางต้องเจ็บปวดเฉกเช่นที่เหอซือเมี่ยวคนก่อนประสบพบเจออย่างแน่นอน นางเชื่อเช่นนั้น!

"คิดอะไรอยู่?"

"ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ว่าแต่ท่านเถิด ได้พักผ่อนบ้างหรือยัง?"เสียงทุ้มหวานหูดึงสติกลับมาปัจจุบันส่ายหน้าถามกลับด้วยความเป็นห่วง

"ยัง เพลียยิ่งนัก ขอยืมตักเจ้าหน่อยเถิด"ไม่พูดเปล่า ขึ้นมาบนเตียงเอนกายลงนอนวางศีรษะบนตักนุ่มหอมกรุ่นทันที ไม่เปิดโอกาสให้นางปฏิเสธ

หญิงสาวตกใจอยู่บ้าง แต่เห็นใบหน้าหล่อเหลามีร่องรอยความอ่อนล้า ใต้ตาดำคล้ำชัดเจน ใจก็อ่อนยวบ สละตักตัวเองเป็นหมอนให้เขาได้หนุนนอนเป็นกรณีพิเศษอย่างเต็มใจ

‘อา...คู่หมั้นข้า เหตุใดท่านถึงรูปงามอย่างนี้นะ’ นึกชมในใจ

"มือเจ้าอย่าซุกซนนักจะได้รึไม่?"เสียงปรามที่พร่าสั่นเล็กน้อยเอ่ยขึ้น ลืมตาคว้าจับมือเรียวนุ่มที่ลูบไล้ไปทั่วใบหน้าลามมาถึงลำคอและใบหูอันเป็นจุดอ่อนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดมือไว้ได้ทันท่วงที ก่อนจะอดใจไม่ไหวเผลอรังแกนางก่อนเวลาอันสมควร

"ชิ!...จับนิดจับหน่อยทำเป็นหวงตัวไปได้ อุตส่าห์สละตักอันล้ำค่าให้หนุนนอนเชียวนะ"เสียงบ่นกระปอดกระแปดและใบหน้าที่มุ่ยลงดูน่ารักน่าเอ็นดูนักในสายตาของประมุขหนุ่ม ยันกายลุกนั่งช้อนร่างระหงมานั่งบนท่อนขาแข็งแรง สองแขนโอบกอดเอวคอดกิ่วจากทางด้านหลัง วางคางสากระคายบนไหล่ลาดเล็กพลางกล่าว

"ไว้คืนเข้าหอ พี่จะยอมเจ้าทุกอย่าง ดีรึไม่?"

‘เดี๋ยวๆไอ้ประโยคแบบนี้มันควรจะเป็นคำพูดของฝ่ายหญิงพูดกับฝ่ายชายไม่ใช่รึ?ไหงจึงกลับตาลปัตรเช่นนี้!’

"พี่จะยอมให้เจ้ากินทั้งตัวจนกว่าเจ้าจะอิ่ม"เห็นนางนิ่งเงียบเลยกล่าวต่อจบด้วยกดริมฝีปากร้อนหนักๆกับซอกคอขาวหอมกรุ่น

"อื้อ...ว่าแต่ข้า ท่านเองก็ซุกซนน้อยเมื่อไหร่"ยู่ปากว่าพร้อมย่นคอหนีริมฝีปากร้อนที่ทำให้นางจักจี้จนขนลุกซู่ไปทั้งตัวโดยเฉพาะลำคอด้านที่เขากดริมฝีปากลงมา

"เอ๊ะ!...อะไรแข็งๆ?"พลันมือน้อยสัมผัสกับบางสิ่งแข็งๆในอกเสื้อของคู่หมั้นจึงเอ่ยถาม

"มะไม่มีอะไร ดึกมากแล้วพี่ขอตัวก่อน"

"ดะเดี๋ยวก่อนสิเจ้าคะ?..."นางพูดไม่ทันจบคำ ร่างสูงในชุดดำทะมัดทะแมงพลิ้วกายออกไปทางหน้าต่างทะยานหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้นางนั่งยกมือค้างกะพริบตาปริบๆก่อนจะล้มตัวลงนอนพร้อมกับความสงสัยจนผล็อยหลับไป

ฝ่ายไป๋เสวี่ยหลงพอพ้นเรือนคู่หมั้นสาวลอบถอนใจแรงและตรงกลับตำหนักทันที พออยู่ลำพังในห้องนอนจึงล้วงหยิบตำราปกน้ำเงินจากอกเสื้อออกมาพึมพำกับตัวเอง

"เกือบไปแล้ว หากนางเห็นตำราเล่มนี้ ข้าจะเอาหน้าไปไว้ไหน?"

ครบ 2 ตอนแล้วน้า ฟินใช่ไม๊ล่า อย่าลืมเม้นท์แนะนำ ติชมกันได้ ขอเพียงอย่าใช้ถ้อยคำรุนแรง หยาบคายเกินไป ไรท์ยินดีรับฟังค่า แล้วพบกันพรุ่งนี้^_^

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว