เมื่อสุดยอดนักฆ่ามาเป็นหนุ่มออฟฟิศ-บทที่ 43 คู่เพี้ยน

โดย  สำนักยุทธ

เมื่อสุดยอดนักฆ่ามาเป็นหนุ่มออฟฟิศ

บทที่ 43 คู่เพี้ยน

คนสกุลลู่ตกใจจนตัวสั่นเทา บริเวณโดยรอบเงียบสงบไม่รู้สึกถึงความผิดปกติเลย แต่ในเมื่อสะใภ้สามกล่าวเช่นนี้นั่นแสดงว่านางจะต้องจับความเคลื่อนไหวบางอย่างได้จริง ๆ

เหอจิ่วเหนียงกระซิบบอกพวกเขาเสียงเบา ก่อนจะจงใจพูดเสียงดัง “เอาละ ทุกคนรีบนอนพักเถอะ พรุ่งนี้เช้ายังต้องเดินทางกันต่อ”

สิ้นเสียงทุกคนก็หาที่เหมาะ ๆ เอนกายนอน

อาชาทั้งสี่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบเชียบ ท่ามกลางพงไพรอันกว้างใหญ่และความดึกสงัดเช่นนี้พวกมันช่างสะดุดตาเป็นพิเศษ


เมื่อเห็นกลุ่มคนที่เฝ้าจับตามองนอนหลับกันแล้ว สองคนที่ซุ่มอยู่ไม่ไกลนักจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“พี่ใหญ่ พวกมันหลับกันแล้ว เราลงมือเลยเถอะ!”

กล่าวจบชายผู้นี้ก็อดแลบลิ้นเลียปากไม่ได้ จับจ้องม้าเหล่านั้นตาเป็นมัน ในภาวะวิกฤตเช่นนี้หากมีโอกาสได้ลิ้มรสเนื้อม้าละก็ อาาา∼∼∼ มันต้องสุขสมจนตัวลอยยิ่งกว่าได้เป็นเทพเซียนเป็นแน่!

“รออีกหน่อย”

คนที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่ยกมือปราม ใบหน้าเต็มไปด้วยความระแวดระวัง

ระหว่างทางพวกเขาเจออึม้าจึงลองตามเบาะแสมา และแล้วก็ได้พบกับม้าอย่างที่คาดไว้!

แต่ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ครอบครัวชาวนายากจนกลับสามารถอยู่รอดปลอดภัย ทั้งยังมีม้าอีกสี่ตัวข้างกาย เห็นได้ชัดว่าครอบครัวนี้ไม่ธรรมดา ฉะนั้นจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด

“ขืนรอต่อไปฟ้าก็สางกันพอดี!”

ชายคนแรกอดใจรอไม่ไหวแล้ว ขณะพูดออกมายังได้ยินเสียงกลืนน้ำลายไปด้วย

โอกาสมาถึงแล้วจะประวิงเวลาอีกทำไมกัน! เขาไม่อยากฟังสิ่งใดทั้งนั้น ก้าวขาออกไปจากที่ซ่อนโดนพลันและพุ่งตัวเข้าไปหาเป้าหมาย

หัวหน้าโจรเห็นดังนั้นก็สบถคำด่าออกไปคำหนึ่ง ก่อนจะตามไปอย่างหัวเสีย

จุดประสงค์ของพวกเขามีเพียงม้าเท่านั้น จึงค่อย ๆ ย่องไปใกล้สัตว์ทั้งสี่ตัวอย่างเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้เจ้าของของพวกมันรู้ตัว จากนั้นรีบช่วยกันปลดปมเชือกออกอย่างระมัดระวัง

“พี่ใหญ่ เรารวยแล้ว!”

คนรีบร้อนเผยรอยยิ้มอัปลักษณ์ พวกเขาจะกินม้าหนึ่งตัว ส่วนม้าที่เหลือหากนำไปขายที่เมืองเฉียนโจวคงได้กำไรไม่น้อย

หัวหน้าโจรไม่พูดอะไร คิดเพียงแค่จะรีบจูงม้าออกไปเท่านั้น

แต่ใครเลยจะคิดว่าจู่ๆ …จะรู้สึกเย็นวาบที่คอขึ้นมา!

“จะไปไหนกันล่ะ?”

น้ำเสียงใจเย็นของบุรุษดังขึ้น โจรทั้งสองสะดุ้งจนตัวโยน

ซวยแล้ว!!

ยามนี้มีอาวุธอยู่ในมือแล้ว คนตระกูลลู่ย่อมไม่กลัวโจรกระจอกสองคนนี้ สองพี่น้องลู่เข้ารวบตัวพวกคนรนหาที่ตายอย่างรวดเร็วแล้วมัดไว้ข้างกองไฟ

“อะ เอ่อ…คือว่าพวกข้าหิวมาก ก็เลยจะ…เอ่อ…”

โจรผู้เป็นลูกน้องตื่นตระหนกจนแทบจะหยุดหายใจ ตลอดทางประสบพบเจอภาพแห่งความตายมาไม่น้อย แม้จะเป็นโจรแต่เขาก็กลัวตาย เขาไม่อยากมีสภาพเป็นร่างไร้วิญญาณโดดเดี่ยวอยู่กลางป่าเขาแบบนั้นนะ!

ส่วนโจรอีกคนเอาแต่จับจ้องผู้ร่วมขบวนการโดยไม่พูดอะไร เขาเริ่มสงสัยแล้วว่าเหตุใดตนถึงได้ร่วมมือกับคนโง่เช่นนี้

“ท่านแม่ พวกเขาหิวแล้ว” โก่วเอ๋อร์ยื่นมือน้อย ๆ ชี้ไปที่คนแปลกหน้าทั้งสอง

เหอจิ่วเหนียงพยักหน้าพลางกล่าว “แม่รู้แล้ว”

หญิงสาวคิดว่าบุตรชายคงจะรู้สึกสงสาร ทว่าเด็กน้อยกลับเอ่ยออกมาอีกครั้ง “แต่พวกเขาเป็นคนไม่ดี คนขโมยของคนอื่นก็คือคนไม่ดี!”

“ใช่แล้วลูก พวกเขาคือคนไม่ดี ลูกแม่ เจ้าฉลาดจริง ๆ!”

เพื่อเป็นการให้รางวัลบุตรชาย เหอจิ่วเหนียงจึงหอมแก้มนุ่มนิ่มกลับไปหนึ่งฟอด หยอกล้อจนเจ้าตัวเล็กส่งเสียงหัวเราะคิกคัก

สองสามวันที่ผ่านมาโก่วเอ๋อร์มีชีวิตชีวาขึ้นมาก ร่างกายก็แข็งแรงขึ้นกว่าเดิม รอยยิ้มบนใบหน้าก็มักจะเผยออกมาให้เห็นบ่อย ๆ

เด็กน้อยคนอื่น ๆ ต่างมองขโมยสองคนนั้นด้วยความสนใจ…

ไม่แน่สองคนนี้อาจมีเงินติดตัวมาด้วยก็ได้!

สองโจรผู้เคราะห์ร้ายถูก ‘เหยื่อ’ จับจ้องจนรู้สึกอึดอัด คนเป็นผู้นำจึงเอ่ยปากด้วยความเหลืออด “จะฆ่าจะแกงก็เชิญเลย!”

หึ ช่างใจเด็ดเหลือเกิน

ผู้เฒ่าลู่หันมองเหอจิ่วเหนียง “สะใภ้สาม เจ้าคิดว่าควรจัดการพวกมันอย่างไรดี?”

เหอจิ่วเหนียงพิจารณาจากสภาพซอมซ่อของอีกฝ่ายจึงอนุมานว่าพวกเขาไม่น่าจะมีเงินให้ปล้นชิง หากแต่นางยังมีวิธีที่พวกตนยังคงได้ประโยชน์ “พวกเรามีม้าแต่ยังไม่มีเกวียน หากคืนนี้พวกเขาช่วยทำเกวียนให้เราได้สองเล่ม เราก็จะปล่อยพวกเขาไป”

เกวียนธรรมดา ๆ ทำได้ไม่ยาก เดิมทีเหอจิ่วเหนียงตั้งใจจะบอกกับพี่ใหญ่และพี่รองในเช้าวันรุ่งขึ้น นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีแรงงานโผล่มาให้ใช้งานเปล่า ๆ โดนไม่ต้องเสียเงินและเสียแรงถึงสองคน

ดวงตาฝ้าฟางของผู้เฒ่าลู่เปล่งประกายในทันใด

ใช่แล้ว! ตอนนี้มีม้าแล้ว แต่ให้พวกเด็ก ๆ ขึ้นไปนั่งอัดกันบนหลังม้าก็ดูจะไม่ปลอดภัยเท่าไรนัก หากมีเกวียนสักสองเล่มคงดีไม่น้อย อย่าว่าแต่เด็ก ๆ เลย ผู้ใหญ่อย่างพวกเขาก็พลอยได้เดินทางสะดวกสบายขึ้นด้วย

สีหน้าของคนร้ายทั้งสองดำคล้ำราวกับถ่าน หิวโหยมาหลายวันเรี่ยวแรงแทบไม่มี แล้วจะให้ช่วยคนพวกนี้ทำเกวียนเนี่ยนะ!

สองโจรดวงตกยังไม่ทันปฏิเสธแม้แต่ครึ่งคำเหอจิ่วเหนียงก็ตัดบท “หากพวกเจ้าทำสำเร็จ ข้าจะให้ข้าวปั้นเป็นการตอบแทน”

ขณะที่พูดไปนางก็ควักข้าวปั้นชิ้นโตสองชิ้นออกมาให้ดู ก่อนจะเก็บกลับเข้าห่อผ้าดังเดิม

จอมโจรทั้งสองหันมองหน้ากัน ในหัวประมวลผลเร็วจี๋…

หากไม่ทำ ครอบครัวนี้จะไม่ปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ แต่หากทำ นอกจากรักษาชีวิตไว้ได้แล้วพวกเขายังได้กินข้าวอีกด้วย!

เพื่อข้าว!

ทำ!!!

“ไม่มีขวานกับเชือก…” โจรคนหนึ่งเอ่ยเสียงอ่อย เหอจิ่วเหนียงนำของทั้งสองอย่างออกมาจากห่อผ้าห่อใหญ่ในทันท่วงที

ทุกคนมองภาพนั้นด้วยความตกตะลึง

นี่มันอะไรกัน ห่อผ้านี่มีทุกอย่างเลยหรือ!

ต้นไม้ก็มีอยู่ตรงหน้า ต้องการมากแค่ไหนก็ตัดเอา ตัดมาทำเป็นแผ่นไม้ แล้วใช้เชือกมัดเข้าด้วยกัน

ส่วนของล้อยิ่งง่าย หาตอไม้นำมาเหลาเป็นแท่งทรงกระบอกก็ได้แล้ว แม้จะมีน้ำหนักไปสักหน่อย แต่ใช้ม้าร่างกำยำสองตัวลากต่อเกวียนหนึ่งเล่มนับว่าไม่เป็นปัญหาอะไร

เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวประกันหนี สองบุตรชายตระกูลลู่จึงขันอาสาเป็นคนคุมงาน ครั้นเมื่อถึงยามเช้าตรู่ เด็ก ๆ ตื่นขึ้นมา เกวียนสองเล่มแสนจะธรรมดาก็ถูกพาดอยู่บนหลังม้าแล้ว

“รถม้า ๆ! ครอบครัวเรามีรถม้าแล้ว!”

เหลยจื่อ—หลานชายคนโตของบ้านวิ่งออกไปดู เด็กน้อยคนอื่นก็วิ่งตามไปด้วยความตื่นเต้น รถม้าสองคันที่ใช้ม้าคู่ลากเช่นนี้ ชาตินี้บ้านพวกเขาไม่มีปัญญาจะซื้อด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ระหว่างทางที่ลี้ภัยกลับได้เห็นสิ่งที่น่าเกรงขามเช่นนี้ ถือเป็นภาพที่น่าประทับใจและประหลาดใจจริง ๆ!

“นี่มันใช้ได้จริง ๆ ใช่หรือไม่?”

นางฉินเห็นกงล้ออันเทอะทะจึงกังวลเล็กน้อย หากลาก ๆ ไปแล้วล้อเกิดมีปัญหาจนพวกเขาพลัดตกลงมาจะทำเช่นไร

“วางใจได้ เมื่อครู่ข้าลองแล้ว ตราบใดที่ใช้ความเร็วช้าหน่อยก็จะปลอดภัย!”

บุตรคนรองยิ้มพลางตบไหล่ปลอบภรรยา สายตาภาคภูมิยังคงวางไว้ที่รถม้า ไม่นึกเลยว่ารถม้าสองคันนี้จะเป็นของครอบครัวตน ช่างน่าประหลาดใจโดยแท้!

จอมโจรผู้ถูกบังคับให้เป็นแรงงานก่อสร้างทั้งสองเหน็ดเหนื่อยมาทั้งคืนจึงล้มตัวลงนอน แต่สายตากลับจ้องเหอจิ่วเหนียงเขม็ง เตือนนางว่า ‘อย่าลืมข้าวปั้นที่ตกลงกันไว้เมื่อคืน!’

คนถูกมองทำตามที่ตกลงไว้ ควักข้าวปั้นชิ้นโตออกมาแล้วโยนให้พวกเขา

ครอบครัวลู่เห็นสะใภ้สามโยนเสบียงทิ้งไปง่าย ๆ แบบนั้นก็รู้สึกปวดใจไม่น้อย แต่เห็นแก่ที่วันนี้ไม่ต้องเดินเท้า พวกเขาจะหักลบข้อดีข้อเสียก็แล้วกัน

อย่างไรเสียพวกเขายังมีข้าวปั้นที่เตรียมเอาไว้ไม่น้อย อีกทั้งเสบียงอาหารแห้งที่ได้มาเมื่อคืน ยังไม่จำเป็นต้องจุดไฟหุงใหม่ ทุกคนกินของที่เหลืออยู่อย่างง่าย ๆ ดื่มน้ำเสร็จก็เตรียมตัวออกเดินทางต่อ

ผู้เฒ่าลู่รักรถม้ามากจนวางมือไม่ลง เขาบังคับรถม้าคันหนึ่ง ส่วนบุตรชายทั้งสองต้องนอนพักผ่อน เหอจิ่วเหนียงจึงเป็นคนรับหน้าที่บังคับรถม้าอีกคัน

พวกเด็ก ๆ กำลังเคลิบเคลิ้มอยู่ในห้วงนิทรา มีเพียงโก่วเอ๋อร์เท่านั้นที่ยังดูมีชีวิตชีวา นั่งข้างกายมารดาอย่างเงียบ ๆ ดวงตากลมโตทอดมองไปรอบ ๆ

“ท่านแม่ มีคนชั่วตามพวกเรามาขอรับ!”

มือเล็กป้อมดึงชายเสื้อเหอจิ่วเหนียงบอกให้นางหันมองด้านหลัง ทันทีที่หญิงสาวหันไปก็พบว่าเป็นแรงงานสองคนนั้นที่ตามพวกนางมา

“พวกมันคิดจะทำอะไร?”

นางซุนเห็นดังนั้นคิ้วก็ขมวดแน่น มองสะใภ้สามด้วยความสงสัย

เหอจิ่วเหนียงเองก็ไม่อาจรู้ได้ นางเพียงบังคับบังเหียนต่อไป

กระทั่งจอมโจรสองคนนั้นตามมาทัน หญิงสาวแซ่เหอจึงเอ่ยถามอย่างเอาเรื่อง “ทำไม ยังอยากให้พวกข้าใช้แรงงานอีกอย่างนั้นหรือ?”

อีกฝ่ายมีกันแค่สองคน หากจะปะทะกันขึ้นมาคนสกุลลู่ย่อมไม่กลัวอยู่แล้ว เว้นเสียแต่สองคนนี้จะมีแผนร้ายแอบลงมือตอนเผลอ นั่นต่างหากที่น่ากังวล

.

.

.


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว