เหอซือเมี่ยว-ความสุขแสนประเสริฐ ๕๑ : ความเลือดเย็นของประมุขหนุ่ม

โดย  fews

เหอซือเมี่ยว

ความสุขแสนประเสริฐ ๕๑ : ความเลือดเย็นของประมุขหนุ่ม

สามวันต่อมาฉีเฉินเทียนหลงฮ่องเต้ส่งเกี้ยวขนาดใหญ่หรูหราแปดคนหามพร้อมขันทีนางกำนัลและทหารองครักษ์รวมแล้วเกือบร้อยคน มารับเหอซือเมี่ยวเข้าวังตามสัญญา ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดี วิพากษ์วิจารณ์ทั้งในทางดีและร้ายของผู้คนชาวบ้านร้านตลาดที่ทราบข่าว แต่หญิงสาวไหนเลยจะสนใจ ร่างเล็กในชุดพระราชทานเต็มยศสีเขียวมรกตนั่งเท้าคางกับขอบหน้าต่างมองดูผู้คนข้างทางผ่านม่านมุกสีชมพูด้วยสายตาเลื่อนลอย

“ไป๋เสวี่ยเหมยจากไปเพราะปกป้องเจิ้น ทำให้เจ้านั่นขาดมารดาคอยอบรมสั่งสอน ทั้งเจิ้นเองมีราชกิจเกี่ยวกับบ้านเมืองมากมายต้องสะสางไม่สามารถมอบความรักความอบอุ่นอย่างที่เด็กคนหนึ่งพึงได้จากบุพการี เป็นเหตุให้เจ้านั่นกลายเป็นคนเย็นชา ไม่รับความหวังดีและความช่วยเหลือจากผู้ใด แม้แต่เจิ้นผู้เป็นบิดา...

ดังนั้นพอทราบว่า เจ้านั่นเปลี่ยนไปเพราะสตรีเล็กๆชาติตระกูลต่ำต้อยซ้ำยังเป็นหม้ายสามีหย่า เจิ้นโกรธและไม่พอใจมากจนคิดอยากกำจัดเสียให้พ้นทาง แล้วหาสตรีดีๆชาติตระกูลสูงส่งเหมาะสมให้ แต่เจ้านั่นก็หัวแข็งนัก บอกปัดความหวังดีของเจิ้นเสียสิ้น!”ยกชาขึ้นจิบแล้วต่อ “ยามนั้นคิดว่าเจ้านั่นคงถูกเจ้าทำคุณไสยมนต์ดำใส่ จึงสั่งองครักษ์เงาสืบประวัติเจ้าอย่างละเอียด ถึงได้รู้ว่าว่าแท้จริงแล้วเจ้าเป็นสตรีที่ดี จิตใจโอบอ้อมอารี ฉลาดเฉลียวซ้ำยังเชี่ยวชาญภาษาอิงเหวิน”จิบชาอีกครั้ง

“ฟังเจิ้นบ่นมาเสียนานคงเบื่อแล้ว เข้าเรื่องเลยแล้วกัน”โอรสสวรรค์ขยับกายนั่งหลังตรง สายตาจับจ้องสตรีคราวลูกนิ่ง ใบหน้าที่ยังคงหล่อเหลาแม้จะล่วงเลยสี่สิบดูจริงจังขึ้นทำเอานางลอบกลืนน้ำลายอีกระลอกเป็นครั้งที่สองในรอบวัน

“เจ้ารู้สึกเช่นไรกับเจ้านั่น? จงตอบมาตามจริง”

“นับแต่แต่งเข้าสกุลไป๋ ชีวิตหม่อมฉันก็เป็นของสกุลไป๋ ตายก็ขอเป็นผีสกุลไป๋เพคะ”

“ได้ฟังเจ้ากล่าวเช่นนี้เจิ้นก็วางใจ ฝากเจ้าดูแลแทนเจิ้นด้วย”เหอซือเมี่ยวตระหนกตกใจรีบคุกเข่าหมอบกราบต่ำรับการคำนับแทบไม่ทัน มีอย่างที่ไหนเจ้าเหนือหัวผู้อยู่สูงสุดของคนทั้งแคว้นลงทุนก้มหัวฝากฝังบุตรกับสตรีชนชั้นรากหญ้าเช่นนี้

พอคิดย้อนไปก็ได้แต่ทอดถอนใจหนักใจ นางเป็นเพียงหญิงชาวบ้านไร้วรยุทธ หากมีใครคิดสังหารเขานางจะมีปัญญาอะไรไปต่อกรได้ซ้ำดีไม่ดีอาจเป็นตัวถ่วงให้เขาเดือดร้อนห่วงหน้าพะวงหลัง แต่รับปากไปแล้วก็ต้องทำให้ได้จนสุดความสามารถเท่านั้น

“ฮูหยินคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ?”

เหอซือเมี่ยวดึงสติและสายตากลับมาที่สาวใช้คนสนิท “ไม่มีอะไร ว่าแต่เจ้าเถิดดูจะตื่นเต้นยิ่งกว่าข้าเสียอีก อยากเข้าวังขนาดนั้นเชียว?”ยิ้มเย้าอารมณ์ดี

“ถิงถิงเปล่าอยากเข้าวังนะเจ้าคะ แต่ก็ตื่นเต้นมากเพราะไม่รู้เลยว่าจะต้องทำตัวเช่นไรบ้าง แล้วท่านไม่ตื่นเต้นเลยหรือเจ้าคะที่ต้องสอนขุนนางเหล่านั้น”ถิงถิงถามนายสาวพร้อมกับยื่นชาสมุนไพรให้

“อืม…ตื่นเต้นสิ เพราะไม่รู้จะมีขุนนางรูปงามสนใจมาเรียนกับข้าบ้างรึไม่?”

“พูดอะไรเจ้าคะ! ไม่งามเลย”ถิงถิงเผลอดุอย่างลืมตัวใบหน้าน่ารักแดงก่ำ พอนึกขึ้นได้ก็รีบโขกศีรษะขอภัยแต่เหอซือเมี่ยวไวกว่าหยุดการกระทำนั้นได้ทันท่วงที หน้าผากเล็กแคบจึงคำนับฝ่ามือเล็กนุ่มแทน

“ข้าแค่เย้าเจ้าเล่นไยจริงจังนัก”ว่าพลางชักมือกลับเอนหลังพิงเกี้ยวที่โยกไปมา จิบชาปรายตามองสาวใช้ที่นั่งหน้างอง้ำแล้วอมยิ้มเงยหน้าขึ้นฟ้า

‘สวรรค์..ขอให้ทุกอย่างราบรื่นไร้อุปสรรคด้วยเถิด’ หญิงสาวอธิษฐานต่อฟ้า

“ถิงถิงมีเรื่องสงสัยขอถามได้รึไม่เจ้าคะ?”สาวใช้ทำใจกล้าถามร่างระหงที่นั่งหลับตาเอนหลังพิงเกี้ยว ด้วยทราบว่าฮูหยินเพียงแค่พักสายตาเท่านั้นไม่ได้หลับอย่างที่ตาเห็น ครั้นเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าอนุญาตทั้งที่หลับตาจึงว่า “ระยะทางจากสกุลเหอถึงพระราชฐานชั้นในนับว่าไกลอยู่มาก เหตุใดฝ่าบาทจึงส่งเกี้ยวแปดคนหามมารับท่านแทนที่จะเป็นรถม้าเล่าเจ้าคะ?”ทั้งที่ใช้รถม้าเพียงหนึ่งชั่วยามก็ถึงที่หมายแล้วแท้ๆ

“ไม่รู้สิ...ไว้มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทข้าจะถามให้เจ้าก็แล้วกันดีรึไม่?”ลืมตาคู่งามแล้วยิ้มเย้าสาวใช้

“โธ่...อย่าทำเป็นเล่นสิเจ้าคะ”ถิงถิงได้ฟังคำเย้าที่ดูไม่ทุกข์ร้อนจึงอดค้อนให้ไม่ได้พอหันกลับมาอีกทีฮูหยินก็หลับตาพริ้มเสียแล้ว บ่าวตัวน้อยยิ้มอ่อนโบกพัดในมือให้ไม่เซ้าซี้ถามอีก

ฝ่ายคนแสร้งหลับ เดาแผนการโอรสสวรรค์ออกตั้งแต่ได้รับแจ้งแล้ว ว่านี่คือแผนการยืดเวลาในการเดินทางให้นานขึ้นเพื่อโปรโมทลูกสะใภ้ให้เป็นที่รู้จักเป็นวงกว้างอันจะส่งผลดีต่อโอรสของพระองค์ในการข้างหน้า หากให้เดาฝ่าบาททรงปรารถนาจะคืนตำแหน่งแก่โอรสของพระองค์กระมัง?จึงเริ่มปูทางให้เช่นนี้ ช่างเถิดอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด คิดพลางลอบถอนใจ

“ทูลฝ่าบาท ประมุขไป๋และไป๋ฮูหยินถึงตำหนักหลงเสวี่ยแล้วพะย่ะค่ะ”

”ฉีเฉินเทียนหลงฮ่องเต้เงยหน้าจากกองฎีกา “ดี! เจ้ากลับมานี่แล้วใครคอยต้อนรับพวกเขากัน?”

“ทูลฝ่าบาท รัชทายาทพะย่ะค่ะ”เห็นเจ้าเหนือหัวมีท่าทีสนพระทัยจึงต่อ “นอกจากรัชทายาทจะทรงออกไปต้อนรับด้วยองค์เองแล้วยังมีเจ้ากรมพิธีการหวงอี้ เจ้ากรมอาญาหลิวหมิงเจี้ยนด้วยพะย่ะค่ะ”

เดิมทีหน้าที่คอยต้อนรับขับสู้ดูแลรับผิดชอบเรื่องนี้เป็นของเว่ยกงกง แต่นึกไม่ถึงว่ารัชทายาทจะออกมาต้อนรับและอาสานำทางแนะนำสถานที่และกฎระเบียบแก่ประมุขไป๋กับไป๋ฮูหยิน ยังมีขุนนางผู้วางตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดอย่างหวงอี้ หลิวหมิงเจี้ยนอีก ที่ดูจะให้ความสนิทสนมต่อไป๋ฮูหยินเป็นพิเศษ ที่สำคัญยังเรียกนางว่าอาจารย์ไป๋ ทั้งที่ยังไม่ผ่านพิธีรับศิษย์! ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เว่ยกงกงกราบทูลโดยละเอียดไม่มีขาดตกบกพร่อง

“อา...ยังไม่ทันเริ่มสอน นางก็ก็มีศิษย์แล้วถึงสองคน? เป็นสตรีที่มิอาจดูเบาได้จริงๆ”ยิ้มมุมปากพลางกล่าว “ฝากเจ้าดูแลตำหนักหลงเสวี่ยอย่าให้บกพร่อง หากมีปัญหาอะไรรีบมารายงานเจิ้นทันที”

“รับด้วยเกล้าพะย่ะค่ะ”เว่ยกงกงรับคำสั่งแข็งขัน ถอยเท้าออกจากห้องทรงอักษรมุ่งหน้ายังตำหนักหลงเสวี่ยทันที

“เหม่ยเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าเด็กหัวแข็งก็ยอมเข้ามาอยู่ในวังแล้ว ข้าจะทำทุกวิถีทางให้เจ้านั่นเรียกข้าว่าเสด็จพ่อและยอมอยู่ในวังให้ได้!”ร่างสูงเดินมาหยุดที่หน้าต่างแหงนหน้าขึ้นฟ้าพึมพำเสียงเบาหวิวแต่หนักแน่นจริงจังทุกคำ ท่ามกลางความเงียบงันกับสายลมอ่อนๆพัดกระทบกาย

ฝ่ายคนถูกกล่าวถึงเดินเคียงคู่รัชทายาทไปตำหนักหลงเสวี่ย ซึ่งตั้งอยู่ภายในเขตราชฐานชั้นในอันเป็นเขตที่ประทับของโอรสสวรรค์ รัชทายาท ไทเฮา ฮองเฮาและสตรีวังหลังทั้งหลายเท่านั้น ส่วนองค์หญิงองค์ชายเชื้อพระวงศ์มีตำหนักที่ประทับอยู่ในเขตราชฐานชั้นรองออกมา ถัดออกมาชั้นสามเป็นจวนขุนนางต่างๆและชั้นนอกสุดคือราษฎรที่อาศัยในเขตกำแพงเมือง

เหอซือเมี่ยวที่เดินตามหลังสามีเหลือบมองทิวทัศน์ข้างทางเป็นระยะๆ นึกชื่นชมกับความงดงามของเหล่าบุปผาหลายพันธ์หลากสีสันกว่าจะรู้ตัวก็มาถึงตำหนักหลงเสวี่ยแล้ว

“ประมุขไป๋ ไป๋ฮูหยินที่นี่คือตำหนักหลงเสวี่ยที่ฝ่าบาทรับสั่งให้สร้างขึ้นเพื่ออาคันตุกะคนสำคัญ”ปรายตามองบุรุษข้างกายเห็นทำหน้าเฉยชาไร้ซึ่งอารมณ์ใด จึงมองเลยไปยังสตรีด้านหลังพลันยกยิ้มขันกับดวงตาเปล่งประกายตื่นตะลึงยามมองตำหนักเบื้องหน้าจึงยิ้มเย้า “ดูเหมือนไป๋ฮูหยินจะชื่นชอบที่นี่ไม่น้อย”

“เป็นธรรมดาของสตรีที่เห็นของสวยงามเพคะ”เหอซือเมี่ยวยิ้มค้อมศีรษะเล็กน้อย โดยไม่รู้เลยว่าถ้อยคำเย้ากลับนั้นสร้างความตระหนกแก่ขันทีนางกำนัลติดตามมารับใช้ทั้งสองมากทีเดียว เพราะทราบดีว่าพระพักตร์แย้มยิ้มอ่อนโยน ยามลงมือกลับเด็ดขาดและโหดเหี้ยมไม่แพ้ฝ่าบาท ต่างเพียงยามลงมือพระพักตร์รัชทายาทไม่เปลี่ยนสักนิดยังคงแย้มยิ้มอยู่ตลอดเวลา! ดังนั้นพอได้ยินวาจาเย้ากลับอันเป็นการล่วงเกินเบื้องสูงของนางจึงอดที่จะตระหนกตกใจไม่ได้และยิ่งตระหนกมากขึ้นเมื่อได้ยินถ้อยคำต่อมาของประมุขไป๋

“กระหม่อมจำไม่ยักได้ว่ารัชทายาทผู้สูงศักดิ์มีหน้าที่ดูแลเรื่องนี้?”

“ฮ่าๆๆความจริงเป็นหน้าที่เว่ยกงกงแต่เปิ่นไท่จื่อเสนอตัวนำทางเอง ประมุขไป๋มีเหตุขัดข้องหรือ?”

“ก็ไม่…เมี่ยวเอ๋อร์เข้าไปด้านในกันเถิด”

ขันทีนางกำนัลกว่ายี่สิบคนลอบถอนใจแรงก้มหน้าต่ำเดินตามเข้าไปด้านในตำหนัก เงียบเชียบและเป็นระเบียบยิ่ง

ยกเว้นอู่หมิงขันทีผู้รับหน้าที่ดูแลตำหนักหลงเสวี่ยลอบมองอย่างแปลกใจ บรรยากาศรอบกายทั้งสามมันอบอุ่น คล้ายยามที่เขาและครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า อู่กงกงสลัดไล่ความคิดเลื่อนเปื้อนออกไปแล้วเดินเข้าไปด้านใน

ยามอิ่วตำหนักหลงเสวี่ย เพียงเข้าพักวันแรกของไป๋เสวี่ยหลงและเหอซือเมี่ยว ก็เกิดปัญหาขึ้นเสียแล้ว เมื่อนางกำนัลสาวนางหนึ่งคิดใช้ความงามล่อลวงประมุขหนุ่มยามอาบน้ำ แต่ถูกซัดกระเด็นทะลุฉากกั้นร่างลอยไปปะทะกับเสาร่วงลงพื้นกระอักเลือดสลบเหมือดคาที่ นางกำนัลคนอื่นที่หวังใช้ความงามพิชิตใจประมุขหนุ่มเช่นเดียวกัน ถึงกับอกสั่นขวัญแขวนล้มเลิกความคิดใฝ่สูงและคุกเข่าอ้อนวอนอู่หมิงขอ กลับตำหนักเจ้านายเดิมที่เคยรับใช้อยู่ สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าแก่ขันทีผู้ดูแลไม่น้อย รีบห้อเข้าพบเหอซือเมี่ยวรายงานเรื่องที่เกิดขึ้น หญิงสาวพอทราบเรื่องจึงรีบรุดกลับเข้าตำหนักทันที

แต่ไม่พบตัวก่อเรื่องพอถามความจากอู่กงกงจึงทราบว่า สามีมีท่าทางหงุดหงิดไม่สบอารมณ์อย่างมากและไม่ทราบว่าหายไปอยู่ที่ใด นางจึงกำชับแกมขู่อู่กงกงให้เตือนนางกำนัลทั้งหลายว่านับจากนี้ถ้ายังรักชีวิตไม่ต้องเข้าปรนนิบัติท่านประมุขยามอาบน้ำอีก ซึ่งดูเหมือนจะได้ผลดีเกินคาดเพราะนางกำนัลสาวทั้งสี่สะดุ้งตัวสั่นหน้าซีดเผือดลนลานออกจากห้องไปตามด้วยร่างผอมบางของอู่กงกง

พออยู่เพียงลำพัง เงาสายหนึ่งก็พุ่งเข้ามาทางหน้าต่างตรงเข้าสวมกอดร่างระหงที่ยืนขบขันอยู่กลางห้อง

“เหตุใดจึงไม่ไล่ออกไปให้หมด?”เขาว่า

“ทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะขันทีนางกำนัลเหล่านี้ฝ่าบาททรงประทานมาให้ หากท่านพี่อยากไล่พวกนางก็กราบทูลฝ่าบาทเองเถิด”หมุนตัวมาเผชิญหน้าสองแขนโอบกอดเอวสอบหลวมๆ “อู่กงกงแจ้งว่านางกำนัลผู้หนึ่งบาดเจ็บภายในสาหัส”

“สมควร” ‘ใครใช้ให้นางมายั่วยวนข้ากันเล่า! แค่บาดเจ็บภายในยังน้อยไปด้วยซ้ำ หากเป็นตัวเขาในอดีตนางกำนัลคนนั้นถูกสังหารไปแล้ว!’

“อย่างนี้ก็แย่สิ”

“แย่?”เลิกคิ้วสงสัยสองแขนช้อนร่างระหงตรงไปยังเตียงนอน

“ยามท่านพี่อาบน้ำ ข้าภรรยาก็ต้องปรนนิบัติท่านหรือมิใช่?”ว่าพลางวาดแขนโอบคอสามี

“เป็นเช่นนั้น..แล้วแย่อย่างไร?”ปรนนิบัติสามีเป็นหน้าที่ของภรรยาอยู่แล้ว เหตุใดจึงกล่าวว่าแย่กัน

“ก็สามีข้าช่างหล่อเหลางดงามยิ่ง ข้าภรรยากลัวอดใจไมไหวจับท่านกินในถังอาบน้ำ..”

“พี่เต็มใจถูกเจ้ากิน!”นางยังพูดไม่จบสามีก็ประคองแก้มเนียนสวนกลับน้ำเสียงจริงจังจนนางอดขำไม่ได้

‘อา…สามีเจ้าขา ไม่ค่อยหื่นเลยนะเจ้าคะ’

รุ่งเช้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักหลงเสวี่ยแพร่กระจายไปทั่ววังหลวง ไม่ว่าที่ใดล้วนพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ มีทั้งกลุ่มที่ชื่นชมในความรักมั่น ใจเดียวของประมุขหนุ่มมีต่อภรรยาซึ่งส่วนใหญ่คือเหล่าสตรีทั้งหลาย และอีกกลุ่มที่ตำหนิติติงในทางไม่ดีทำนองว่า ประมุขไป๋ถือดีใช้อำนาจบาตรใหญ่ลงมืออย่างโหดเหี้ยมกับนางกำนัลเพียงเพราะปรนนิบัติไม่ได้ดังใจต้องการ

แต่ไม่ว่าใครจะนินทาว่าร้ายอย่างไร ไป๋เสวี่ยหลงหาใส่ใจไม่ทั้งยังยินดีหากมันจะทำให้ตาแก่นั่นกริ้วจนยกเลิกสัญญาและไล่ตนกับภรรยาออกไปจากวังเสีย ดังนั้นพอได้ฟังรายงานจากเงาจึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ผิดกับเหอซือเมี่ยวที่ค่อนข้างหนักใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น

“อิ่มแล้วหรือ?”เห็นร่างระหงคีบอาหารบนโต๊ะเพียงสองสามครั้งแล้ววางตะเกียบในมือ

“เจ้าค่ะ ก่อนรับอาหารเช้าเผลอดื่มน้ำมากไปหน่อย”ฝืนยิ้มตอบหลุบตาคีบอาหารให้เบนความสนใจ แต่ไม่อาจรอดพ้นสายตาช่างสังเกตของประมุขหนุ่ม มือหนาฉวยข้อมือเล็กดึงตะเกียบออก

“ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น ทำหน้าที่ของตัวเองไปก็พอ เข้าใจรึไม่?”

ถ้อยคำถือดี ไม่เกรงกลัวผู้ใดยิ่งทำให้นางหนักใจมากขึ้นไปอีกหลายเท่า ขยับปากจะกล่าวบางอย่างแต่พอสบตาคมกล้าจริงจังเด็ดเดี่ยวก็พูดไม่ออก “เมี่ยวเอ๋อร์ทราบแล้ว” รับคำเสียงแผ่ว

เห็นนางทำตัวว่าง่ายไป๋เสวี่ยหลงจึงยอมปล่อยมือเล็ก ยื่นชามข้าวตนไปเบื้องหน้าบุ้ยปากไปที่อาหารพยักพเยิดให้นางคีบอาหารให้ด้วยสายตาออดอ้อน ทำเอาอู่หมิงและสี่นางกำนัลที่ยืนกุมมืออยู่ด้านข้างตะลึงมองตาค้างต่อมาหน้าแดงก่ำ เขินอายราวกับถูกออดอ้อนเสียเอง ลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปชั่วขณะ

ศาลาทรงกลมสีขาวหลังตำหนักหลงเสวี่ย

“จะเริ่มสอนเมื่อใด?”ไป๋เสวี่ยหลงเอ่ยถามหลังจากนั่งลงเป็นที่เรียบร้อย

“อีกสองวันเจ้าค่ะ ยามซื่อเต็มเวลาที่สำนักศึกษาหลวง และยามอุ้ยเต็มเวลาศาลาแปดเหลี่ยมในอุทยานวังหลัง”เหอซือเมี่ยวแจ้งกำหนดการที่เว่ยกงกงนำมาให้ด้วยตัวเองให้สามีฟัง “ทุกสามวันซึ่งเป็นวันที่ขุนนางไม่ต้องเข้าประชุมทูลรายงานกิจบ้านการเมืองต่อฝ่าบาทเจ้าค่ะ”

“ดูภรรยาข้าไม่ตื่นเต้น?”ยิ้มมุมปากเย้าร่างระหงที่นั่งฝั่งตรงข้าม

“ตื่นเต้นสิเจ้าคะ ไม่รู้จะมีขุนนางสักกี่มากน้อยที่สนใจ ยอมลดตัวทิ้งศักดิ์ศรีมาเรียนกับข้า”กล่าวพลางหลุบตาคลึงถ้วยชาในมือเล่นเหม่อลอยแกมกังวลใจ

“อย่างน้อยสามหรือมิใช่?”

คำตอบในคำถามของสามีทำนางยิ้มออก พยักหน้าเห็นด้วย“แล้วท่านพี่จะไปดูข้าสอนรึไม่?”

“พี่ไหนเลยจะยอมให้เจ้าไปเพียงลำพัง”

“ถ้าที่สำนักศึกษาหลวงคงไม่เป็นไรเพราะทุกคนล้วนเป็นบุรุษ แต่จะตามไปดูแลข้าที่วังหลังท่านพี่แน่ใจแล้วหรือ?”คำถามเรียบเรื่อยกลับทำร่างหนาชะงักหน้าเครียดขึงคิ้วขมวดมุ่นครุ่นคิด ‘นั่นสินะ วังหลังไม่ใช่ที่ที่บุรุษจะเข้าไปได้ตามใจ ต้องมีป้ายผ่านเข้าออกหรือรับสั่งอนุญาตจากตาแก่นั่นก่อนจึงจะสามารถเข้าไปได้ นอกจากต้องไปขอตาแก่ก็ดูจะไร้หนทางอื่นแล้ว ช่างยุ่งยากเสียจริง!’

“ข้าไปกับถิงถิงได้ ท่านพี่อย่ากังวลไปนักเลย” ‘ส่วนท่านอยู่ที่ตำหนักดีแล้ว ถ้าขืนไปด้วยสตรีวังหลังไม่เป็นอันเรียนกันพอดี อีกอย่างหากองค์หญิง สนมนางในเกิดติดอกติดใจความหล่อเหลาของสามีขึ้นมาแล้วคิดยั่วยวนก็แย่สิ นางไม่ได้กลัวว่าสามีจะปันใจ แต่กลัวโทสะของเขาต่างหาก ครั้งก่อนตำหนักหงส์ฟ้าของฮองเฮาหายไปทั้งหลังจนบัดนี้ยังสร้างไม่เสร็จ เมื่อเย็นวานนางกำนัลถูกซัดกระเด็นยังไม่ฟื้น หากมีใครกล้ายั่วยวนอีกไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่สำคัญที่สุดคือนางหวง!’

“ได้ พี่จะรอเจ้าอยู่ที่ตำหนักนี้”ไป๋เสวี่ยหลงรับปากอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

และแล้วก็ถึงวันที่เหอซือเมี่ยวต้องวางมาดเป็นอาจารย์สอนเหล่าเด็กโข่งทั้งหลาย นางถูกปลุกแต่เช้าตรู่หลังจากแต่งกายรับอาหารเช้าเสร็จสรรพ อู่หมิงนำทางนางและสามีมุ่งหน้าสู่สำนักศึกษาหลวง มาถึงภาพเบื้องหน้าทำนางตะลึง คาดไม่ถึงว่าจะมีผู้คนให้ความสนใจมากถึงเพียงนี้เล่นเอาประหม่าก้าวขาแทบไม่ออกและพออู่กงกงประกาศการมาของนาง บุรุษทั้งหลายที่อยู่ในชุดขุนนางต่างพร้อมใจกันเงียบหันมามองเป็นตาเดียวด้วยใบหน้าหลากหลาย มีทั้งสนใจ ชื่นชมและดูถูกเหยียดหยามแต่ไม่มีใครกล้าแสดงออกนอกหน้าเพราะเกรงบารมีของประมุขหนุ่ม

“ซือเมี่ยวคารวะอาวุโสทุกท่านเจ้าค่ะ”ยืดตัวตรงแล้วยอบกายทักทายขุนนางกว่าสี่สิบเบื้องหน้าด้วยความนอบน้อมถ่อมตน ซึ่งการทำเช่นนั้นสร้างความพอใจแก่ขุนนางหลายคนจนเผยรอยยิ้มออกมาทางใบหน้า กระนั้นยังมีขุนนางหลายคนที่ทำใจไม่ได้และไม่ยอมรับกับราชโองการบังคับขุนนางให้เข้าเรียนภาษาอิงเหวินกับสตรีรุ่นคราวลูกนางนี้!

เหอซือเมี่ยวลอบมองสีหน้าแววตาของเหล่าเด็กโข่งแล้วก็อดที่จะหนักใจแลกังวลใจไม่ได้

ท่าจะเจอศึกหนักเสียแล้วเมี่ยวๆเอ๊ย!...

รีวิวจากผู้อ่าน 5 รีวิว
  • goong_cute
    เมื่อ 5 ปี 10 เดือนที่แล้ว
    เมี่ยวเออร์อย่าใจอ่อนนะ
    • อ่านถึง : ความสุขแสนประเสริฐ ๕๑ : ความเลือดเย็นของประมุขหนุ่ม
  • MintsriPHMU
    เมื่อ 5 ปี 11 เดือนที่แล้ว
    ขอบคถณมากๆค่าาา
    • อ่านถึง : ความสุขแสนประเสริฐ ๕๑ : ความเลือดเย็นของประมุขหนุ่ม
  • Yimsuthinee
    เมื่อ 5 ปี 11 เดือนที่แล้ว
    ขอบคุณค่ะ.
    • อ่านถึง : ความสุขแสนประเสริฐ ๕๑ : ความเลือดเย็นของประมุขหนุ่ม
  • Natthaphat Sopim
    เมื่อ 5 ปี 11 เดือนที่แล้ว
    ตามอ่านทุกวัน สนุกมาก ขอบคุณมากนะคะ
    • อ่านถึง : ความสุขแสนประเสริฐ ๕๑ : ความเลือดเย็นของประมุขหนุ่ม
  • Chanatda Pop Somngam
    เมื่อ 5 ปี 11 เดือนที่แล้ว
    โอ้ยยติดมาก
    • อ่านถึง : ความสุขแสนประเสริฐ ๕๑ : ความเลือดเย็นของประมุขหนุ่ม

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว