เมื่อสุดยอดนักฆ่ามาเป็นหนุ่มออฟฟิศ-บทที่ 59 ราวกับทุกสิ่งหยุดนิ่ง

โดย  สำนักยุทธ

เมื่อสุดยอดนักฆ่ามาเป็นหนุ่มออฟฟิศ

บทที่ 59 ราวกับทุกสิ่งหยุดนิ่ง

เรื่องที่ผู้นำหมู่บ้านบอกมาเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดไว้อยู่แล้ว อย่างไรเสียของแบบนี้ก็ไม่มีใครยกให้คนแปลกหน้าเปล่า ๆ หรอก

“ท่านผู้นำหมู่บ้าน แล้วบ้านต้องเช่าอย่างไรหรือขอรับ?”

ลู่ฟู่กุ้ยร้อนใจ ตอนนี้พวกเขาไม่มีเงินจนสามารถซื้อบ้านได้ แถมยังติดหนี้ครอบครัวลู่มากโข จะยืมเงินอีกไม่ได้เด็ดขาด ทำได้เพียงเช่าอยู่ชั่วคราว

“คือ มันเป็นเช่นนี้นะ ทั้งหมดมีอยู่สี่หลัง จะมีสองหลังที่ใหญ่หน่อย สามารถอยู่ได้ถึงสิบคน ค่าเช่าจะอยู่ที่ยี่สิบห้าอีแปะต่อเดือน ส่วนหลังเล็กเบียดกันหน่อยก็อยู่ได้ห้าถึงหกคน ค่าเช่าสิบห้าอีแปะต่อเดือน พวกเจ้าคิดจะร่วมกันเช่าหรือไม่ จะได้ถูกลงหน่อย”

ราคาที่ผู้นำหมู่บ้านเสนอนับว่ายุติธรรมมาก อย่างไรเสียก็เป็นบ้านร้าง ไม่ได้ดูแลมาหลายปี ไม่อาจเรียกราคาสูงกว่านี้ได้

ทุกคนยอมรับเรื่องราคาได้ ปัญหาก็คือ ต่อให้พวกเขาเช่าบ้านทั้งสี่หลัง แต่ด้วยคนจำนวนมากเช่นนี้ก็ยังอยู่กันไม่พอ

พวกเขามีกันทั้งหมดเกือบหกสิบคน

ไม่รอให้อีกฝ่ายพูด ผู้นำหมู่บ้านก็เอ่ยต่อ “พวกเจ้ามีกันหลายคนเช่นนี้อยู่ไม่พอหรอก ในหมู่บ้านมีที่ดินสำหรับสร้างบ้านอยู่หลายผืนเหมือนกัน พวกเจ้าจะซื้อไปแล้วสร้างบ้านเองก็ได้ เพียงแต่ชาวบ้านในหมู่บ้านเรามีกันเยอะ การแข่งขันก็สูง ที่ดินสำหรับสร้างบ้านจึงแพงมาก”

บ้านร้างทั้งสี่หลังนั้นสาเหตุที่ราคาถูกก็เพราะเป็นบ้านร้างไม่ได้รับการดูแล และอีกสาเหตุที่สำคัญก็คือ…บ้านเหล่านั้นเคยมีคนตาย จึงเชื่อกันว่าหากอยู่อาศัยจะทำให้โชคไม่ดี

คนเราล้วนอยากให้ในบ้านมีแต่ความโชคดี บ้านอาถรรพ์เช่นนี้เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง ดังนั้นหลายปีมานี้บ้านเหล่านั้นจึงถูกทิ้งร้าง

แต่หากเป็นที่ดินสำหรับสร้างบ้านจะต่างออกไป เพราะซื้อไปแล้วอยากจะสร้างบ้านอย่างไร แก้ไขอย่างไรก็ได้ ทั้งยังเพิ่มความมงคลได้อีกด้วย

และด้วยเหตุนี้ราคาที่ดินเปล่าจึงสูงลิ่ว มีเพียงครอบครัวเศรษฐีไม่กี่ครอบครัวที่ซื้อไป

ผู้นำหมู่บ้านเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “ที่ดินสำหรับสร้างบ้านผืนที่เล็กที่สุดมีขนาดห้าเฟิน ขายคนในหมู่บ้านกันเองสามตำลึง ผืนที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็มีหนึ่งหมู่ และสองหมู่ ผืนหนึ่งหมู่ก็หกตำลึง ผืนสองหมู่สิบตำลึง พวกเจ้าเลือกแล้วกันว่าต้องการแบบไหน”

ฟังแล้วเห็นได้ชัดว่าที่ดินขนาดสองหมู่จะเหมาะสมกว่า แต่ปกติครอบครัวชาวนาไม่มีเงินมากถึงขั้นซื้อที่ดินราคานี้ได้ ส่วนมากก็ซื้อแค่ที่ดินผืนเล็กห้าเฟิน หรือเต็มที่ก็ที่ดินผืนหนึ่งหมู่

ทว่าในตอนนี้นอกจากครอบครัวลู่แล้ว คนอื่น ๆ หากเอาเงินไปซื้อที่ดินสำหรับสร้างบ้านก็จะไม่มีเงินเหลือ

ครอบครัวของซุ่ยเอ๋อร์อยากซื้อบ้านอยู่เอง อย่างไรเสียครอบครัวนางก็มีกันแค่สามคน หากเช่าอยู่ร่วมกับคนอื่นคงไม่สะดวกนัก พลันนั้นลู่ต้าผิงจึงเอ่ยขึ้น “ท่านผู้นำหมู่บ้าน ยังมีที่ผืนเล็กกว่านี้สักหน่อยหรือไม่ขอรับ?”

ผู้นำหมู่บ้านส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว”

เหอจิ่วเหนียงช่วยเสนอความเห็น “หากพวกเจ้าสมัครใจ สองครอบครัวร่วมกันซื้อที่ดินผืนหนึ่งก็ได้นะ ซื้อผืนห้าเฟินแล้วแบ่งเท่า ๆ กัน อย่างมากก็แค่มีพื้นที่ลานบ้านเล็กลงหน่อย”

นั่นน่ะสิ!

ดวงตาของทุกคนพลันทอประกาย หมู่บ้านไม่แบ่งที่ดินเป็นผืนเล็ก ๆ ให้ แต่พวกเขาสามารถซื้อที่ดินมาแล้ววางแผนจะทำอย่างไรก็ได้ไม่ใช่หรือ!

“เช่นนั้นข้าจะซื้อที่ดินผืนห้าเฟิน มีใครสมัครใจจะแบ่งที่ดินครึ่งหนึ่งกับข้าหรือไม่?”

ลู่ต้าผิงหันมองทุกคน บางคนตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะเช่าอยู่ไปก่อน แต่บางคนก็อยากวางแผนเสียแต่ตอนนี้เพื่ออนาคต

นางหลี่ มารดาของเถี่ยต้านเสนอตัว “ข้าสมัครใจ! ข้ามีลูกสองคน ไม่ได้ต้องการพื้นที่มากนัก”

ก่อนหน้านี้นางสามแม่ลูกได้รับเงินส่วนแบ่งจากรังโจรถึงเก้าตำลึง มาถึงจิงโจวได้รับเงินช่วยเหลืออีกหกตำลึง ตลอดทางที่ลี้ภัยก็ไม่ได้ใช้จ่าย ในมือจึงยังพอมีเงินเหลือ

ครอบครัวของซุ่ยเอ๋อร์กับครอบครัวของนางหลี่สามแม่ลูกล้วนเป็นคนตระกูลลู่ มีสายสัมพันธ์ของเครือญาติกันอยู่แล้ว อยู่ด้วยกันย่อมไม่มีปัญหา อีกอย่าง ระหว่างทางลี้ภัย ซุ่ยเอ๋อร์และพวกนางหลี่ นางเกาได้สร้างมิตรภาพต่อกัน เช่นนี้พวกนางจึงยินดีมากที่จะได้เป็นเพื่อนบ้านกัน

“ตกลง พี่สะใภ้ ต่อไปเราก็จะได้เป็นเพื่อนบ้านกันแล้ว!”

ซุ่ยเอ๋อร์จับมือนางหลี่พลางเอ่ยด้วยความดีใจ

นางเกาก็ไม่อยากเช่าอยู่ร่วมกับคนอื่น จึงเอ่ยขึ้น “ข้าก็จะซื้อที่ดินผืนห้าเฟินด้วย” จากนั้นหันไปหาสองพี่น้องแซ่หลิว “พวกเจ้าสองพี่น้องยังเป็นเด็กแรกรุ่นคงไม่สะดวกอยู่ร่วมกับคนอื่นกระมัง สนใจซื้อที่ดินอยู่กับพวกข้าหรือไม่?”

ระหว่างทางสองพี่น้องสกุลหลิวนับว่าวางตัวดีมาก อย่างไรเสียพวกนางอายุยังน้อยคงไม่กล้าทำเรื่องผิดอีก นางเกาคิดว่าแม้ตนจะไม่ชอบพฤติกรรมที่พวกนางทำต่อครอบครัวลู่ก่อนหน้านี้ แต่ก็ยินดีที่จะเป็นเพื่อนบ้านกับพวกนาง

ตอนนี้สองพี่น้องหลิวไม่กล้าคิดเรื่องขออยู่กับครอบครัวลู่อีกแล้ว อีกอย่างพวกนางคิดว่า หากไปเช่าอยู่ร่วมกับคนอื่นอาจถูกรังแกได้ จึงพยักหน้าตกลงอย่างเกรงใจ

หลิวต้ายาเอ่ย “แต่…ท่านอาสะใภ้ พวกเราสองพี่น้องยังไม่ประสีประสา จะสร้างบ้านได้อย่างไรกันเจ้าคะ?”

พวกนางเพิ่งจะอายุสิบสามปี ห่างจากวัยปักปิ่นอีกไกล ยังไม่เข้าใจอะไรเลยจริง ๆ

“จะไปยากอะไร พวกเราทุกคนร่วมทางกันมาจนถึงที่นี่ จะไม่ช่วยพวกเจ้าสองพี่น้องได้อย่างไรล่ะ รอพวกเราตั้งตัวได้แล้วจะช่วยพวกเจ้าสร้างบ้านอย่างแน่นอน!”

ลู่ฟู่กุ้ยตอบด้วยความจริงใจ ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย ถูกต้อง พวกเขาร่วมทางกันมา ผ่านความยากลำบากและช่วยดูแลกันและกันมาถึงตอนนี้แล้ว จะไม่สนใจพวกนางสองคนได้อย่างไร

“ขอบคุณเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านอา ท่านลุง ท่านน้าทุกท่านนะเจ้าคะ!”

สองพี่น้องหลิวซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหล เดิมทีพวกนางคิดว่าชีวิตที่ถูกบุพการีทอดทิ้งต้องร่อนเร่ไร้ที่พึ่งเสียแล้ว ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าสวรรค์จะยังมอบโอกาสให้พวกนางเช่นนี้

“เอาละ พอได้แล้ว วันมงคลเช่นนี้พวกเจ้าจะร้องไห้ทำไมกัน เช่นนั้นตกลงตามนี้ก็แล้วกันนะ!”

นางเกาอดรู้สึกสงสารไม่ได้ จึงยกมือตบไหล่พวกนางเบา ๆ เพื่อปลอบใจ

ด้านกลุ่มคนที่ถูกช่วยมาจากรังโจรที่มีเงินมากหน่อยก็ตกลงร่วมกันซื้อที่ดินสำหรับสร้างบ้าน ส่วนชาวบ้านตระกูลลู่กลุ่มที่เจอกันที่เมืองเฉียนโจวตัดสินใจเช่าบ้านของหมู่บ้านอยู่ชั่วคราว

สำหรับครอบครัวของลู่กุ้ยหลาน พวกเขามีเงินไม่มาก บ้านสำหรับเช่าก็มีไม่พอแล้ว คิดจะสร้างบ้านเองยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ จึงได้แต่เงียบและหลบอยู่ด้านหลังครอบครัวลู่

ผู้นำหมู่บ้านคิดไม่ถึงเลยว่าผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้จะมีความกลมเกลียวและประนีประนอมกันเช่นนี้ อย่างไรเสียบ้านสำเร็จรูปย่อมสะดวกและประหยัดกว่าการซื้อที่ดินเปล่าแล้วสร้างบ้านใหม่ เขาจึงคิดไว้ว่าคนเหล่านี้จะต้องทะเลาะแย่งชิงบ้านร้างเหล่านั้นกันแน่นอน แต่พวกเขากลับแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นหนึ่งเดียวกัน อีกทั้งทุกฝ่ายล้วนยินดีเช่นนี้ นี่ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ

ผู้นำหมู่บ้านพลันบังเกิดความคิดบางอย่างขึ้นในใจ คนกลุ่มนี้เป็นเครือญาติกัน สามัคคีปรองดองกัน อีกอย่างจำนวนคนก็เยอะ เปรียบได้กับครอบครัวเก่าแก่ในหมู่บ้านหนึ่งเลยทีเดียว เช่นนี้ต่อไปก็ไม่มีใครในหมู่บ้านกล้ารังแกพวกเขาแล้ว

แน่นอนว่าในฐานะที่เขาเป็นผู้นำหมู่บ้านย่อมไม่มีทางรังแกชาวบ้าน โดยเฉพาะผู้ที่มาใหม่อย่างคนกลุ่มนี้ อีกฝ่ายไม่เพียงมีคนจำนวนมาก ยังมีความดีความชอบติดตัวด้วย สามารถทำให้ทางการจัดการเรื่องสถานที่อยู่อาศัยได้เช่นนี้ เบื้องหลังต้องมีคนใหญ่คนโตช่วยอยู่เป็นแน่

และในตอนนี้เอง ครอบครัวลู่ก็เริ่มปรึกษากัน ผู้เฒ่าลู่เอ่ยขึ้น “ครอบครัวเรามีกันหลายคน เช่นนั้นซื้อที่ดินผืนสองหมู่ก็แล้วกัน วันหน้าเด็ก ๆ โตมาจะได้สะดวก”

นี่เป็นเรื่องที่ทั้งคณะคาดเอาไว้ ตลอดการเดินทางพวกเขารู้ดีว่าครอบครัวลู่มีเงิน ก่อนหน้านี้ขายม้าแล้วเอาเงินให้พวกเขายืม ครอบครัวลู่ก็ยังมีเงินจากส่วนนั้นเหลืออยู่ อีกทั้งก่อนหน้านี้พวกเขายังช่วยคุณชายฉินเอาไว้ จะต้องได้รับค่าตอบแทนแน่นอน

แต่ทุกคนไม่รู้สึกริษยาแต่อย่างใด พวกเขารู้ดีว่านี่คือความสามารถของครอบครัวลู่ อีกอย่างการที่พวกเขามีชีวิตรอดมายืนอยู่ตรงนี้ได้ก็เพราะการช่วยเหลือจากครอบครัวลู่ ติดตามคนเก่งเช่นนี้ ต่อไปพวกเขาต้องมีชีวิตที่ดีอย่างแน่นอน!

ผู้นำหมู่บ้านกลับรู้สึกแปลกใจอย่างยิ่ง ครอบครัวนี้ดูแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรพิเศษเลย แต่จู่ ๆ กลับบอกว่าจะซื้อที่ดินผืนสองหมู่ เรื่องหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ชาวบ้านบางคนยังไม่กล้าทำ

“ดี ๆ ๆ ในเมื่อทุกคนตัดสินใจกันได้แล้วเช่นนั้นก็ตามข้าไปดูบ้านกับที่ดินเลยดีกว่า จากนั้นก็ทำสัญญา แล้วไปแจ้งกับทางการกัน”

.

.

.


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว