เมื่อสุดยอดนักฆ่ามาเป็นหนุ่มออฟฟิศ-บทที่ 22 คุยแชตคิวคิว

โดย  สำนักยุทธ

เมื่อสุดยอดนักฆ่ามาเป็นหนุ่มออฟฟิศ

บทที่ 22 คุยแชตคิวคิว

ครั้งหนึ่งในวัยหนุ่มผู้เฒ่าลู่เคยเป็นทหารลาดตระเวนมาก่อน ติดตามหน่วยรบแนวหน้าบุกตะลุยไปทั่วแว่นแคว้น ได้ความรู้และประสบการณ์มาอย่างโชกโชน

ชายชราตื่นตระหนกเล็กน้อย “เหตุใดคนหนานไท่ถึงอยู่ที่เป่ยเหยียนในเวลาเช่นนี้…ชายแดนวุ่นวายมานานหลายปี พวกเขาคงไม่ฉวยโอกาสทำศึกในตอนที่พวกเรากำลังประสบภัยแล้งหรอกกระมัง”

เรื่องการจะเดินทางไปถึงอันโจวได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ตกเป็นเรื่องรองทันที เพราะบัดนี้จู่ ๆ ดันมาเจอคนหนานไท่ ครอบครัวลู่ทุกคนต่างพ่นลมหายใจหนัก ๆ ด้วยความกังวล

“ไม่ใช่สิ…”

ชายชราตงิดใจขึ้นมา พยายามไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงจะกล่าว “...ไม่ใช่คนหนานไท่ ข้าเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่พวกเขากำลังพูด”

ในแต่ละแคว้นจะมีผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาของต่างแคว้นอยู่ คนหนึ่งจะเชี่ยวชาญกี่ภาษาก็สุดแล้วแต่ ทว่าสำหรับชาวบ้านคนธรรมดาแน่นอนว่ายากจะได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้

ดังนั้นแม้ชายชราจะมีความรู้กว้างขวางจากประสบการณ์วัยหนุ่ม แต่เขาผู้เป็นเพียงชาวบ้านก็ฟังภาษาหนานไท่ไม่เข้าใจ

ทว่าเมื่อครู่เหมือนเขาจะได้ยินคนพวกนั้นพูดว่า… ‘โดนพิษ’ ‘หนีไปได้ไม่ไกล’ อะไรสักอย่าง

คนในครอบครัวไม่เข้าใจ ชายชราจึงอธิบายให้ฟังอีกครั้ง และแล้วดูเหมือนจะเข้าใจแต่สุดท้ายก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

ทว่าเหอจิ่วเหนียงกลับเข้าใจแจ่มแจ้ง

พูดง่าย ๆ ก็คือ คนกลุ่มนั้นพูดภาษาเป่ยเหยียนโดยใช้สำเนียงหนานไท่ อีกทั้งหลายคนในกลุ่มเป็นคนเป่ยเหยียนที่แปรพักตร์ไปอยู่ข้างศัตรู

ควรทราบว่า แคว้นเป่ยเหยียนก็คือดินแดนแห่งนี้ที่ครอบครัวของเหอจิ่วเหนียงเกิดและเติบโต ส่วนแคว้นหนานไห่แน่นอนว่าเป็นแคว้นปรปักษ์นั่นเอง

คนพวกนั้นมีจุดประสงค์อะไรกันแน่?

หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับฉินเจียน!

แต่ช่างเถอะ ไม่ว่าคนพวกนั้นจะมีแผนการอะไรก็ไม่ใช่กงการที่คนสกุลลู่จะเข้าไปยุ่ง ตอนนี้พวกเขาแค่รักษาตัวเองและครอบครัวให้อยู่รอดปลอดภัยไปด้วยกันก็พอ

ผู้เฒ่าลู่เผยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วให้ทุกคนเดินอ้อมไปอีกทาง

“เป็นไปได้หรือไม่ว่ากองศพที่เราเจอจะเป็นฝีมือของคนกลุ่มนี้?” จู่ ๆ บุตรชายคนรองก็เอ่ยออกมา

จุดนี้อยู่ห่างจากสถานที่นองเลือดไม่ไกลนัก ไม่แน่อาจเป็นฝีมือของพวกป่าเถื่อนกลุ่มนี้

แม้ไม่อยากหาเรื่อง แต่เขาก็เป็นคนใจเด็ดเดี่ยวคนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นคนต่างแคว้นกลุ่มนี้มีใจคิดร้าย จะให้ปล่อยไปได้อย่างไร!

“ไม่น่าใช่…” เหอจิ่วเหนียงเอ่ยต่อ “...คนกลุ่มนี้ดูเหมือนจะมีแผนการใหญ่ ไม่น่าใช่พวกโจรปล้นชิงที่ลงมือฆ่าคนไม่เลือกหน้าแบบนั้น อีกอย่างพวกเขาไม่ได้ขาดแคลนอาหารและเงินทอง”

สดับวาจาของเหอจิ่วเหนียงทุกคนก็หวนคิดได้ว่าคนกลุ่มนั้นมีม้าซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงฐานะ แถมตอนนี้ยังนั่งกินเนื้อย่างกันอย่างสำราญ และคล้ายว่าไม่อยากข้องแวะกับผู้อพยพอย่างพวกเขาเลยสักนิด

“เช่นนั้นพวกเรารีบไปกันเถอะ อย่าให้พวกนั้นจับได้!”

นางหยูก้าวขึ้นมานำหน้าขบวนแล้วหันไปเรียกทุกคนให้เร่งฝีเท้า แต่เมื่อหันกลับมาเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางกลับพบว่า…

กลุ่มชายชุดดำที่นั่งกินดื่มอยู่ทางด้านนั้นบัดนี้ยืนอยู่ด้านหน้าพวกเขาแล้ว อีกทั้งยังถือดาบยาวไว้ในมือ!

คนกลุ่มนี้คือนักฆ่า มีความปราดเปรียวและไหวพริบสูง พวกเขาสัมผัสได้ตั้งแต่คนตระกูลลู่ยังไม่ทันเข้ามาใกล้บริเวณนี้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทักษะการเข้าประชิดตัวศัตรูอย่างเงียบเชียบเลย

เหอจิ่วเหนียงคาดเอาไว้แล้วว่าคนพวกนั้นจะต้องจับได้ แต่นางไม่อาจพูดออกมา หากพูดมากไปก็ยากจะอธิบาย ดังนั้นจึงอยู่เงียบ ๆ และทำตามวิธีของคนในครอบครัว

ชายชราลู่ตื่นตระหนกและนึกเสียใจที่ช้าไปหนึ่งก้าว แต่เพื่อทุกคนในครอบครัว เขาจึงต้องฝืนยิ้มอย่างสุดกำลังพลางออกหน้าเจรจา “พวกเราเป็นแค่ผู้ลี้ภัย ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น…”

นักฆ่าตรงหน้าข่มขู่เสียงลอดไรฟันด้วยสำเนียงไม่คุ้นหู แต่ถ้อยคำที่เขาพูดออกมาผู้เฒ่าลู่ล้วนฟังออก พวกเขาบอกว่า ‘ใครที่เจอพวกข้า มันต้องตาย!’

ภารกิจและความเคลื่อนไหวของชายชุดดำกลุ่มนี้ไม่อาจเปิดเผยให้ใครรู้ได้เด็ดขาด แม้แต่ครอบครัวชาวบ้านไร้พิษสงก็ไม่ละเว้น! แม้พวกเขาจะไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อเบี่ยงสายตามามองแล้ว วันนี้ก็ต้องตายอยู่ที่นี่!

เด็กน้อยในครอบครัวเห็นท่าทางโฉดชั่วของกลุ่มคนแปลกหน้าจึงตกใจจนร้องไห้จ้าด้วยความหวาดกลัว เว้นแต่โก่วเอ๋อร์ที่นอนเม้มปากอยู่บนหลังเหอจิ่วเหนียงโดยไม่ส่งเสียงใด ๆ เขารู้ว่าท่านแม่ปกป้องเขาได้

กลุ่มคนชุดดำไม่รอช้าพุ่งเข้าหาศัตรูทันที บุรุษหนุ่มสกุลลู่ทั้งสองเห็นความตายลอยเข้ามาก็กลืนน้ำลายด้วยความประหม่า สัญชาตญาณสั่งให้ยกไม้ค้ำยันที่ใช้ผ่อนแรงระหว่างการเดินทางขึ้นรับการโจมตี พวกเขาเป็นเสาหลักของครอบครัว แม้จะรู้ว่าไม่มีทางเอาชนะได้ แต่ก็ต้องปกป้องทุกคนให้ถึงที่สุด!

ผู้เฒ่าลู่เองก็พุ่งตัวเข้าไปต้านทาน เขาไม่ยอมแสดงให้ใครเห็นว่าอ่อนแอเด็ดขาด!

เหอจิ่วเหนียงรีบดึงเหล่าสตรีและเด็ก ๆ ไปหลบหลังต้นไม้และสั่งให้หันหลังปิดตาไว้ จากนั้นนางใช้โอกาสนี้ล้วงเอาเข็มเงินอาบยาพิษออกมาจากห้วงมิติหนึ่งกำมือ ทันทีที่สะบัดมือเข็มพิษก็พุ่งไปที่จุดมิ่งเหมิน[1]ของคนร้าย

[1] จุดมิ่งเหมิน (命门) คือข้อต่อส่วนบริเวณเอวระหว่างสะโพกกับกระดูกสันหลัง

เข็มเงินทั้งบางเฉียบและขนาดเล็ก สามารถแทงทะลุเนื้อผ้าเข้าสู่ผิวหนังได้อย่างง่ายดาย ชายฉกรรจ์ในชุดดำจึงล้มลงไปกับพื้นสิ้นลมหายใจทันที โดยที่สามบุรุษแห่งตระกูลลู่ยังคงหลับตาชกลมอยู่อย่างนั้น

เมื่อรู้สึกว่าโจมตีไม่โดนตัวศัตรูชายแซ่ลู่ทั้งสามจึงลืมตาขึ้น และพบว่าคนเหล่านั้นล้มลงไปกองกับพื้นนอนแน่นิ่งหมดแล้ว

ทั้งสามเห็นดังนั้นจึงประหลาดใจมาก …นะ นี่พวกเขาต่อสู้เก่งแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?

“ท่านแม่! ทุกคน! เราปลอดภัยแล้ว รีบออกมาเถอะ!”

บุตรชายคนโตตะโกนเรียก ด้านคนที่หลบอยู่หลังต้นไม้จึงค่อย ๆ เปิดตาขึ้นมอง

ทั้งสามคนไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่กลุ่มคนร้ายกลับล้มลงไปกองกับพื้น!?

ผู้เฒ่าลู่เดินเข้าไปตรวจสอบอย่างกล้าหาญ ก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก “พวกมันตายกันหมดแล้ว”

ได้ยินดังนั้นนางซุนจึงกล้าพาทุกคนออกมา หญิงชรารีบรุดเข้าไปดูผู้เป็นสามี ก่อนจะหันไปมองบุตรชายทั้งสอง

บุตรคนรองยิ้มพลางกล่าว “ท่านแม่ พวกข้าปลอดภัยดี!”

“นะ นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

นางฉินพูดจาตะกุกตะกัก ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนร้ายจะอ่อนแอเช่นนี้

…น่าเหลือเชื่อเกินไป

“พวกข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน…”

บุตรคนรองส่ายหน้าไปมาด้วยความมึนงง เดิมทีคิดว่าคืนนี้ทั้งครอบครัวจะประสบความตายเสียแล้ว

“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ พี่รอง คนพวกนี้ต้องมีเงินกับเสบียงติดตัวมาเป็นแน่! รีบค้นตัวพวกเขาเถอะเจ้าค่ะ”

เหอจิ่วเหนียงเอ่ยปากขัดเพื่อไม่ให้พวกเขาพูดต่อ มิเช่นนั้นอาจชักช้าจนคนฝ่ายนั้นตามมาสมทบได้

“ใช่ รีบค้นเร็วเข้า!”

ผู้เฒ่าลู่นำบุตรชายทั้งสองไปค้นตัวเหล่ามือสังหารที่กลับกลายเป็นผู้ถูกสังหารเสียเอง พบเงินจำนวนแปดสิบกว่าตำลึง อีกทั้งยังอาหารแห้งที่พวกเขาพกติดตัวมา

ครอบครัวลู่ไม่ปล่อยให้มีอะไรหลงเหลือแม้แต่ชิ้นเดียว

“พี่ใหญ่ พี่รอง พวกมันมีม้าด้วย ตรงนั้นต้องมีสัมภาระพวกมันเป็นแน่ ของไม่เสียเงินมาประเคนให้ถึงที่เช่นนี้ ต้องเอาให้หมดอย่าให้เหลือ!”

เหอจิ่วเหนียงยังคงกระตุ้น สองพี่น้องลู่เข้าใจได้ทันที รีบวิ่งไปไม่รีรอ

เอ่อ… ตอนนี้ดูเหมือนว่าเหอจิ่วเหนียงจะกลายเป็นเสาหลักของครอบครัวไปโดยไม่รู้ตัว

นางซุนลอบพิจารณาสะใภ้คนนี้อย่างตั้งใจอีกครั้ง …หลังจากผ่านความตายครั้งนั้นมา ดูเหมือนว่าสะใภ้สามจะเปลี่ยนไปราวกับคนละคน กลายเป็นคนกล้าหาญ รอบคอบ และมีแผนการมากขึ้น เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะนางเป็นคนนำ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะตื่นตระหนกกันมากขนาดไหน

ผู้เฒ่าลู่แม้จะเป็นฝ่ายเข้าไปค้นตัวผู้มุ่งร้ายอย่างห้าวหาญทว่าแขนขาของเขาก็อ่อนแรงจากความเหนื่อยล้า นางซุนจึงประคองผู้เป็นสามีไปนั่งพัก

ส่วนด้านเหอจิ่วเหนียงกลับเดินไปเก็บดาบยาวและกริชของนักฆ่าเหล่านั้น ระหว่างนี้ก็ถือโอกาสตรวจสอบร่างกายพวกเขา

พบว่าบนหน้าอกของทุกคนมีรอยสักเขี้ยวหมาป่าอยู่

สมาชิกในครอบครัวเห็นสะใภ้สามกระชากเสื้อผ้าของคนเหล่านั้นจึงเบิกตากว้างจ้องมองนางด้วยความตกใจ คนถูกมองจนตาแทบถลนแสร้งเป็นไม่เห็น นางชูดาบยาวกับกริชในมือขึ้น “เก็บเอาไว้ เผื่อได้ใช้ระหว่างทาง”

“ฮะ เอ่อ อ๋อ ใช่ ๆ ๆ!” นางหยูรีบพยักหน้าเห็นด้วย นึกถึงเหตุการณ์ที่ผู้ชายในบ้านสามคนหลับหูหลับตากวัดแกว่งไม้เท้าไปมาเมื่อครู่ นางจึงก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับเอ่ยสนับสนุน “น้องสะใภ้สามช่างฉลาดยิ่งนัก เจ้าแบกโก่วเอ๋อร์อยู่ ของพวกนี้ใส่ไว้ในตะกร้าให้ข้าแบกเถอะ”

ด้วยความหวังดีจากอีกฝ่ายเหอจิ่วเหนียงจึงไม่ปฏิเสธ นำดาบยาวใส่ในตะกร้าให้พี่สะใภ้ใหญ่แบก ส่วนกริชเหล่านั้นนางเก็บเอาไว้กับตัวหนึ่งเล่ม ที่เหลือส่งให้ผู้เฒ่าลู่ให้เขาเป็นคนเอาให้พี่ใหญ่และพี่รองคนละเล่ม

ไม่นานนักสองพี่น้องลู่ก็เดินกลับมาพร้อมกับม้าสี่ตัวและห่อผ้าอีกห้าห่อ ด้านในคือเงิน อาหารแห้ง และน้ำดื่มอย่างที่คาดไว้ไม่ผิด และยังมีเนื้อแห้งอีกด้วย

ชายชราลองดม “กลิ่นเนื้อหมูนี่”

ดวงตาของทุกคนเป็นประกายทันที

พวกเรารวยแล้ว!

คนสกุลลู่ปลาบปลื้มอย่างมาก แต่ดีใจได้ไม่นานก็ตระหนักได้ว่าไม่ควรอยู่ตรงนี้นานนัก จึงรีบอุ้มเด็ก ๆ ขี่หลังม้า ส่วนผู้ใหญ่เป็นฝ่ายเดินจูงม้า ทั้งครอบครัวเร่งเดินทางต่อ

.


ไม่นานนักก็พบสถานที่หลบลมแห่งหนึ่ง ครอบครัวตระกูลลู่จึงตัดสินใจค้างคืนที่นี่

ทุกคนกินอาหารแห้งและดื่มน้ำที่เพิ่งได้มาจากกองโจร เด็กน้อยทั้งหลายเองก็ได้กินเนื้อแห้ง ยามขบเคี้ยวใบหน้าไร้เดียงสาก็ยิ้มตาหยิบหยีอย่างมีความสุข

บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบ

ทว่าจู่ ๆ เหอจิ่วเหนียงกลับทำท่าทาง ‘ชู่’ ให้ทุกคนเงียบ

“มีคนกำลังมองพวกเราอยู่”

.

.

.


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว