ชายาลูกอนุ-ตอนที่ 41 ฆ่านางทิ้งเสีย

โดย  Camellianovel

ชายาลูกอนุ

ตอนที่ 41 ฆ่านางทิ้งเสีย

“ลูกแม่ เจ้าใจร้ายทิ้งแม่ของเจ้าไปได้อย่างไร... ฮือๆๆ ... เจ้าจะให้แม่มีชีวิตอยู่ต่อไปเพียงคนเดียวอย่างไร....”

“คุณหนูเจ้าคะ เพราะบ่าวไม่ดีเอง ถ้าบ่าวห้ามคุณหนูไว้ก็คงไม่เป็นเช่นนี้...”

เสี่ยงคร่ำครวญดังต่อเนื่องไม่หยุด ทำให้เสิ่นหลิงเวยที่ปวดหัวแทบระเบิดร้องครางออกมาทีหนึ่ง เธอลืมตาขึ้นช้าๆ เสิ่นหลิงเวยมองความมืดมิดตรงหน้าแล้วนิ่งอึ้งไป ในสมองมีแต่ความว่างเปล่า

ที่นี่ที่ไหน นี่เธออยู่ที่ไหน

ในหัวปรากฏภาพสุดท้ายก่อนเธอจะหมดสติ นั่นคือตอนที่เธอกำลังขับรถกับภาพที่รถของเธอกำลังจะชนเข้ากับรถบรรทุกขนาดใหญ่คันนั้น หลังจากนั้นเธอก็หมดสติไป จำอะไรไม่ได้อีกเลย

เธอยังมีชีวิตอยู่รึเปล่า ที่นี่คือโรงพยาบาลเหรอ

เสิ่นหลิงเวยขมวดคิ้วมุ่น คาดเดาสถานที่ที่ตนเองอยู่มั่วไปหมด แต่ยิ่งเธอขยับตัวและฟังจากเสียงทั้งหมดที่ได้ยินนั่นแล้ว เสิ่นหลิงเวยก็จำต้องปัดความคิดทั้งหมดของตนก่อนหน้านี้ไป เพราะในพื้นที่คับแคบแห่งนี้ดูไม่เหมือนสถานที่ที่คนปกติอยู่สักเท่าไร... รวมกับเสียงคร่ำครวญแทบขาดใจของผู้หญิงสองคนข้างนอกนั่น ยิ่งทำให้ในใจเสิ่นหลิงเวยเกิดสังหรณ์ใจไม่ดีบางอย่าง

เสิ่นหลิงเวยยื่นมือไปลูบแผ่นไม้เหนือศีรษะ เธอพายามขยับร่างกายตัวเอง แต่พื้นที่อันคับแคบและดำมืดนี้ ทำให้เสิ่นหลิงเวยอึดอัดเหลือเกิน เธอออกแรงดันแผ่นไม้หนาหนักเหนือศีรษะ พอเริ่มมองเห็นแสงที่ลอดเข้ามาจากช่องเล็กๆ ในที่สุดเธอก็รู้สึกโล่งอก พร้อมกับนึกก่นด่าอยู่ในใจว่าคนบ้าที่ไหนจับตนมาใส่ไว้ในโลงศพแบบนี้!

เสิ่นหลิงเวยขยับตัวอยู่ในโลงศพ ทำให้โลงศพเกิดเสียงดังกุกกักขึ้นเบาๆ แต่เสียงเบาๆ นี้ เมื่อดังขึ้นในยามค่ำคืนอันเงียบสงัดแล้ว กลับยิ่งดึงดูดความสนใจของคนได้เป็นพิเศษ

เมิ่งอวี่ชิงนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น เสียงร้องไห้ของนางค่อยๆ เบาลง เงี่ยหูฟังเสียงที่ดังมาจากโลงศพด้วยสีหน้านิ่งอึ้ง สายตาของเมิ่งอวี่ชิงมองไปยังโลงศพที่ตั้งอยู่ไม่ไกล แล้วเรียกสาวใช้ข้างกายเบาๆ พลางกระซิบถามว่า “ซิ่วเอ๋อร์ เจ้าได้ยินเสียงอะไรหรือไม่”

คำถามของเมิ่งอวี่ชิงทำให้คนใจเสาะอย่างซิ่วเอ๋อร์เย็นสันหลังวาบในทันที ซิ่วเอ๋อร์ตั้งสติ พยายามฝืนยิ้มแล้วส่ายหน้า กระซิบตอบกลับว่า “ไม่นี่เจ้าคะ” นางยังคิดอยากเอ่ยปลอบขวัญฮูหยินของตนอีกสองสามประโยค ให้ฮูหยินของนางไม่ต้องคิดมากไปเอง คนตายไม่อาจฟื้นคืน คุณหนูเป็นคนดีเพียงนั้น ชาติหน้าผลบุญจะต้องส่งให้นางได้ดีแน่นอน แต่ทันใดนั้นเสียงดังสนั่นที่ดังมาจากโลงศพกลับทำให้ซิ่วเอ๋อร์นิ่งงันไปอีกคนทันที

เสิ่นหลิงเวยกัดฟันแน่น ออกแรงยกไม้แผ่นนั้นขึ้นแล้วผลักไปด้านข้าง เสิ่นหลิงเวยลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว เธอกำลังคิดจะหันไประบายความโกรธเกรี้ยวของตน แต่ผู้หญิงสองคนที่นั่งหน้าซีดตัวสั่นงันงกกอดกันแน่นอยู่ไม่ไกลกลับทำให้เสิ่นหลิงเวยขมวดคิ้วมุ่น

“กรี๊ด!!! ผีๆ!!!”

การปรากฏตัวของเสิ่นหลิงเวยทำให้ซิ่วเอ๋อร์ควบคุมสติตนเองไม่อยู่ นางกรีดร้องเสียงแหลม คว้าเสื้อเมิ่งอวี่ชิงที่อยู่ข้างกายไว้แน่น ซิ่วเอ๋อร์ไม่คิดอะไรทั้งสิ้น ยกเท้าได้ก็วิ่งแจ้นออกไปข้างนอกทันที แต่พอวิ่งไปถึงหน้าประตูก็พลันหยุดวิ่ง ทำให้เมิ่งอวี่ชิงที่ตามมาทางด้านหลังตั้งตัวไม่ทันจึงชนเข้ากับแผ่นหลังของซิ่วเอ๋อร์

ซิ่วเอ๋อร์หันมาพร้อมใบหน้าขาวซีด นัยน์ตาเวิ้งว้างสบประสานกับเมิ่งอวี่ชิง ด้านนอกฟ้ามืดสนิท ทำให้ซิ่วเอ๋อร์ที่ในหัวมีแต่จะวิ่งหนีเอาชีวิตรอดนึกบางอย่างขึ้นได้ทันที ข้างนอกมืดเพียงนั้น ผีไม่กลัวความมืด ถ้าหากออกไปพวกนางไม่เท่ากับยิ่งไม่มีทางรอดหรอกหรือ

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซิ่วเอ๋อร์ยิ่งรู้สึกแน่นหน้าอก เกิดอาการคล้ายจะเป็นลมขึ้นมาเสียอย่างนั้น ส่วนเมิ่งอวี่ชิงที่อยู่ข้างกายก็ไม่ได้ดีไปกว่านางสักเท่าไรนัก

เมิ่งอวี่ชิงคว้าแขนซิ่วเอ๋อร์ไว้แน่นพร้อมหันกลับไปแอบมองหญิงสาวทางด้านหลังด้วยตัวที่สั่นงันงก บนตัวหญิงสาวนางนั้นยังคงเป็นอาภรณ์ที่ตนใส่ให้เองกับมือ ส่วนใบหน้าอันคุ้นเคยของหญิงสาว ยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่ว่าอย่างไรเมิ่งอวี่ชิงก็ไม่มีวันลืม

เสิ่นอวิ๋นโยว บุตรสาวผู้แสนอาภัพของนาง เพราะสิ้นลมอย่างอนาถจึงยังมีเรื่องค้างคาใจ ถึงได้ไม่ยอมไปผุดไปเกิดจนกลับมาเข้าร่างตนเองอีกครั้งอย่างนั้นหรือ

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความหวาดกลัวในใจของเมิ่งอวี่ชิงก็ค่อยๆ มลายหายไป เมิ่งอวี่ชิงคว้าแขนซิ่วเอ๋อร์ไว้แน่นแล้วรีบวิ่งไปยังมุมหนึ่งของห้องที่ค่อนข้างห่างจากเสิ่นอวิ๋นโยว จากนั้นก้มลงหยิบไม้แผ่นหนึ่งบนพื้นขึ้นมาให้ซิ่วเอ๋อร์ ส่วนตนเองจับจ้องไปยังเสิ่นอวิ๋นโยวด้วยความระแวดระวัง คิดอยากเอ่ยปากถามอีกฝ่ายว่านางยังมีสิ่งใดค้างคาใจอยู่หรือไม่ แต่ความหวาดผวาในใจที่ยังไม่มลายหายไปกลับทำให้เมิ่งอวี่ชิงเปล่งเสียงออกไปไม่ได้เสียที

สีหน้าท่าทางประหลาดของเมิ่งอวี่ชิงและซิ่วเอ๋อร์ เสิ่นหลิงเวยล้วนเห็นชัดเจนหมดทุกอย่าง หญิงสาวขมวดคิ้วสำรวจการแต่งกายและเครื่องประดับของทั้งสองไปรอบหนึ่ง แล้วกวาดตามองสำรวจบรรยากาศรอบตัวอีกครั้งหนึ่ง พยุงตัวเองลุกขึ้นแล้วกระโดดลงจากโลงศพด้วยความระมัดระวัง ณ ขณะที่เสิ่นหลิงเวยสองขาแตะพื้นนั้นก็พบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

ด้วยความสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตรของตน ไม่ควรจะสูงระดับนี้นี่...

“นี่ฉัน” เสิ่นหลิงเวยมองไปทางสตรีแปลกหน้าทั้งสองก่อนเอ่ยถามเสียงต่ำว่า “ที่นี่ที่ไหน”

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว