ชายาลูกอนุ-ตอนที่ 29 เหลือทางถอยให้ตนเอง

โดย  Camellianovel

ชายาลูกอนุ

ตอนที่ 29 เหลือทางถอยให้ตนเอง

เตียงไม้แกะสลักหลังใหญ่ ม่านเตียงที่แขวนผ้าปักลายหงส์มังกรครองคู่อยู่เหนือหัวเตียง ผ้าคลุมหน้าเตียงและผ้าปูเตียงลายลูกหลานเต็มบ้าน ทำให้บรรยากาศในห้องดูมีความเป็นมงคลอย่างยิ่ง แท่งเทียนหงส์มังกรที่ใหญ่ประหนึ่งแขนเด็กเล็ก สุรามงคลที่ยังไม่ได้แตะวางตั้งอย่างเหงาหงอยอยู่บนโต๊ะ

ซิ่วเอ๋อร์มองสตรีนางน้อยบนเตียงที่นั่งยิ้มคนเดียวอย่างโง่งม แล้วทำได้แต่ถอนหายใจเงียบๆ

เสิ่นอวิ๋นโยว คุณหนูห้าแห่งจวนเสนาบดี มีเพียงใบหน้าที่งดงามหยาดเยิ้มเป็นที่ต้องตาต้องใจผู้คน แต่น่าเสียดายที่นางมีปัญญาไม่สบประกอบหรือโง่นั่นเอง

เดิมทีวันนี้เป็นวันแต่งงานของคุณหนู แต่ทั้งๆ ที่ตอนนี้ก็เลยฤกษ์ยามมงคลไปนานแล้วกลับยังไม่เห็นคนของจวนรุ่ยอ๋องมารับตัวเสียที

“คุณหนู...” ซิ่วเอ๋อร์กัดริมฝีปากเล็กน้อย นัยน์ตาเริ่มเห็นมีหยดน้ำตาคลอ นางเลือกที่จะพูดความจริงให้คุณหนูของตนฟัง “พวกเราอย่ารออีกเลย ท่านอ๋องคงไม่มาแล้วเจ้าค่ะ”

คำพูดของซิ่วเอ๋อร์ทำให้เสิ่นอวิ๋นโยวผุดลุกขึ้นพรวดทันที หลังจากมองหน้าซิ่วเอ๋อร์ด้วยสีหน้ามึนงงอยู่พักหนึ่ง เสิ่นอวิ๋นโยวก็พุ่งตัวออกจากห้องโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆทันที ระหว่างนั้นยังตะโกนเสียงดังว่า “เป็นไปไม่ได้! อวิ๋นโยวจะไปหาท่านอ๋องให้ท่านมารับตัวอวิ๋นโยวเดี๋ยวนี้!”

“คุณหนูเจ้าคะ!” ซิ่วเอ๋อร์ออกแรงดึงรั้งตัวเสิ่นอวิ๋นโยวเอาไว้ มองคุณหนูของตนอย่างไม่สบายใจพลางส่ายหน้าด้วยความร้อนรน “วันมงคลเช่นนี้เจ้าสาวจะออกไปเองไม่ได้นะเจ้าคะ ซิ่วเอ๋อร์จะออกไปดูลาดเลาให้เอง คุณหนูรอซิ่วเอ๋อร์อยู่ในห้องนะเจ้าคะ”

ริมฝีปากราวผลเชอรี่ของเสิ่นอวิ๋นโยวบุ้ยเบ้ด้วยความไม่พอใจแต่ก็พยักหน้าให้สาวใช้ ก่อนจะหันกลับไปนั่งลงบนเตียงด้วยความเศร้าสร้อย

ซิ่วเอ๋อร์ถอนหายใจอย่างจนปัญญา เดินออกไปทางห้องโถงใหญ่ของจวนเสนาบดีด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย นางยังเดินไปไม่ทันถึงก็ได้ยินเสียงบ่าวในเรือนกระซิบกระซาบกันดังมาเข้าหูว่า “รุ่ยอ๋องถึงกับส่งหนังสือหย่าขาดมาให้แล้ว หน้าตาจวนเสนาบดีของพวกเราป่นปี้กันไปหมดแล้ว!”

“ก็ใช่น่ะสิ!” บ่าวรับใช้อีกคนเบ้ปากพลางเอ่ยตำหนิว่า “เป็นความผิดของคุณหนูปัญญาอ่อนของพวกเรานั่นแหละ! ทั้งๆ ที่เป็นแค่คนโง่คนหนึ่งแท้ๆ แต่กลับคิดจะบินขึ้นเกาะกิ่งไม้หวังให้ตนกลายเป็นหงส์ ยามปกติหลอกบ่าวอย่างพวกเราก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่นี่คนทั้งเมืองหลวงมีผู้ใดที่ไม่รู้บ้างว่านางมีฐานะแทบไม่ต่างกับบ่าวที่คอยยกน้ำรินชาอย่างพวกเราด้วยซ้ำ!”

ทั้งสองยังพูดกันไม่ทันจบก็เห็นซิ่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างหน้าเสียก่อน พวกนางหันมายิ้มเยาะให้ซิ่วเอ๋อร์ หนึ่งในนั้นยังพูดเหน็บแนมอีกว่า “มองอะไร เดี๋ยวได้ทิ่มตาสุนัขของเจ้าให้บอดไปเสีย! รีบกลับไปบอกคุณหนูปัญญาอ่อนของเจ้าโน่นว่าวันนี้ไม่มีคนร่วมหอกับนางแล้ว! น่ารังเกียจเสียจริง!”

พอได้ยินที่สองคนนั้นพูด ซิ่วเอ๋อร์พลันถลึงตาดุใส่ทีหนึ่งแล้วหมุนตัววิ่งกลับไป ซิ่วเอ๋อร์รีบวิ่งกระหืดกระหอบกลับเข้าไปในห้อง ร้องบอกเสิ่นอวิ๋นโยวว่า “คุณหนูไม่ได้การแล้วเจ้าค่ะ! ท่านอ๋องส่งหนังสือหย่าขาดมาแล้ว!”

เสียงซิ่วเอ๋อร์ที่ตะโกนมาจากที่ไกลๆ ทำให้ผ้าเช็ดหน้ามงคลในมือเสิ่นอวิ๋นโยวที่นั่งอยู่บนเตียงร่วงหล่นลงโดยพลัน เสิ่นอวิ๋นโยวนิ่งอึ้งไม่ได้สติไปพักหนึ่ง ในตอนที่ซิ่วเอ๋อร์ยังไม่ทันตั้งสติได้นั้น เสิ่นอวิ๋นโยวก็วิ่งออกจากห้องไปแล้ว

“แย่แล้ว!” หลังจากซิ่วเอ๋อร์กระทืบเท้าและอุทานเสียงเบาเสร็จ ก็รีบวิ่งตามไปทางที่เสิ่นอวิ๋นโยววิ่งหายไปทันที คุณหนูปัญญาไม่สมประกอบ เรื่องนี้นางลืมได้อย่างไรกัน

ครั้งก่อนเป็นเพราะคุณหนูใหญ่ เสิ่นอวิ๋นซิ่วกับคุณชายจิ่นอวี๋มายั่วยุทำให้เสิ่นอวิ๋นโยวถึงกับวิ่งโร่ไปที่จวนรุ่ยอ๋องตัวคนเดียว เอะอะโวยวายบอกจะต้องร่วมหอกับรุ่ยอ๋องให้จงได้ การกระทำที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินของนางนี้กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตไปทั้งเมืองหลวง ชาวบ้านพากันวิพากษ์วิจารณ์เสียยกใหญ่ หากครั้งนี้คุณหนูยังวิ่งไปโวยวายที่จวนรุ่ยอ๋องอีกละก็ จะเป็นเช่นไรหนอ

ซิ่วเอ๋อร์วิ่งตามไปพลางสมองก็คิดวนวุ่นไม่หยุด แต่เมื่อนางมองเห็นเสิ่นอวิ๋นโยวที่อยู่ด้านหน้าพร้อมกับผู้คนที่ยืนล้อมนางไว้อยู่แล้ว ซิ่วเอ๋อร์ก็รีบไปหลบหลังต้นไม้ทันที ในใจยิ่งบังเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีหนักขึ้นเรื่อยๆ

“ตายจริง ข้ายังนึกว่าเป็นหมาแมวตัวไหนวิ่งมาเสียอีก เริงร่าเพียงนี้เชียว! นังโง่ เจ้ายังมีหน้าออกมาอีกหรือ” เสิ่นอวิ๋นซิ่วยิ้มพลางพูดเสียดสีเหน็บแนมเสิ่นอวิ๋นโยวที่อยู่ตรงหน้า ก่อนพูดต่ออย่างโกรธเคืองว่า “หากข้าเป็นเจ้า ตอนนี้คงไปกระโดดน้ำตายแล้ว จะได้ไม่ต้องอยู่ให้ขายขี้หน้าคนเขา!”

“ท่านพี่ขอรับ นางเป็นคนโง่ปัญญาอ่อน จะเข้าใจสิ่งที่ท่านพูดได้อย่างไรขอรับ!” เสิ่นจิ่นอวี๋ที่ยืนอยู่ข้างเสิ่นอวิ๋นซิ่วยื่นมือมาตบหน้าเสิ่นอวิ๋นโยวเบาๆ แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “นังโง่ ตอนนี้เจ้าก็ถอดเสื้อผ้าออกให้หมดแล้วไปยืนอยู่หน้าจวนรุ่ยอ๋องดูสิ ไว้รุ่ยอ๋องออกมาเห็นเจ้าแล้ว เป็นได้เปลี่ยนใจแน่!”

เสิ่นอวิ๋นโยวมองทั้งสองเอ่ยเย้ยหยันตนเงียบๆ นางก้มหน้าออกแรงบิดชายเสื้อตนเองแน่น เอ่ยพึมพำกับตนเองว่า “อวิ๋นโยวไม่ทำหรอก พวกท่านหลอกอวิ๋นโยว วันนี้เป็นวันแต่งงานของอวิ๋นโยวกับท่านอ๋อง ท่านอ๋องต้องมารับอวิ๋นโยวแน่เจ้าค่ะ”

เพี๊ยะ!

ฝ่ามือหนึ่งสะบัดตบเข้าที่ใบหน้าของเสิ่นอวิ๋นโยว เสิ่นอวิ๋นซิ่วสะบัดมือที่เจ็บเล็กน้อยของตน มองข้างแก้มขาวซีดของเสิ่นอวิ๋นโยวที่เริ่มมีรอยนิ้วทั้งห้าปรากฏขึ้นพร้อมกับหยาดเลือดที่มุมปากอย่างนึกดูแคลน นางหัวเราะเยาะทีหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ผู้ใดต่างก็รู้ว่าตอนนี้ท่านอ๋องกำลังกอดกับสตรีที่ชื่อฉู่อวี้อยู่ที่หอนางโลม! มารดาเจ้าเป็นหญิงแพศยา ตอนนี้ศัตรูหัวใจของเจ้าก็เป็นหญิงแพศยา ข้าว่าสู้ให้รุ่ยอ๋องแต่งงานกับมารดาเจ้ายังจะดีเสียกว่ากระมัง”

สีหน้าทึ่มทื่อของเสิ่นอวิ๋นโยวทำให้เสิ่นอวิ๋นซิ่วตบหน้านางอีกฉาดหนึ่งอย่างไม่สาแก่ใจดีนัก หลังจากก่นด่าเหยียดหยามเสิ่นอวิ๋นโยวอยู่พักหนึ่ง เสิ่นอวิ๋นซิ่วคงรู้สึกหมดสนุกแล้ว จึงพาน้องชายเดินอาดๆ จากไปโดยไม่แม้จะหันกลับมามอง

ทั้งสองเดินไปไกลแล้ว แต่เสิ่นอวิ๋นโยวยังคงยืนนิ่งกับที่อยู่คนเดียว ในหัวมีเสียงเสิ่นอวิ๋นซิ่วว่าร้ายมารดาของตนดังวนไปมา ต่อให้ปัญญานางไม่สมประกอบอย่างไร ก็ยังรู้ว่านั่นไม่ใช่คำพูดที่ดี

เสิ่นอวิ๋นโยวหันขวับไปมอง แล้วพุ่งตัวไปทางที่เสิ่นอวิ๋นซิ่วกับเสิ่นจิ่นอวี๋เดินจากไปด้วยสีหน้าถมึงทึง นางวิ่งเร็วรี่ตามหลังทั้งสองไปก่อนเสิ่นอวิ๋นโยวจะเอื้อมมือไปกระชากผมของเสิ่นอวิ๋นซิ่วอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด

ความเจ็บจี๊ดจากการที่ถูกกระชากผมทำให้เสิ่นอวิ๋นซิ่วกรีดร้องออกมาเสียงดังลั่น นางหันกลับไปแล้วก็เริ่มดึงทึ้งตบตีเสิ่นอวิ๋นโยวอย่างไม่ออมมือ ฝากรอยกรงเล็บไว้ทั้งบนใบหน้าและหลังมือของเสิ่นอวิ๋นโยว

หญิงสาวทั้งสองดึงทึ้งตบตีกันกันอย่างบ้าคลั่ง ทำให้เสิ่นจิ่นอวี๋ที่ยืนอยู่ข้างๆ ทนอยู่เฉยไม่ไหวจึงรีบเข้าไปผสมโรงด้วย เสิ่นจิ่นอวี๋เข้าไปบังพี่สาวของตนไว้ จากนั้นคว้าศีรษะเสิ่นอวิ๋นโยวขึ้นแล้วออกแรงกระแทกลงกับพื้นทันที

ความมึนงงที่เกิดขึ้นชั่วขณะทำให้เสิ่นอวิ๋นโยวหยุดสิ่งที่ตนกำลังกระทำอยู่ นางนอนแผ่อยู่กับพื้น เสิ่นอวิ๋นโยวรู้สึกได้ว่าเสิ่นอวิ๋นซิ่วกระทืบเท้าใส่ตนอย่างแรง ทั้งยังถ่มน้ำลายใส่หน้าตนอีกด้วย จากนั้นถึงได้เดินกระฟัดกระเฟียดจากไป

ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมถูกดึงทึ้งจนเละทะดูไม่ได้ไปหมด เสิ่นอวิ๋นโยวค่อยๆ ลุกจากพื้นขึ้นมานั่งขดตัว ซุกศีรษะลงตรงกลางหัวเข่าแล้วร่ำไห้ออกมาอย่างยากทานทน เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของนางทำให้ซิ่วเอ๋อร์ที่หลบอยู่ข้างๆ มาตลอด อดรู้สึกปวดแปลบในใจไม่ได้

ซิ่วเอ๋อร์ค่อยๆ เดินเข้าไปหาเสิ่นอวิ๋นโยวแล้วประคองนางลุกขึ้น เอ่ยปลอบอีกฝ่ายว่า “คุณหนูเด็กดี ไม่ร้องนะเจ้าคะ”

เสิ่นอวิ๋นโยวพลิกมือกลับมาจับข้อมือซิ่วเอ๋อร์โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว นางกัดริมฝีปากแล้วเอ่ยด้วยสายตาที่แน่วแน่ว่า “อวิ๋นโยวจะไปหาท่านอ๋อง จะร่วมหอกับท่านอ๋อง! ท่านแม่บอกว่า ท่านอ๋องพึงใจในตัวอวิ๋นโยว อวิ๋นโยวไม่ได้โง่!”

ซิ่วเอ๋อร์นิ่งอึ้งอยู่กับที่ นางมองเสิ่นอวิ๋นโยวอย่างไร้คำพูด แล้วพูดขึ้นก่อนอย่างลำบากใจว่า “คุณหนู พวกเราไปแล้วก็เท่านั้น ช่างมันเถิดเจ้าค่ะ...”

“เจ้าก็เข้าข้างพวกเขา เจ้าก็หลอกอวิ๋นโยว ถ้าเจ้าไม่พาอวิ๋นโยวไป อวิ๋นโยวไปเองก็ได้! เหอะ!” เมื่อเห็นว่าซิ่วเอ๋อร์ก็ไม่อยากพาตนไป เสิ่นอวิ๋นโยวจึงยกกระโปรงแล้วสาวเท้าก้าวยาวๆ วิ่งออกไปทางประตูจวนเสนาบดีทันที

ซิ่วเอ๋อร์ที่ไม่อยากให้เกิดเรื่องราวใหญ่โต จำต้องพาเสิ่นอวิ๋นโยวไปที่หน้าหอนางโลมด้วยความจนใจ สาวใช้ซิ่วเอ๋อร์แหงนหน้ามอง “หอจุ้ยเซิง” ที่มีชื่อเสียงโด่งดังด้วยความเกรงกลัว แล้วหลบอยู่หลังเสิ่นอวิ๋นโยวด้วยร่างอันสั่นเทา มองเหล่าหญิงงามด้านในที่แต่งเนื้อแต่งตัวล่อแหลมพาให้คนตาพร่ามัวจากที่ไกลๆ ด้วยความระแวดระวัง

“คุณหนู พวกเราจะเข้าไปกันจริงๆ หรือเจ้าคะ” ซิ่วเอ๋อร์กระตุกแขนเสื้อเสิ่นอวิ๋นโยวพลางเอ่ยถามเสียงเบาด้วยความลังเล

เสิ่นอวิ๋นโยวไม่ตอบคำถามของซิ่วเอ๋อร์ แต่เดินดุ่มๆ ไปทางประตูของหอนางโลมแห่งนั้นทันที เสิ่นอวิ๋นโยววิ่งสะเปะสะปะไปทั่วหอนางโลมที่นางเพิ่งมาเมื่อวานนี้ราวกับแมลงวันไม่มีหัว นางไม่รู้เลยว่าตนเองได้กลายเป็นตัวตลกขบขันในสายตาของผู้อื่นไปแล้ว

“ตายจริง นี่ไม่ใช่คุณหนูหน้าโง่หรอกหรือ มาถึงที่หอนางโลมนี้เชียว ฮ่าๆ ยังสวมชุดแต่งงานอยู่เสียด้วย วิ่งเร็ว เร็วเข้า ต้องเป็นเพราะคราก่อนบังคับท่านอ๋องไม่สำเร็จ จึงจะมาจับตัวเจ้าบ่าวด้วยความหิวกระหายเป็นแน่!”

“จึ๊ๆ เป็นข้าก็ไม่เอาหรอกนะ เหมือนนางจะเป็นบ้านะ ต่อให้งามเพียงใดข้าก็ไม่เอาด้วยหรอก!”

“ล้อเล่นน่า นั่นอย่างไรก็เป็นถึงเนื้อหงส์ฟ้าเชียวนะ หากเป็นข้าละก็ข้าจะแต่งเลย โง่สิดี จะได้ไม่คบชู้ จะทำอะไรก็ได้ตามใจ! มานี่มานังเด็กโง่ มาร้องให้ข้าชื่นใจหน่อย!”

การปรากฏตัวของเสิ่นอวิ๋นโยวทำให้สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่นาง วาจาเหน็บแนมที่ฟังไม่รื่นหูดังเข้าหูเสิ่นอวิ๋นโยวไม่ขาดสาย นางที่ผมเผ้าอาภรณ์รุ่ยร่ายไม่เรียบร้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างน่าสมเพช มองไปรอบตัวด้วยความสับสนและทำตัวไม่ถูก

แต่แล้วจู่ๆ หอนางโลมที่แสนอึกทึกครึกโครมก็พลันเงียบเสียงลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ เสิ่นอวิ๋นโยวมองตามสายตาทุกคู่ไป กลับเห็นว่ารุ่ยอ๋องกำลังยืนกอดหญิงสาวนางหนึ่งอยู่และกำลังมองลงมาที่ตนจากบนชั้นสองด้วยสายตาอันเย็นเยียบ

เสิ่นอวิ๋นโยวแย้มยิ้มอย่างใสซื่อแล้วรีบวิ่งไปทางรุ่ยอ๋อง นางวิ่งพลางตะโกนพลางว่า “ท่านอ๋อง วันนี้เป็นวันแต่งงานของท่านกับอวิ๋นโยวนะเจ้าคะ!”

ฉู่อวี้ที่อิงแอบอยู่ในอ้อมอกของรุ่ยอ๋องมองเสิ่นอวิ๋นโยวอย่างเย็นชา รอจนเสิ่นอวิ๋นโยววิ่งขึ้นมาถึงชั้นสองและเดินมาถึงตรงหน้าตนกับรุ่ยอ๋องแล้ว ฉู่อวี้ถึงได้ขยับตัวออกไปขวางหน้าเสิ่นอวิ๋นโยวไว้

“คุณหนูเสิ่น ข้าว่าเชิญท่านกลับไปจะดีกว่า” ฉู่อวี้มีรอยยิ้มอ่อนหวานประดับบนใบหน้าขณะที่เอื้อนเอ่ยเสียงเบา “ท่านอ๋องหาได้มีใจที่คิดจะแต่งงานกับท่านไม่ เหตุใดท่านจึงต้องบีบบังคับเขาเช่นนี้ด้วยเล่า”

“หลีกไป!” เสิ่นอวิ๋นโยวพุ่งเข้าใส่ฉู่อวี้ด้วยท่าทางดุดัน หมายจะเข้าไปหารุ่ยอ๋องให้จงได้ พยายามผลักฉู่อวี้ที่ขวางหน้าตนให้พ้นทางสุดชีวิต พลางตะโกนเสียงดังว่า “ท่านอ๋อง ท่านอ๋องเพคะ! หากว่าอวิ๋นโยวเปลื้องผ้าต่อหน้าท่านแล้ว ท่านจะแต่งงานกับอวิ๋นโยวใช่หรือไม่เพคะ”

คำพูดของเสิ่นอวิ๋นโยวทำให้ทุกคนในหอนางโลมพากันหัวเราะครืน เพราะเสียงหัวเราะของทุกคนทำให้เสิ่นอวิ๋นโยวนิ่งงันโดยไม่รู้ตัว นางอับอายเสียจนหน้าแดงไปหมด นัยน์ตาเสิ่นอวิ๋นโยวมีประกายน้ำตา กำลังคิดจะหันไปตะโกนใส่ทุกคนว่า “พวกท่านหัวเราะอะไรกัน!” แต่แล้วจู่ๆ เสิ่นอู๋โยวก็ถูกฉู่อวี้ออกแรงผลัก เท้านางเหยียบได้แต่ความว่างเปล่า ก่อนที่ร่างบอบบางจะหงายหลังไปอย่างเสียการควบคุม...

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว