บทที่ 41 เมืองเฮยเฟิง
“อวดดีอะไรแบบนั้น! ถ้าข้าอายุเท่ากันกับนาง ข้าคงฟาดนางสลบด้วยการตบเพียงครั้งเดียวไปแล้ว!”
เมิ่งจิงแยกเขี้ยวเสือตัวน้อยและตะโกนไปในทิศทางที่จางหลิงหมิ่นจากไป
นางไม่พอใจอย่างยิ่ง นางเพิ่งถูกปล้นโอสถสร้างรากฐานซึ่งคิดเป็นหินวิญญาณถึงหนึ่งหมื่นก้อน!
เจียงผิงอันถาม "เมื่อเทียบกับอัจฉริยะคนอื่น ๆ ผู้หญิงคนนี้อยู่อันดับที่เท่าไหร่หรือ?"
เมิ่งจิงสูดหายใจเข้าลึก เก็บดาบออกแล้วตอบกลับว่า
“นางได้อันดับที่สามในการแข่งขันครั้งล่าสุด แต่นั่นเป็นเพราะระดับของนางค่อนข้างต่ำ”
“ถ้าความแข็งแกร่งของนางถึงขั้นปลายของขอบเขตสร้างรากฐาน นางต้องคว้าที่หนึ่งได้แน่นอน”
“อย่างไรก็ตาม อัจฉริยะที่แท้จริงหลายคนไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมในการแข่งขันนั้น เพราะองค์หญิงได้นำผู้ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดไปฝึกฝนด้วยตัวเองแล้ว”
“กล่าวคือ ด้วยระดับความแข็งแกร่งของนาง ยังไม่ง่ายเลยที่จะคว้าสิทธิ์สุดท้ายในการเข้าร่วมการแข่งขันประลองร้อยเมืองได้”
เมื่อได้ยินการแนะนำของเมิ่งจิง เจียงผิงอันก็กำหมัดแน่น
ถึงมีอัจฉริยะหลายคนที่ทรงพลังมากกว่าเด็กสาวเมื่อครู่นี้อยู่อีก!
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ ร่างกายของเจียงผิงอันก็สั่นสะท้านทันที
ไม่ใช่เพราะความกลัว หากแต่เป็น… ความตื่นเต้น
ใช่แล้ว ความตื่นเต้น!
เหตุผลที่เขาเลือกเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ก็เพราะเขาต้องการวิชาลับของราชวงศ์ต้าเซี่ย เพื่อเข้าใกล้โอกาสที่จะกลายเป็นเซียน
หลังพบเห็นอัจฉริยะมากมาย เขาก็เหมือนได้เปิดหูเปิดตา เลือดลมไหลเวียนอย่างบ้าคลั่ง ก่อนเลือดจะสูบฉีดเข้าสู่หัวใจ
ตอนนี้เขาต้องการสู้กับอัจฉริยะเหล่านี้อย่างยิ่ง
แน่นอนว่าเขาย่อมไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ แต่นั่นไม่ส่งผลกระทบต่อการที่เขาคิดไล่ตามคนเหล่านี้
เมิ่งจิงเห็นเจียงผิงอันตัวสั่นจึงตบไหล่เขาเพื่อปลอบ
“ผ่อนคลายเถอะ เรามาต่อสู้เพื่อคว้าทรัพยากรการฝึกฝนกันดีกว่า ยังไงซะเราจะไม่สามารถไปถึงรอบสุดท้ายได้อยู่แล้ว”
เมิ่งจิงกล่าวอย่างใจกว้าง
เจียงผิงอันไม่ผ่อนคลายด้วย เขามีแต่จะพยายามให้หนักขึ้นเท่านั้น เพราะเขาต้องคว้าวิชาลับของราชวงศ์ต้าเซี่ยมาให้ได้
เมื่อหันกลับมาสนใจร่างสวีเทา เจียงผิงอันคลำไปตามศพอีกฝ่ายอย่างชำนาญ
นี่เป็นงานที่เขาชื่นชอบอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าครั้งนี้เขาจะเจอของดี ๆ อะไรบ้าง
ทั้งที่คิดเช่นนั้น แต่แล้วผลลัพธ์กลับทำให้เขาผิดหวังนัก
ยกเว้นจี้หยกคุ้มภัยสีดำที่อยู่รอบคอของสวีเทา และดาบเล่มโตแล้วก็ไม่มีของดี ๆ เหลือเลย มีเพียงโอสถปราณโลหิตสองขวดเท่านั้น
หากขายสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด มันอาจจะพอแค่ซื้อโอสถสร้างรากฐานได้แค่เม็ดเดียว
“เชอะ ยอดยุทธ์อะไรกัน ยากจนสิ้นดี!”
เมิ่งจิงรู้สึกผิดหวังและเตะศพของสวีเทาออกไป
“เจ้าท่อนไม้ ระวังตัวด้วยล่ะ แม้ว่าเจ้าจะจัดการสวีเทาได้แล้ว แต่เจ้าก็ทำให้แคว้นหลิงไถขุ่นเคือง อีกฝ่ายจะต้องตั้งรางวัลค่าหัวเจ้าแน่”
“ข้าได้ยินจากองค์หญิงว่ามีอัจฉริยะจำนวนมากเสียชีวิตจากการลอบสังหารทุกปี ไม่ว่าจะด้วยฝีมือแคว้นศัตรูหรือโดยกองกำลังที่ไม่เป็นมิตรก็ตาม”
เมิ่งจิงเอ่ยเตือนอย่างจริงจัง
เจียงผิงอันพยักหน้ารับและตะโกนไปไกล ๆ "เสี่ยวไป๋"
สิ้นเสียงตะโกน ร่างสีขาวก็ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมิ่งจิงทำหน้าบูดบึ้งอย่างไม่พอใจ "ยามที่เราตกอยู่ในอันตรายเมื่อครู่นี้ สัตว์ภูตกลายพันธุ์ตัวนี้กลับวิ่งหนีไปก่อนใคร"
“ข้าสั่งมันเอง เพราะมันนับเป็นไพ่เด็ดใบสุดท้าย”
เจียงผิงอันขึ้นขี่มัน ก่อนจะลูบขนอันอ่อนนุ่มของเสี่ยวไป๋ "เมื่อข้าใช้ไพ่ทั้งหมดของข้าแล้วสวีเทายังไม่ถูกจัดการ มันจะรีบพุ่งออกมาเตะใส่สวีเทาด้วยกำลังทั้งหมด"
“ถึงแม้ว่ามันไม่สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ แต่มันก็สามารถเตะสวีเทาออกไปแล้วใช้โอกาสนี้ช่วยพวกเราหลบหนีไปได้ ทั้งนี้ความเร็วของมันเหนือกว่าของผู้ฝึกตนขอบเขตสร้างรากฐานทั่วไปมาก”
เมิ่งจิงเบิกตากว้าง นางไม่คิดเลยว่าเจียงผิงอันจะมีแผนสำรอง!
บางทีนอกจากธงค่ายกลแล้ว ชายคนนี้อาจยังมีไพ่เด็ดอยู่อีก
เยี่ยมมาก! ผู้อื่นมีไพ่เด็ดแค่หนึ่งหรือสองใบ แต่เจียงผิงอันผู้นี้กลับมีอยู่เพียบ นี่ยังเรียกว่าไพ่เด็ดอีกรึ?
กุบกับ!
เจียงผิงอันพาเมิ่งจิงไปยังเมืองหลวงของเขตเฮยเฟิง นั่นก็คือเมืองเฮยเฟิง ซึ่งมันยังเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเขตเฮยเฟิงด้วย
คราวนี้ เสี่ยวไป๋วิ่งด้วยความเร็วสูงสุด มันย่ำไปบนหิมะอย่างดุเดือด ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันก็มาถึงเมืองเฮยเฟิงแล้ว
ตัวกำแพงเมืองสูงหลายร้อยจั้ง ซึ่งมันทำมาจากวัสดุพิเศษที่เปล่งประกายด้วยแสงดาราและรัศมีอันลึกลับ
งานแกะสลักบนตัวกำแพงเมืองมีความประณีตยิ่ง โดยแสดงอักขระลึกลับและรูปภาพต่าง ๆ
คูเมืองมีลักษณะคดเคี้ยว ธารน้ำใสส่องประกายสีเงินท่ามกลางแสงแดด ราวกับวงแหวนที่ล้อมรอบเมืองทั้งเมืองไว้
เจียงผิงอันยืนอยู่ด้านหน้าเมือง เขามองขึ้นไปยังตัวเมืองอย่างลอบรู้สึกตกใจอย่างมาก
ช่างงดงามนัก
กองคาราวานและผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนเข้าออกตัวเมือง ทั้งยังมีสัตว์ภูตรูปร่างแปลก ๆ ทุกชนิดปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่ง และยังมีกลุ่มผู้ฝึกตนบินไปรอบ ๆ ด้วย
ระหว่างเดิน เจียงผิงอันก็เปิดใช้งานพลังของตาขวากวาดมองไปรอบ ๆ หัวใจของเขาพลันเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง
เพราะโดยส่วนใหญ่แล้ว ทุกคนต่างมีระดับการฝึกฝนกันในระดับหนึ่ง สามารถพบเห็นผู้ฝึกตนขอบเขตสร้างรากฐานได้ทุกที่ และแม้แต่ผู้ฝึกตนที่ทรงพลังอย่างขอบเขตจินตานก็ยังสามารถพบเห็นได้ทั่วไป!
จินตานในร่างกายของพวกเขาเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ทำให้เจียงผิงอันไม่กล้ามองตรง ๆ
ทันใดนั้น เจียงผิงอันก็เห็นชายแปลกหน้าคนหนึ่ง ซี่งมันมีบางอย่างที่เหมือนกับเด็กทารกอยู่ในตันเถียนของชายคนนั้น
ฉับพลัน ทารกนั้นก็ลืมตาขึ้น
เจียงผิงอันสะดุ้ง ก่อนรีบเบือนหน้าไปทางอื่น
ผู้ฝึกตนคนนั้นมองที่เจียงผิงอันอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถอนสายตาออกไป
“แปลก เขาเป็นแค่พวกตัวเล็ก ๆ เหตุใดจึงให้ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกมองโดยผู้แข็งแกร่งกัน?”
ผู้ฝึกตนคนนั้นพึมพำกับตัวเองพลางเดินจากไป
เจียงผิงอันตกใจมากจนเหงื่อซึม
หรือนั่นคือยอดฝีมือขอบเขตวิญญาณแรกกำเนิดที่ผู้เฒ่าหลี่พูดถึง?
อีกฝ่ายไม่ได้ใช้คาถาใด ๆ เพียงแค่เหลือบมองมา ตัวเขาก็ไม่สามารถขยับร่างกายได้แล้ว
เดินต่อไปก็พบกับบรรดาร้านค้าหลายแห่งเปล่งประกายรัศมีสีสันสดใส ทั้งบรรดาอาวุธที่เรียงรายก็ล้วนเป็นอาวุธวิเศษทั้งสิ้น
มีร้านค้าหลายแห่งถูกสร้างเป็นยอดคอหอยสูง ซึ่งผู้ฝึกตนที่บินไม่ได้ต่างก็ไม่มีคุณสมบัติเข้าไป
เจียงผิงอันตกตะลึง นี่คือโลกแห่งการฝึกฝนงั้นหรือ?
แม้ว่าเมิ่งจิงเคยมาที่เมืองเฮยเฟิงแล้วครั้งหนึ่ง แต่นางก็ยังคงตกใจอยู่ดี
ลานที่เจริญรุ่งเรืองใด ๆ ล้วนแต่สูงกว่าอาคารในอำเภอเหลียนซานทั้งสิ้น
เจียงผิงอันเจอร้านค้าหนึ่ง จึงเข้าไปขายของที่ไร้ประโยชน์ทิ้ง
ตัวอย่างเช่น ป้ายหยกคุ้มภัยที่ถูกทำซ้ำด้วยอ่างสัมฤทธิผลไว้ก่อนนี้ต่างไร้ประโยชน์แล้ว ด้วยมันสามารถป้องกันได้แค่การโจมตีอย่างเต็มกำลังของขอบเขตก่อปราณระดับเก้าเท่านั้น
กลับไปแล้วเพิ่มหยกคุ้มภัยของสวีเทาเพิ่มดีกว่า เพราะมันมีพลังเหนือกว่ามาก
"ยี่สิบเอ็ดชิ้น!!"
เมิ่งจิงตกใจมากเมื่อนางเห็นเจียงผิงอันหยิบหยกคุ้มภัยที่เหมือนกันออกมายี่สิบเอ็ดชิ้น และเตรียมที่จะขายพวกมัน
ยามต่อสู้กับสวีเทาก่อนหน้านี้ นางเคยสงสัยว่าอีกฝ่ายอาจมีของสำรองอยู่ เมื่อเห็นภาพนี้ นางก็มั่นใจในความคิดของนางมากขึ้น
ชายผู้นี้ไปได้หยกคุ้มภัยมามากมายจากไหนกัน?
“การเดินทางเพื่อฝึกฝนบำเพ็ญเซียนนั้นเต็มไปด้วยอันตราย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีการสำรองเอาไว้เล็กน้อย” เจียงผิงอันอธิบายอย่างใจเย็น
เมิ่งจิงกลอกตาใส่ นี่เรียกว่าการสำรอง ‘เล็กน้อย’ งั้นหรือ?
แต่ต้องบอกว่าการติดตามผู้ชายคนนี้ทำให้รู้สึกปลอดภัยจริง ๆ
เจียงผิงอันขายโอสถทะลวงขั้นและโอสถสร้างรากฐานหนึ่งเม็ด โดยแทนที่ด้วยโอสถรวมวิญญาณและโอสถวิญญาณโลหิต
โอสถทั้งสองชนิดนี้ต่างถูกใช้ฝึกฝนโดยผู้ฝึกตนขอบเขตสร้างรากฐานและยอดยุทธ์ การแลกเปลี่ยนไว้บางส่วนจะช่วยให้ง่ายต่อการฝึกฝนในอนาคต
เขาแลกเปลี่ยนโอสถรวมวิญญาณหนึ่งร้อยเม็ด ก่อนจะมอบครึ่งหนึ่งให้กับเมิ่งจิง
เมิ่งจิงต้องการปฏิเสธ แต่นางไม่ต้องการที่จะยอมแพ้ต่อโอสถวิเศษจำนวนมากมายเช่นนี้จริง ๆ ดังนั้นนางจึงเอียงหัวแล้วกระซิบ
“นี่... ถือซะว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของที่ข้ายืมมาจากเจ้า ไว้ข้าจะจ่ายคืนให้เจ้าในภายหลัง”
"อืม"
เจียงผิงอันตอบอย่างสบาย ๆ โดยไม่มีความตั้งใจที่จะให้นางจ่ายคืนเลยสักนิด
บิดาของนางได้ช่วยชีวิตเขา ทั้งยังมอบเคล็ดลึกลับที่เรียกว่า ‘เคล็ดป้อมพสุธา’ ให้ด้วย
ไม่ต้องพูดถึงการมอบโอสถรวมวิญญาณให้กับอีกฝ่ายห้าสิบเม็ดเลย แม้ว่าเขาจะมอบโอสถสร้างรากฐานให้อีกห้าร้อยเม็ด เจียงผิงอันก็ยังรู้สึกชดใช้ไม่พอ
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว