เมื่อสุดยอดนักฆ่ามาเป็นหนุ่มออฟฟิศ-บทที่ 27 ฉันจะรอที่โรงฝึก!

โดย  สำนักยุทธ

เมื่อสุดยอดนักฆ่ามาเป็นหนุ่มออฟฟิศ

บทที่ 27 ฉันจะรอที่โรงฝึก!

กว่านชงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเสนอความคิดของตัวเองออกมา “ถ้าเราเปิดเมืองจิงโจวรับผู้ลี้ภัยที่เป็นเด็ก ผู้หญิง และผู้ชายที่ไร้ความสามารถเข้ามา องค์ชายจะทรงเห็นควรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ การให้โอกาสราษฎรได้ตั้งหลักปักฐาน พวกเขาต้องซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณขององค์ชายเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”

จิงโจวเป็นที่ดินศักดินาของเฉินอ๋อง แม้จะพำนักอยู่ในวัง แต่เนื่องจากระยะทางระหว่างสองเมืองที่ใกล้กันมาก เฉินอ๋องจึงมักไปดูแลจิงโจวด้วยตัวเองบ่อย ๆ ด้วยเหตุนี้ นอกจากเมืองหลวงอย่างจิ้นโจวแล้ว จิงโจวก็นับเป็นอีกหนึ่งเมืองที่เจริญรุ่งเรืองและมีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ที่สุดในแคว้นเป่ยเหยียน

ด้วยพระปรีชาสามารถอันล้ำเลิศ เฉินอ๋องจึงตกเป็นเป้าริษยาขององค์ชายหลาย ๆ องค์ แม้กระทั่งฮ่องเต้ก็ยังรู้สึกเสียดายที่มอบจิงโจวให้โอรสองค์นี้

“แต่ว่า…”

เฉินอ๋องรู้สึกลังเล ไม่ใช่ว่าเขาไม่เต็มใจ แต่จิงโจวมีประชากรท้องถิ่นจำนวนมากอยู่แล้ว แต่ที่ดินที่เหมาะกับการทำกินกลับมีน้อยจนน่าเห็นใจ หากรับผู้ลี้ภัยเหล่านั้นไว้ก็ใช่ว่าทุกคนจะจับจองที่ดินที่มีอยู่ได้ทัน เช่นนี้ไม่เท่ากับว่าเป็นการทำลายความหวังของพวกเขาหรอกหรือ

“องค์ชาย…” กว่านชงรู้ว่าผู้เป็นนายกำลังกังวลเรื่องอะไร “...จิงโจวมีที่ดินที่ถูกพัฒนาแล้วอยู่น้อยก็จริง แต่เราให้ผู้ลี้ภัยหักร้างถางพงเองได้นี่พ่ะย่ะค่ะ ตราบใดที่พวกเขาดูแลเอาใจใส่อย่างดี อีกสามถึงห้าปีที่ที่เคยรกร้างก็จะกลายเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ได้ ช่วงแรกอาจต้องยกเว้นภาษี ให้ผู้ลี้ภัยได้ตั้งหลักเอาตัวรอดไปให้ได้ก่อน”

การส่งเสริมให้ผู้ลี้ภัยตั้งหลักได้ สิ่งนี้จะถือเป็นคุณงามความดีของเฉินอ๋องด้วย ต่อให้ฮ่องเต้คิดจะเมินเฉย แต่เหล่าขุนนางต้องทูลขอให้เขายกย่องคุณงามความดีขององค์ชายสามอย่างแน่นอน

แต่ตอนนี้ปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญคือ เฉินอ๋องโดดเด่นจนขวางหูขวางตาทุกคน หากองค์ชายสามช่วยเหลือผู้อพยพด้วยวิธีนี้สำเร็จละก็ ต้องมีคนไม่พอใจเป็นแน่

ทว่านี่มันใช่เวลาที่ต้องใส่ใจเรื่องนั้นหรือ! หากยังไม่รีบจัดการหาถิ่นฐานให้ผู้ลี้ภัยอีกละก็ คงได้เห็นการจลาจลครั้งใหญ่เกิดขึ้นในเป่ยเหยียนแน่!

“เช่นนั้นก็จัดการตามนี้เถอะ หวังว่าเสด็จพ่อจะเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้สักวัน”

กล่าวจบเฉินอ๋องก็ถอนหายใจด้วยความกังวล ตอนนี้มีทั้งศึกนอกและศึกใน หากยังปล่อยปละละเลยอีก เกรงว่าความพินาศคงอยู่ไม่ไกล

“พ่ะย่ะค่ะ”

ก่อนที่ปรึกษากองทัพจะหันหลังเดินออกไป เฉินอ๋องก็สั่งการเขาอีกครั้ง “เรียกฉินเจียนมาหาข้าด้วย”

ฉินเจียนคือผู้ที่นำข่าวในวันนี้กลับมาจากหนานไท่ จนเป็นเหตุให้เขาถูกมือสังหารของหนานไท่ตามล่า ตลอดการเดินทางของเขาไม่ง่ายเลย

ขณะที่ฉินเจียนมาถึง เฉินอ๋องกำลังเขียนจดหมายอยู่ เมื่อเห็นว่าคนที่เดินเข้ามาเป็นใครองค์ชายสามก็ไม่ได้คิดจะปิดบัง

ผ่านไปครู่หนึ่งจดหมายก็ถูกเขียนเสร็จ ระหว่างรอให้หมึกแห้ง เฉินอ๋องก็เอ่ยถามผู้ใต้บัญชาที่เพิ่งเข้ามา “หากนักฆ่าพวกนั้นเป็นคนของหนานไท่จริง เช่นนั้นการเคลื่อนไหวของเจ้าในหนานไท่ก็คงยากขึ้น กลับไปครั้งนี้เจ้าต้องระวังตัวให้มากล่ะ อย่าให้พวกมันทำลายแผนการใหญ่ที่ข้าวางมานานหลายปีได้”

“องค์ชายวางพระทัยได้พ่ะย่ะค่ะ”

“อืม นำจดหมายนี่ไปส่งที่หนานไท่ บอกคนที่นั่นว่าเราจะเริ่มทำตามแผนแล้ว ช่วงนี้เมืองเล็กเมืองน้อยของหนานไท่เหิมเกริมยิ่งนัก ถึงเวลาที่พวกมันต้องลิ้่มรสของหายนะเสียที”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

ฉินเจียนรับจดหมายแล้วออกจากห้องไป เขารู้ดีว่าจดหมายฉบับนี้สำคัญมากจึงไม่อาจล่าช้า


----------


ทางด้านเมืองเฉียนโจว

ครอบครัวแซ่ลู่ตามหาครอบครัวของลู่กุ้ยหลานอยู่หน้าเมืองมาหลายวันแล้วก็ยังไม่พบ ทว่าชาวบ้านคนอื่น ๆ กลับเจอญาติพี่น้องของตนเองกันหมดแล้ว รวมถึงบิดาของเสี่ยวจวี๋จื่อ

ลู่ต้าผิง บิดาของเสี่ยวจวี๋จื่อได้รับบาดเจ็บบริเวณขา อาการบาดเจ็บที่ลากมาหลายวันทำให้แผลเน่าจนเป็นหนอง ดูเช่นนี้เหมือนพิการไปแล้วด้วยซ้ำ ขาอีกข้างก็บวมเป่ง เจ็บปวดจนไม่อาจเดินเหินได้

เดิมทีเขาคิดว่าคงต้องรอความตายอยู่หน้าประตูเมืองเป็นแน่แท้ แต่โชคดียิ่งนักที่ได้เจอกับคนตระกูลลู่ ภรรยา และบุตรชายตนเองอีกครั้ง ชายผู้หมดหวังดีใจจนน้ำตาไหลอาบหน้า

นางฉียังตามหาสามีตนเองไม่เจอ เมื่อเห็นครอบครัวของเสี่ยวจวี๋จื่อสามคนพ่อแม่ลูกกอดกันร้องไห้ ตนกับบุตรสาวก็แอบปาดน้ำตาตามเช่นกัน

ส่วนนางซุนก็ไม่ต่างกันนัก เดิมทีคิดว่าเมืองเฉียนโจวคือความหวังของนาง นางมั่นใจว่าต้องได้เจอกับบุตรสาวที่นี่แน่นอน

แต่ใครจะคิดว่าจะไม่เห็นแม้แต่เงา

“ท่านอาสาม โชคดียิ่งนักที่ได้เจอพวกท่าน หลายวันมานี้พวกเรา…พวกเราลำบากมากจริง ๆ!”

เจ้าของวาจาตื้นตันคือบุตรชายของพี่ชายผู้เฒ่าลู่ ชื่อลู่ฟู่กุ้ย อายุมากกว่าลู่จิ้งซวนสองปี…หากแต่หลังจากเผชิญมหันตภัยที่เกือบพรากชีวิตไปในครั้งนี้ สภาพของลู่ฟู่กุ้ยดูราวกับแก่ขึ้นเป็นสิบปีก็มิปาน

ข้างกายลู่ฟู่กุ้ยมีเพียงบุตรชายคนเดียว ภรรยาและบุตรสาวสุขภาพไม่แข็งแรงจึงพ่ายแพ้ต่อความหิวสิ้นใจไปแล้วระหว่างทาง เขาจึงปกป้องบุตรชายคนเล็กอย่างสุดชีวิต โชคดีที่เด็กน้อยเข้มแข็งรอดมาได้ถึงตอนนี้

สรุปตัวเลขของจำนวนชาวบ้านหมู่บ้านตระกูลลู่ที่เหลือรอดในตอนนี้มีไม่ถึงสามสิบคน ที่เหลือบ้างถูกพวกโจรเร่ร่อนปลิดชีพที่นอกเมืองหลิวเจีย บางคนหิวจนขาดใจระหว่างทาง

ผู้เฒ่าลู่ได้ฟังดังนั้นก็พูดอะไรไม่ออก น้ำตาไหลออกมาโดยไม่อาจห้าม จับมือลู่ฟู่กุ้ยตบเบา ๆ เพื่อปลอบใจ

หลังจากทุกคนได้พบกันแล้ว ครอบครัวลู่ซึ่งยังไม่เจอคนที่ตามหาตัดสินใจว่าจะรั้งรออยู่หน้าเมืองเฉียนโจวอีกหนึ่งคืน เผื่อว่าจะมีข่าวของครอบครัวลู่กุ้ยหลาน หากผ่านคืนนี้ไปยังไร้ซึ่งข่าวคราว พวกเขาจะตัดใจจากที่นี่ และเข้าเมืองมุ่งหน้าไปอันโจว

.


ด้วยบริเวณโดยรอบมีแต่กลุ่มผู้ลี้ภัย ครอบครัวลู่จึงไม่กล้าให้นางหยูตั้งหม้อทำอาหาร หาไม่คงได้เกิดความโกลาหลขึ้นเป็นแน่ มื้อเย็นมื้อนี้ทั้งครอบครัวจึงนำอาหารแห้งออกมากิน ส่วนลู่ฟู่กุ้ยสองพ่อลูกเห็นชัดว่าร่างกายไม่ได้รับอาหารมานาน เขายัดข้าวปั้นเข้าปากด้วยความตะกละตะกลามจนเกือบสำลักอยู่หลายหน

หลังจากกินอิ่มท้อง เหอจิ่วเหนียงก็ไปตรวจดูขาของลู่ต้าผิง

…หากรักษาตามการแพทย์ปัจจุบัน คงทำได้เพียงต้องตัดขา

แต่หากเป็นวิธีการรักษาของนางจะยังมีโอกาสรักษาขาเอาไว้ได้

ทว่าปัญหาก็คือ…

ตอนนี้นางไม่อาจเปิดเผยให้คนเหล่านี้ล่วงรู้ได้ว่านางมีทักษะวิชาแพทย์!

“จิ่วเหนียง ขาของสามีข้าจะพิการหรือไม่?”

ซุ่ยเอ๋อร์ปาดน้ำตาพลางถามด้วยความร้อนใจ

เหอจิ่วเหนียงคิดในใจ ผู้หญิงคนนี้นี่จริง ๆ เลย ตอนที่พลัดพรากจากสามีก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ ตอนนี้เจอสามีแล้วก็ยังร้องไห้อีก ผู้หญิงนี่ช่างเจ้าน้ำตาจริง ๆ

“...ตามหลักแล้วก็เป็นเช่นนั้น” เหอจิ่วเหนียงเอามือลูบคางพลางพยักหน้าเบา ๆ

ซุ่ยเอ๋อร์ร้องไห้หนักขึ้น

“อย่าเพิ่งตีโพยตีพายเลย เดี๋ยวเข้าเมืองแล้วหาซื้อยาจินฉวงตามร้านยารักษาก่อน หากไปถึงอันโจวเมื่อไรค่อยเชิญท่านหมอมารักษา ไม่แน่อาจจะหายเป็นปกติก็ได้ อีกอย่าง แค่เขายังมีชีวิตอยู่ก็ดีที่สุดแล้วไม่ใช่หรือ”

ขณะบอกกล่างเหอจิ่วเหนียงก็พยักพเยิดไปทางนางฉีที่นั่งเหม่ออยู่ไม่ไกลเป็นสัญญาณให้ซุ่ยเอ๋อร์ ทันใดนั้นสตรีที่เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายก็ตระหนักได้ว่า นางฉียังตามหาสามีไม่เจอเลย จึงทำให้นางสงบสติอารมณ์ลงได้

เมื่อเทียบกับนางฉี ซุ่ยเอ๋อร์ถือว่าโชคดีกว่ามากจริง ๆ

นางพูดกับเหอจิ่วเหนียงเสียงเบา “เข้าเมืองก็ต้องจ่ายค่าผ่านด่าน พวกเรายังพอมีเงินเข้าเมืองได้ แต่คนอื่นล่ะจะทำอย่างไร?”

คนอื่นที่ซุ่ยเอ๋อร์หมายถึงก็คือญาติ ๆ ที่เพิ่งตามหาเจอ พวกเขาอยู่กันอย่างอัตคัดแร้นแค้น ไหนเลยจะมีเงินค่าผ่านด่านเข้าเมืองคนละสามตำลึง

“ขอข้าคิดก่อนก็แล้วกัน ถึงอย่างไรเราก็ไม่อาจทิ้งใครไว้ข้างหลังได้”

เหอจิ่วเหนียงไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ อย่างไรเสียครอบครัวนางก็มีเงินให้พวกญาติ ๆ ยืมก่อนได้

แต่ก็ต้องดูด้วยว่าผู้อาวุโสทั้งสองของบ้านจะว่าอย่างไร แม้จะไม่ได้ให้เปล่า ๆ แต่ก็ต้องเจรจาให้รัดกุม หาไม่เงินจำนวนมากขนาดนั้นคงสูญหายแน่

ซุ่ยเอ๋อร์รู้สึกซาบซึ้งใจ และพรั่งพรูคำสรรเสริญครอบครัวแซ่ลู่ไม่ขาดปาก

เหอจิ่วเหนียงยิ้มรับแห้ง ๆ จากนั้นเดินกลับไปหาครอบครัว แล้วปรึกษาเรื่องนี้กับนางซุน

หญิงชราผู้เป็นกระเป๋าเงินของบ้านทำเสียงฮึดฮัดคล้ายจะสื่อว่า ‘ข้ารู้แล้วน่า!’

“เจ้าไม่ต้องบอกข้าหรอก ข้ากับพ่อของเจ้าปรึกษาเรื่องนี้กันแล้ว ยืมเงินน่ะยืมได้ แต่เราไม่ได้จะให้ยืมง่าย ๆ ขนาดนั้น! เจ้าไม่ต้องทำอะไรแล้ว รอดูพ่อเจ้าจัดการก็พอ”

เหอจิ่วเหนียงสงบปากสงบคำในทันใด

และแล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด… ลู่ฟู่กุ้ยเดินมาหาแล้ว

“ท่านอาสาม ข้าได้ยินมาว่าเช้าวันพรุ่งนี้พวกท่านจะเข้าเมืองแล้ว คือพวกเรา…พวกเราไม่มีเงินติดตัวเลยขอรับ!”

ลู่ฟู่กุ้ยเครียดไม่น้อย หากมีเงินเขาคงไม่รอความตายอยู่หน้าประตูเมืองแบบนี้แน่

“ท่านอาสาม ข้ารู้ว่าตอนนี้เป็นช่วงกลียุค ครอบครัวท่านก็มีกันหลายคน มันไม่ง่ายเลย แต่ความหวังเดียวที่พวกข้ามีตอนนี้ก็คือครอบครัวท่าน!”

ขณะรำพัน บุรุษผู้อับจนหนทางก็คุกเข่าลงตรงหน้าผู้เป็นความหวัง

.

.

.


รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว