ซาตาน ทาสรัก-ตอนที่ 65 (ตอนจบ)

โดย  Mikey

ซาตาน ทาสรัก

ตอนที่ 65 (ตอนจบ)

ซุน นั่งกอดซากแขนขวาของ เหยาหมิง เอาไว้ เบื้องหน้าสถานศึกษาที่มอดไหม้ไปเรื่อย ๆ โดยที่ กังเฉิง พยายามเรียกสติ แม้จะเขย่าร่างของ ซุน จนโยกคลอน แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีความหมาย เด็กหนุ่ม แข็งค้างอยู่เช่นนั้นพร้อมกับหยดน้ำตาที่อาบนอง...

ภาพควาทรงจำของ เหล่าซือ ตลอดสองปีที่ดูแล ซุน มาโดยตลอด มันผุดขึ้นมาเด่นชัดมาก... แม้ว่า ซุน จะเคยสัมผัสประสบการณ์แห่งความพลัดพรากมาแล้ว แต่ในครั้งแรกกับอาจารย์จากโลกเดิมนั้น ซุน คือเป็นผู้ที่ก้าวเดินผิดพลาดด้วยตนเอง และอาจารย์ผันก็ไม่ได้ตกตายไปเพียงแค่ไม่มีโอกาสได้ร่ำลากัน ครั้งนั้นถือเป็นความรู้สึกติดค้างที่อยู่ภายในใจเสียมากกว่า...

ทว่าครั้งนี้ ร่องรอยทุกอย่างมันชัดเจนยิ่งว่ามิใช่อุบัติเหตุ... เป็นการถูกเล่นงานโดยศัตรูที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า เหยาหมิง และมีจำนวนที่มากกว่าอีกด้วย ฉะนั้นแล้วสิ่งที่อยู่ภายในใจของ ซุน จึงมิใช่เรื่องที่ติดค้างเฉกเช่นคราวก่อน...

มันคือความเคียดแค้น ชิงชัง ที่ก่อตัว!!

เด็กหนุ่ม กัดขบฟันแนบแน่นเสียจนโลหิตอาบไหลผ่านร่องฟัน... ดวงตาแข็งกร้าวแดงก่ำจากเส้นโลหิตที่แตกเป็นฝอย... ทุก ๆ การเต้นของหัวใจ มันคือโทสะที่ทบทวี สติและสมาธิที่เคยเป็นข้อดีที่สุดของ ซุน บัดนี้มันได้ขาดผึ่งเป็นที่เรียบร้อย...

“ใครสังหาร เหล่าซือ... ใครสังหารอาจารย์ข้า!!
พวกมันต้องตาย... ข้าจะต้องล้างแค้น!!”

นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมา ที่ กังเฉิง สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันรุนแรง ที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างสหายรักของตน... แม้แต่ตัวของ กังเฉิง ยังไม่กล้าแตะสัมผัส กับร่างของ ซุน มันร้อนยิ่งกว่าเปลวเพลิงเบื้องหน้าที่กำลังลุกโชน...

หากแต่มีผู้หนึ่ง ที่ยังคงแสดงสีหน้าเย็นชาเฉยเมย... กวาดมองไปรอบ ๆ และวิเคราะห์เหตุการณ์เป็นภาพนิมิตที่สร้างขึ้นภายในใจได้อย่างแยบยล... ซึ่งคนผู้นั้นก็คือ เฒ่าชีเปลือย...

ร่างจิตวิญญาณของชีเปลือยลอยล่องไปรอบ ๆ ทำได้แม้แต่การเข้าไปมองดูสภาพศพที่ไหม้เกรียมด้านใน เนื่องด้วยเปลวเพลิงที่ลุกท่วมเวลานี้ หาได้ก่อผลกระทบใด ๆ ต่อร่างจิตวิญญาณอันทรงพลัง...

มีหลายจุดที่ เฒ่าชีเปลือย รู้สึกขัดสายตา โดยเฉพาะศพที่มอดไหม้ภายใน...

เฒ่าชีเปลือย จึงยื่นมือไปยังร่างมอดดำ ก่อนจะกระชากเอาดวงวิญญาณออกมาอย่างอุกอาจ!! แน่นอนว่าภาพที่เกิดขึ้นนั้น มีเพียง ซุน ที่มีสัมผัสวิญญาณอันแรงกล้าเท่านั้นที่พบเห็น ซึ่งเมื่อเห็นดวงวิญญาณที่ เฒ่าชีเปลือย ดึงออกมา ซุน ก็พลันโล่งไปใจทันที

เพราะนั่นมิใช่ดวงวิญญาณของ เหล่าซือ...

เฒ่าชีเปลือย ลากเอาจิตวิญญาณดวงนั้นออกมา... แต่น่าเสียดายที่จิตวิญญาณดวงนี้อ่อนแอเกินไป มิต่างอะไรกับจิตวิญญาณสัมภเวสีเร่ร่อน หลังจากตายไปแล้ว พวกมันไม่มีพลังวิญญาณมากต่อที่จะตอบสนองต่อเสียงเรียก หรือถ้อยวาจา ไม่นานก็แตกสลายกลายเป็นอณูวิญญาณเมื่อถูกพลังของ เฒ่าชีเปลือย ขู่เข็ญ...

“ชิ!! ยังไม่ทันได้ถามสิ่งใดก็แตกดับไปเสียแล้ว ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง... ผู้คนในสุริยะแห่งนี้มุ่งเน้นการฝึกฝนลมปราณเป็นหลัก ฝีมือเรียกได้ว่าน่าสนใจ... หากแต่ด้านตบะหรือพลังวิญญาณ กลับอ่อนด้อยยิ่งกว่าดินแดนที่พวกเราจากมา!! หากไม่ใช่ระดับเหล่ายอดฝีมือชั้นสูง คงไม่อาจสืบค้นคำตอบใด ๆ กับดวงวิญญาณเหล่านั้นได้...” เฒ่าชีเปลือย กล่าวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์

“แค่ข้าได้รู้ว่า ศพ นั่น มิใช่ เหล่าซือ ก็นับว่าเพียงพอแล้ว... ขอบคุณเจ้ามาก...” ไม่บ่อยครั้งนัก ที่ ซุน จะเอ่ยปากขอบคุณ เฒ่าชีเปลือย เช่นนี้...

“หึหึ... เจ้าเด็กน้อย อย่างไรข้าก็ถือหางฝ่ายเจ้าเต็มที่... ตามที่ข้าวิเคราะห์ดูแล้ว แม้จะถูกตัดแขนจนบาดเจ็บสาหัส แต่เหล่าซือของเจ้าน่าจะยังไม่ตาย... เพราะผู้ที่มาเล่นงาน ดูต้องการจะจับเป็นเสียมากกว่า ทั้งยังอุตส่าห์ลำบากสร้างศพปลอมขึ้นมาเช่นนี้ แปลว่าพวกมันยังมีเป้าหมายอื่นอยู่อีก...” สายตาของ เฒ่าชีเปลือย จดจ้องมายัง ซุน โดยมีนัยยะแอบแฝง

ทำให้เด็กหนุ่ม เบิกตากว้างขึ้นทันที...
“หมายถึงข้างั้นหรือ?!”

เฒ่าชีเปลือย พยักหน้าเบา ๆ
“เจ้าระวังตัวไว้บ้างก็ดี...”

ซุน ได้ยินเช่นนั้น ก็แน่ชัดแล้วว่ามิใช่คำพูดที่ เฒ่าชีเปลือย จะเอ่ยออกมาเล่น ๆ เมื่อรู้ว่า เหล่าซือ ยังไม่ตาย ซุน ก็กลับมามีสติแจ่มใสวิเคราะห์เรื่องราวได้อีกครั้ง... สิ่งแรกที่ ซุน ได้ทำคือการปลดแหวนหยกดำ ออกจากนิ้วชี้ของ เหล่าซือ...

รวมถึงหยิบเอา เนตรมรกต ลูกแก้วดวงจิต และของมีค่าต่าง ๆ แอบส่งยื่นให้กับ กังเฉิง โดยมิให้ผู้ใดพบเห็น... แน่นอนว่าตัวของ กังเฉิง ย่อมเต็มไปด้วยความงุนงง...
“นี่หมายความว่ายังไงหรือ?!”

“เจ้าช่วยเก็บของเหล่านี้เอาไว้แทนข้าที... ตัวข้าอาจไม่ปลอดภัย...” ซุน กระซิบแผ่วเบา

กังเฉิง แม้ไม่แน่ชัดนักกับคำตอบของ ซุน แต่ก็ค่อย ๆ เก็บสิ่งของเหล่านั้นเข้าไปในเสื้อ โชคดีที่วัตถุเหล่านี้มิใช่ล้วนเป็นเพียงสิ่งของเล็ก ๆ ที่ง่ายต่อการแอบซ่อน... และขณะที่ ซุน กำลังจะหยิบเอา ป้ายทองแดงของตระกูลฉี ฝากไว้กับ กังเฉิง...

กลุ่มมือปราบของทางการหลายสิบคน ก็เริ่มเข้ามาสำรวจในพื้นที่บริเวณนี้ คาดว่าคงเป็นเพราะเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ จนมีคนแจ้งไปยัง จวนผู้ว่า ฝ่ายข้าราชการแผ่นดินที่ตำแหน่งใหญ่โตที่สุด ของชุมชนหมู่บ้านตะวันอัสดงแห่งนี้...

ทำให้ ซุน ที่ยังไม่ทันได้ส่งมอบป้ายทองแดง...
รีบเก็บกลับเข้าไปในแขนเสื้อคลุมของตนอีกครั้ง...

กลุ่มมือปราบ แน่นอนว่าเป็นที่เกรงกลัวของเหล่าชาวบ้าน รวมถึงเหล่า คนเถื่อน ที่แทบจะวิ่งหนีทันทีเมื่อพบเห็นกลุ่มมือปราบของทางการ... ต่อให้ไร้ความผิดใด ๆ แต่การถูก กลุ่มมือปรามเพ่งเล็ง จะถือเป็นความโชคร้ายของคนผู้นั้นไปในทันที...

และสิ่งที่ ซุน คาดเดาไว้ก็ไม่ผิดเพี้ยน... แทนที่กลุ่มมือปราบเหล่านี้จะสำรวจที่เกิดเหตุหรือช่วยในการดับเพลิงที่ลุกโชน แต่กลับกลายเป็นว่า กลุ่มมือปราบ เข้ามาโอบล้อมตัวของ ซุน เอาไว้ แววตาของมือปราบแต่ละคนล้วนไม่เป็นมิตร...

“เจ้าคือ ซุน งั้นสินะ...” หนึ่งในมือปราบ เอ่ยถามขึ้น...

“ใช่... ซุน คือนามของข้า...” เด็กหนุ่ม กล่าวตอบตามตรง

มือปราบ ผู้นั้น จู่ ๆ มุมปากก็ยกสูง แสดงแววตาน่ากลัวขึ้น...
“จับกุมมันผู้นี้!! โทษฐานวางเพลิง และมีส่วนเกี่ยวกับการตายของ เหล่าซือ!!”

“!!!!!!!!!!!!” ซุน และ กังเฉิง เบิกตากว้างขึ้นทันที...

แน่นอนว่าเมื่อถูกมือปราบประกาศความผิดออกมาแล้ว ในศักดิ์ฐานะของคนเถื่อนหาก ซุน กล้าเอ่ยปากโต้เถียงในเวลานี้ จะถูกโบยทันทีโดยไม่ต้องไตร่ตรอง... โอกาสที่ ซุน จะเอ่ยแก้ต่าง มีเพียงชั้นศาลตัดสินความผิดที่ จวนผู้ว่า เท่านั้น...

กังเฉิง จึงเป็นฝ่ายออกตัวเสียเอง...
“ช้าก่อน!! พวกเจ้ามีหลักฐานอะไรมากล่าวหาสหายข้า!!”

มือปราบ หันมอง กังเฉิง ตั้งท่าจะหยิบไม้กระบองขึ้นมาสั่งสอนเด็กหนุ่ม... แต่พอเหลือบไปเห็นเข้ากับ ป้ายหยกตระกูลกัง ที่แขวนข้างเอว ก็นิ่งข้างไปชั่วครู่หนึ่ง...
“อ่อ... ที่แท้เจ้าก็คือนายน้อยตระกูลกังที่ชาวบ้านร่ำลือกันนี่เอง... ข้าจะเห็นแก่ชื่อเสียงของบิดาเจ้า หัวหน้ามือปราบอันดับ 1 แห่งมณฑลเฮย ดังนั้นเจ้าไม่ควรเข้ามายุ่มย่ามในเรื่องนี้...”

แม้จะได้รับคำเตือน แต่ไหนเลยที่ กังเฉิง จะนิ่งเฉยได้...
“แต่พวกเจ้ากำลังกล่าวหาสหายข้า!! ซุน เป็นลูกศิษย์ที่อยู่กับ เหล่าซือ มาตลอดสองปี และมีสถานศึกษาเป็นเสมือนกับบ้านของตน ไม่มีทางที่ ซุน จะทำลายร้าย เหล่าซือ และวางเพลิงสถานศึกษา!! มีเหตุผลอะไรพวกเจ้าถึงกล้าใส่ความ ซุน ด้วยข้อหาเหล่านั้น!!”

มือปราบ คนดังกล่าวกดหัวคิ้วต่ำลงทันที...
“มีคนรายงานเข้ามาว่าเห็นเหตุการณ์ในยามที่ ซุน เป็นผู้ลงมือ... เจ้านี่มันเป็นคนเถื่อน อาจคิดที่จะฮุบเอาทรัพย์สินของ เหล่าซือ ที่ชาวบ้านเคยมอบเป็นสินน้ำใจก็เป็นได้? ดังนั้นข้าจึงต้องตั้งข้อหาและจับกุมมันเอาไว้ก่อน ป้องกันการหลบหนี

ท่านผู้ว่าจิน จะเป็นผู้ตัดสินคดีขั้นเด็ดขาดอีกครั้งหนึ่ง... หากเจ้าต้องการเป็นพยาน ก็ไปแก้ต่างให้กับมันในวันตัดสินคดีโน่น ตัวข้าเพียงแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น...”

กังเฉิง ได้ยินเช่นนั้นก็ใบหน้าด้านชาในทันที พยายามจะโต้แย้งขึ้น แต่สุดท้าย ซุน ก็ได้ห้ามปรามเอาไว้ เนื่องด้วยรู้ดีว่าเปล่าประโยชน์... เมื่อ กังเฉิง มองเห็นสายตาของ ซุน ก็ทราบได้ทันทีว่าเพราะอะไร ซุน ถึงได้มอบสิ่งของต่าง ๆ ให้กับตนเมื่อครู่นี้ ราวกับว่า ซุน มองออกแล้วว่าตนกำลังจะถูกยัดเยียดความผิด ด้วยเหตุผลบางอย่าง...

สุดท้าย ซุน ก็ถูกจับกุมตัวไปโดยเหล่ามือปราบ...

กังเฉิง แผดเสียงก้องดังออกมาด้วยความเจ็บใจ ที่ตนไม่อาจทำสิ่งใดเพื่อปกป้องสหายได้... แม้ตนจะได้ชื่อว่าเป็นนายน้อยตระกูลกัง แต่ก็ไร้ความหมายเมื่อไม่มีตำแหน่งและอำนาจ สิ่งนี้เริ่มเป็นความรู้สึกแสวงหา ที่ก่อตัวภายในใจของเด็กหนุ่มอย่างช้า ๆ

อีกด้านมุมหนึ่ง...

ลู่เหรินฮ่าว เฝ้าจับตามอง กลุ่มมือปราบ ที่ลากตัว ซุน กลับไปยังจวนผู้ว่า... โดยที่รอบข้างมีกลุ่มชายชุดดำ คุกเข่าเฝ้ารอคำสั่งต่อไป...

“เกาถิง... ทำยังไงก็ได้ให้ผู้ว่าของเขตชุมชนนี้ มีคำสั่งคุมขังเจ้าเด็กผู้นั้นเอาไว้ ห้ามให้มันตกตายหรือหลุดออกมาภายนอกเด็ดขาด... ตามข้อมูลที่สืบค้นมา เจ้าเด็กผู้นี้ถูก เหยาหมิง เลี้ยงดูมาตลอดสองปี พวกมันทั้งคู่คงมีความสัมพันธ์กันไม่น้อย พวกเราอาจจำเป็นต้องใช้ชีวิตของเจ้าเด็กคนนั้น เมื่อต่อรองข่มขู่ เหยาหมิง...” ลู่เหรินฮ่าว เค้นเสียงกล่าวขึ้น

เกาถิง ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มชายชุดดำ ขมวดคิ้วเล็กน้อยกับคำสั่งนี้...
“ท่านลู่... ใยพวกเราต้องลำบากฝากฝัง ผู้ว่าเขตชุมชนนี้ ให้กักขังมันด้วย?! สู้พวกเราลักพาตัวเจ้าเด็กคนนั้น กลับไปพร้อมกับ เหยาหมิง เลยไม่ดีกว่าหรือ?!”

ลู่เหรินฮ่าว ได้ยินเช่นนั้น ก็ถลึงตามองกลับมาทันที...
“หากเราออกคำสั่งสิ่งใดไป... อย่าได้เอ่ยแย้งให้มากความ!! มิเช่นนั้นเจ้าอาจไม่เหลือชีวิตไปทำตามคำสั่งของเราอีกต่อไป!!”

เกาถิง สั่นสะท้านไปถึงจิตใจ รีบโขกศีรษะลงกับพื้น...
“ผู้น้อยขออภัย ที่กล้าเคลือบแคลงในคำสั่ง!!”

ลู่เหรินฮ่าว พ่นลมหายใจแรงออกมา...
“ช่างเถอะ เราไม่อยากถือสาเจ้า อย่างน้อยเจ้าก็มีความดีความชอบที่สามารถค้นหาตัวของ เหยาหมิง ได้พบ... ส่วนเหตุผลที่เราต้องให้ ผู้ว่าเขตนี้เป็นคนจัดการ ก็เพราะพวกเราจะได้ไม่ถูกสงสัยมากยิ่งไปกว่านี้...

เหยาหมิง แม้จะถอนตัวออกจากยุทธภพมานาน 30 ปี แต่สหายของ เหยาหมิง แต่คนล้วนมิใช่สามัญ เป็นผู้มีหน้ามีตา หรือไม่ก็เป็นผู้มีอิทธิพลต่อยุทธภพทั้งสิ้น... หนึ่งในสหายของ เหยาหมิง อย่างตาแก่ เตียมู่หยง เคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง เจ้านั่นแม้ฝีมือมิได้กล้าแกร่งอะไรนัก แต่มันก็มีอิทธิพลมากในทวีปพยัคฆ์ขาวแห่งนี้

หากเจ้านั่นย้อนกลับมา และทราบข่าวว่า เหยาหมิง ถูกเล่นงาน... เตียมู่หยง อาจกระจายข่าวให้กับเหล่าสหายคนอื่น ๆ ของ เหยาหมิง ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น ยุทธภพนี้อาจจับจ้องมาที่ขุมกำลังของพวกเราก็เป็นได้...

สู้ปล่อยให้ทุกคนเข้าใจผิด คิดว่าเป็นฝีมือศิษย์ของ เหยาหมิง เช่นนี้นั่นแหละดีแล้ว... แม้มันจะไม่สมเหตุสมผลนัก กับการหายตัวไปของยอดฝีมืออย่าง เหยาหมิง แต่มันก็จะทำให้ผู้คนเพ่งเล็งไปที่เจ้าเด็กนั่น ก่อนจะเพ่งเล็งมาที่ขุมกำลังของพวกเรา...”

สิ้นคำอธิบายของ ลู่เหรินฮ่าว ตัวของ เกาถิง ก็รู้แจ้งในเหตุผลทันที...

ลู่เหรินฮ่าว นอกจากจะแข็งแกร่ง ยังมีความเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง... มิเช่นนั้นคงไม่ได้รับมอบหมายให้ไต่เต้าขึ้นมายังตำแหน่งที่สูงล้ำ อย่างตำแหน่ง เทพปรมาจารย์ เช่นนี้... การเป็นคนดีในฉากหน้าของยุทธภพ และชั่วช้าในฉากหลังที่มืดดำ ถือเป็นงานที่ ลู่เหรินฮ่าว ถนัดที่สุดก็ว่าได้...


...............................................

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว