ณ โรงเตี้ยมชั้นหนึ่ง เขตชุมชนหมู่บ้านตะวันอัสดง...
“ยังไม่เจอเบาะแสอะไรอีกงั้นหรือ!! นี่ก็ผ่านไปกว่าสองเดือนแล้ว!!” เกาถิง หัวหน้าหน่วยย่อยแห่งกลุ่มมังกรทอง กำลังแผดเสียงขึ้นดุด่าเหล่าลูกสมุน
แท้จริงแล้วกลุ่มของ เกาถิง รู้ว่าผู้ที่ลงมือสังหารหมู่จวนผู้ว่าจินหง และวางเพลิงทำลายหลักฐานทั้งหมด ก็คือ ซุน... เนื่องด้วย เกาถิง ไม่ได้ประมาทถึงขั้นฝากความหวังทั้งหมดไว้กับ ผู้ว่าไร้ความสามารถเช่นนั้น
เกาถิง ใช้ให้เหล่าลูกสมุน คอยเฝ้าระวังที่ด้านนอกจวนผู้ว่าทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อป้องกันเหตุผิดพลาด… และในวันที่เกิดเหตุบรรดาลูกสมุนของ เกาถิง ก็เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างชัดเจน ในตอนที่ ซุน ซึ่งถูกเฒ่าชีเปลือยควบคุมในเวลานั้น ได้ก้าวเดินออกมาจากจวนผู้ว่าในสภาพที่อาบท่วมโลหิต ทั้งยังใช้ทักษะประหลาด สร้างเปลวเพลิงมวลมหาศาลเผาจวนผู้ว่าจินหง!! ทุกสิ่งล้วนถูกจับจ้องโดยกลุ่มชายชุดดำเหล่านี้
แต่พอทุกคนเริ่มกลับมาได้สติ เตรียมที่จะพุ่งออกจากที่ซ่อน เพื่อจับกุมเด็กหนุ่มเอาไว้นั้น... จู่ ๆ เฒ่าชีเปลือย ก็ใช้ห้วงมิติร่นระยะ เคลื่อนย้ายร่างของ ซุน ให้หายตัวไปจากที่เกิดเหตุอย่างไร้ร่องรอย(ตอนที่ 21) สร้างความตกตะลึงให้กับกลุ่มชายชุดดำอย่างมาก รีบกระจายกำลังค้นหาแต่ก็ไร้ซึ่งวี่แวว
นับตั้งแต่วันนั้น เกาถิง ก็ได้สั่งคนเฝ้าระวัง เส้นทางเข้าออกทั้งหมดในชุมชนหมู่บ้านตะวันอัสดงที่จะเชื่อมต่อไปยังเขตพื้นที่อื่น รวมถึงเข้าไปบีบบังคับ มือปราบเฉิน ให้ใช้กำลังจากกองมือปราบ คอยลาดตะเวนทั่วหมู่บ้านทั้ง 7 ในทุก ๆ วัน สืบหาเบาะแสมาตลอดสองเดือนที่ผ่านมา แต่สุดท้ายก็ยังคว้าน้ำเหลว ส่งผลให้ เกาถิง ในเวลานี้เต็มไปด้วยความกังวล...
และแล้วสัญญาณแห่งความวิบัติก็บังเกิดขึ้น
เมื่อวัตถุสิ่งหนึ่ง กำลังสั่นไหวอยู่ภายในปกเสื้อ...
เกาถิง ใบหน้าซีดเผือด ค่อย ๆ หยิบสิ่งนั้นออกมา ในมือปรากฏหยกโบราณชิ้นหนึ่ง... ซึ่งหยกโบราณนี้ ถูกเรียกขานกันในนาม หยกสื่อสาร เป็นอุปกรณ์พิเศษที่แฝงไว้ด้วยอาคมโบราณ ใช้ในการติดต่อสื่อสารระยะไกล มีรัศมีครอบคลุมนับหมื่นลี้ ขอเพียงยังอยู่ในทวีปเดียวกัน ก็สามารถติดต่อหากันได้ แต่แน่นอนว่ามันเป็นอุปกรณ์ที่มีราคาสูงมากในท้องตลาด มิใช่สิ่งที่บุคคลสามัญจะสามารถถือครอง...
“หัวหน้าเกา... อย่าบอกนะว่าผู้ที่ติดต่อเข้ามาคือ?!” หนึ่งในลูกสมุนของ เกาถิง เอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เห็นชัดเจนว่า เกาถิง ไม่กล้าตอบรับสัญญาณสื่อสารที่ติดต่อเข้ามา
“อืม... เป็น ลู่เหรินฮ่าว ไม่ผิดแน่ หากมันรู้ว่าพวกเราปล่อยให้เจ้าเด็กบ้านั่นหนีไปได้ ลู่เหรินฮ่าว คงไม่ปล่อยให้พวกเรารอดชีวิต...” เกาถิง ทำใจตั้งสติอยู่สักระยะก่อน จะยอมตอบรับสัญญาณดังกล่าว เนื่องด้วยหากไม่ยอมรับการติดต่อ ก็มีค่าเท่ากับตายเช่นกัน...
“ขอรับ... ปรมาจารย์ลู่” เกาถิง พยายามควบคุมน้ำเสียงให้เรียบเฉยที่สุด
“เถาถิง... พาตัวศิษย์ของ เหยาหมิง มาหาเราที่ หุบเขาสายลมสวรรค์ ถึงเวลาที่เราจะต้องใช้งานเจ้าเด็กนั่นแล้ว...” เสียงของ ลู่เหรินฮ่าว ดังออกมาจากหยกสื่อสาร ทุกคนโดยรอบล้วนได้ยินแจ่มชัด หากแต่ไม่มีใครกล้าปริปาก นั่งตัวสั่นไปตาม ๆ กัน
เกาถิง สูดหายใจลึก ก่อนจะตัดสินใจกล่าวออกไป...
“พอดีว่าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเล็กน้อย จวนผู้ว่าถูกไฟไหม้ ทำให้เจ้าเด็กคนนั้นมันหนีไปได้... แต่ท่านปรมาจารย์อย่าได้เป็นกังวล พวกเราได้เบาะแสจนใกล้จะจับตัวเด็กคนนั้นได้แล้ว...”
“นี่เจ้ากำลังล้อข้าเล่น ใช่หรือไม่?!” แม้จะเป็นเสียงที่ผ่านอุปกรณ์ ยังสัมผัสได้ถึงความเยือกเย็น
ทำเอา เกาถิง ถึงกับขนลุกชูชัน...
“หากเวลานี้ ตัวข้าอยู่ข้างกายเจ้า... รับมองว่าร่างของเจ้า จะพรุนไปด้วยมีดบินของข้าเป็นแน่!! ข้าให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งเดือน รีบพาเจ้าเด็กนั่นมาหาข้าที่ หุบเขาสายลมสวรรค์!! อย่าให้ข้าต้องลงจากหุบเขา เพื่อไปหาพวกเจ้าด้วยตนเอง!!”
“ระ...รับทราบ” เกาถิง ตอบรับพลางถอนหายใจหนักหน่วง รู้สึกราวกับว่าอายุขัยหดหายไปหลายเดือน ทั้งที่พูดคุยเพียงไม่กี่ประโยคผ่านอุปกรณ์
เกาถิง หันมองลูกสมุนรอบ ๆ
“พวกเจ้าคงได้ยินกันแล้วสินะ หากไม่อยากเป็นเป้ามีดบินไร้เทียมทาน ก็ต้องพยายามมากกว่านี้ในการค้นหาเจ้าเด็กนั่น!! ข้าเชื่อมั่นว่ามันยังไม่ออกไปจากเขตชุมชนหมู่บ้านแห่งนี้อย่างแน่นอน”
“รับบัญชา!!” น้ำเสียงของ กลุ่มชายชุดดำแน่นหนักกว่าทุก ๆ ครั้ง
“ไปตาม มือปราบเฉิน มาพบข้า... หากเจ้ามือปราบนั่น มันยังกล้าอิดออดเช่นคราวก่อน ก็ให้ตัดนิ้วมันเสีย แล้วค่อยลากตัวมา!!” เกาถิง ใบหน้ามืดดำ ระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ ลู่เหรินฮ่าว หยิบยื่นให้ไม่ถือว่ามากนัก เพราะการเดินทางไปยัง หุบเขาสายลมสวรรค์ มิใช่เรื่องง่ายจำเป็นต้องใช้เวลาพอสมควรเช่นกัน
..........................................................
ภายในห้องลับ...
ซุน เมื่อตัดสินใจที่ไปจากที่นี่แล้ว ก็เริ่มสำรวจสิ่งต่าง ๆ ภายในห้องลับอย่างจริงจัง เนื่องด้วยตั้งใจจะเลือกเอาสิ่งจำเป็นกลับออกไปด้วย ไม่รู้ว่าตนจะมีโอกาสได้กลับมายังสถานที่แห่งนี้อีกหรือไม่...
ก่อนหน้านี้ ซุน แตะต้องเพียงแค่ กองหนังสือตำรา และ ไหสุราบางส่วนที่ใช้ในการบ่มเพาะลมปราณเท่านั้น สิ่งของในส่วนอื่น ๆ ซุน พยายามหลีกเลี่ยง เพราะไม่อยากยุ่มย่ามกับทรัพย์สมบัติที่ เหล่าซือ สั่งสมเอาไว้ บางส่วนอาจมีความหมายสำหรับผู้ชรา ในระดับที่ ซุน ไม่อาจทำความเข้าใจ...
ในห้องลับ มีการแบ่งสัดส่วนการเก็บวัตถุต่าง ๆ ที่ชัดเจน เป็น 4 ส่วนใหญ่ ๆ ตามแต่ละมุม... ในสองมุมแรก คือหนังสือตำรา และ ไหสุรา ที่ ซุน ได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้นไปแล้ว... ถัดไปอีกมุมหนึ่งจะเป็นกลุ่มศาสตราโบราณที่ดูเก่าแก่ โดยมากจะมีฝุ่นเกาะกังจนไม่น่าจับนัก ตามเวลาหลายสิบปีที่ถูกทิ้งเอาไว้...
น่าเสียดายที่ ซุน ในเวลานี้ ยังไม่มีทักษะการใช้อาวุธใด ๆ นอกเหนือไปจากมีดสั้นที่เคยใช้เป็นมีดอักขระลงอาคม แต่ก็ยังห่างไกลจากคำว่าเชี่ยวชาญ... ซุน เชื่อมั่นว่า ศาตราเหล่านี้ไม่น่าที่จะเป็นเพียงศาสตราสามัญ หาไม่แล้ว เหยาหมิง คงไม่ลำบากนำมาเก็บสะสมไว้...
และในมุมด้านสุดท้าย ซุน มองเห็นเป็นลักษณะคล้ายกับหีบโลหะใบใหญ่ ที่ยังไม่ทราบสิ่งของที่แอบซ่อนอยู่ภายใน ก่อนหน้านี้ ซุน ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับมันเลย เพราะต่อให้ไม่เปิดออกดู ก็พอจะคาดเดาได้ว่าสิ่งของด้านในน่าจะเป็นของสำคัญ ที่ เหยาหมิง เก็บซ่อนเอาไว้...
“ไหน ๆ ก็จะไปจากที่นี่แล้ว ก็สำรวจให้ครบถ้วนเสียสิ? หากสิ่งใดค่า หรือเพิ่มโอกาสเอาตัวรอดก็สมควรหยิบคว้าไปให้หมด เหล่าซือ ของเจ้าไม่มีทางตำหนิเจ้าอยู่แล้ว เพราะของเหล่านี้จะมีค่ามากไปกว่าชีวิตของเจ้าได้เยี่ยงไร?!” เฒ่าชีเปลือย เอ่ยยุแยงทันที
แน่นอนว่า ซุน เองก็คิดเช่นนั้น... ในเมื่อมันถูกเก็บซ่อนไว้หลายสิบปี ย่อมแปรว่ามันมิได้ก่อประโยชน์อะไรกับ เหล่าซือ เท่าใดนัก... ด้านกลุ่มศาสตราโบราณวางเด่นเป็นสง่า คงไม่มีสิ่งใดให้ต้องพิจารณามากนัก เด็กหนุ่ม จึงมุ่งเน้นไปที่หีบโลหะใบใหญ่ที่ตั้งอยู่...
ซุน พยายามจะยกมันขึ้น แต่ก็ไม่เป็นผล ดูเหมือนว่ามันจะหนักและเทอะทะ เกินกว่าที่จะนำติดตัวออกไปด้วย... จึงตัดสินใจสำรวจรอบ ๆ พยายามที่จะหากลไกเพื่อเปิดมันออก ก่อนที่ ซุน จะพบเจอร่องรูขนาดเล็ก รูปลักษณ์และขนาดดูคล้ายกับกลไกที่ด้านหน้าทางเข้าห้องลับแห่งนี้...
“นี่มัน?!”
ซุน แน่ชัดแล้วว่า แหวนหยกดำ คงเป็นกุญแจสำหรับเปิดมันออก... เด็กหนุ่มชั่งใจอยู่เล็กน้อย สูดลมหายใจลึก และค่อย ๆ กดหัวแหวนลงไปยังร่องรูดังกล่าว... เสียงกลไกภายในหีบดังขึ้นเบา ๆ เหมือนว่าสลักภายในถูกปลดคลาย ก่อนจะเผยอขึ้นมาเล็กน้อย ใช้แรงไม่มากนักก็เพียงพอจะเปิดหีบออกได้...
สิ่งที่แอบซ่อนอยู่ภายใน ประกอบด้วยของหลายสิ่งอย่าง... มีทั้งกุญแจเก่า ๆ แหวนโบราณ ม้วนตำราหนังสัตว์ ป้ายสำมะโนครัวเดิมของ เหยาหมิง และป้ายโลหะประหลาดอีกหลายชิ้น ที่ ซุน ไม่อาจรู้ได้ ว่ามันมีไว้ใช้เพื่อการใด แต่คิดว่าคงเป็นของสำคัญสำหรับ เหยาหมิง ในอดีต มิเช่นนั้นคงไม่เก็บซ่อนซับซ้อนเช่นนี้...
สิ่งเดียวที่ ซุน พอจะทำความเข้าใจได้ ก็คือม้วนหนังสัตว์เก่า ๆ ซึ่งมีอยู่หลายม้วน ขนาดแตกต่างกันออกไป หลังจากที่ ซุน ค่อย ๆ คลี่เปิดมันออก ก็พบว่าส่วนมากจะเป็นแผนที่เก่าแก่ ซึ่งมีเครื่องหมายและตำหนิเป็นสัญลักษณ์บนแผนที่เหล่านั้น...
“เครื่องหมายบนแผ่นที่เหล่านี้?! เป็นเครื่องหมายของพรรคเซียนประทานงั้นสินะ... สัญลักษณ์เหล่านี้ อาจหมายถึงฐานลับ หรือจุดรวมพลเฉพาะ...”
ซุน พอจะคาดเดาได้ว่าในอดีต เหยาหมิง เคยเข้าสังกัดพรรค เซียนประทาน ในทวีปเต่าทมิฬมาก่อน... ทั้งยังมีตำแหน่งในพรรคมิใช่สามัญเสียด้วย แต่เพราะเหตุการณ์บางอย่าง รวมถึงเรื่องของภรรยา คงทำให้ เหยาหมิง ตัดสินใจออกจากสังกัดพรรคในภายหลัง ทุกอย่างยังคงเต็มไปด้วยปริศนาที่ ซุน ต้องค้นหา...
ทว่า... มีม้วนหนังสัตว์อยู่แผ่นหนึ่ง ที่แตกต่างไปจากแผ่นอื่น ๆ เนื่องด้วยมันมิใช่แผนที่ แต่เป็น ภาพวาดที่ดูเก่าพอสมควร เป็นชายหญิงคู่หนึ่งที่ยืนเคียงข้างกัน... ด้านฝ่ายบุรุษนั้น ซุน จดจำได้ทันที ว่าคือ เหยาหมิง ในตอนที่ยังหนุ่ม ไม่มีร่องรอยความชราให้ปรากฏ ฉะนั้นแล้วด้านหญิงสาวคงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากอดีตภรรยาที่ตายไปของ เหยาหมิง...
ทั้งยังมีนามของทั้งคู่สลักเอาไว้...
“เหยาหมิง... และ เล้งซิ่วอิง... หรือว่าภรรยาของ เหล่าซือ ที่เคยบอกว่ามาจากตระกูลใหญ่ นางจะมาจาก ตระกูลเล้ง!!” ซุน เบิกตากว้างกลมโตขึ้นในทันที
แน่นอนว่าหนอนตำราอย่าง ซุน ย่อมต้องรู้จัก ตระกูลเล้ง... ตระกูลที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดับ 1 ตลอดประวัติศาสตร์นับหมื่นปีของ แดนมนุษย์แห่งนี้ ตำราประวัติศาสตร์แทบทุกเล่ม จะต้องมีชื่อของ ตระกูลเล้ง สลักเอาไว้อยู่เสมอ...
รวมถึงนามของบุคคลหนึ่ง...
บุรุษที่ถูกเรียกว่าผู้สร้างประวัติ...
“เล้งซาน...” ซุน รู้สึกจิตใจสั่นไหว เมื่อเอ่ยถึงนามของบุคคลผู้นี้
เรื่องราวในอดีตของตระกูลเล้ง ที่ได้รับการบันทึกเอาไว้นั้น ถึงแม้จะปรากฏชื่อตระกูลอยู่ในตำราประวัติศาสตร์แทบทุกเล่ม หากแต่ข้อมูลกล่าวถึง กลับมาเพียงน้อยนิด!! ส่วนหนึ่งเพราะประวัติของตระกูลใหญ่ ๆ มักถูกเก็บเป็นความลับเสียเป็นส่วนมาก ป้องกันผู้ไม่หวังดี จะมีก็แต่คนในตระกูลเท่านั้นที่จะทราบความจริงอย่างละเอียด
และยิ่งเวลาผ่านไปหลายสหัสวรรษ ประวัติศาสตร์ก็ยิ่งบิดเบือนและถูกลบเลือน จนคนในยุคปัจจุบัน มองว่าเรื่องราวในอดีตของ เล้งซาน เป็นเพียงตำนานความเชื่อที่ถูกเล่าขานเท่านั้น ไม่อาจมองหาความจริงหรือหลักฐานใด ๆ มาอ้างอิง... ส่วนตระกูลเล้ง ในปัจจุบันหลงเหลืออยู่เพียงไม่มากเท่าใดแล้ว และยังถูกขนานนามในอีกชื่อหนึ่งว่า...
ตระกูลที่ต้องคำสาป... สายเลือดแห่งปิตุฆาต!!
………………………………….