สมาพันธ์แห่งท้องทะเล... คือมหาอำนาจที่ปกครองเขตมหาสมุทรกิเลนอัสนี ทั้งยังเป็นหนึ่งในหน่วยงานราชการแผ่นดินซึ่งมีอำนาจจัดการทุกสิ่งอย่างในพื้นที่ของตนได้อิสระ ถูกเรียกว่าเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดบนดาวเคราะห์ดวงนี้เสียด้วยซ้ำ ในแง่ของความแข็งแกร่งจัดอยู่ในลำดับที่สูงเกินกว่ายุทธภพอย่างที่นำมาเทียบกันไม่ได้...
สมาพันธ์แห่งท้องทะเล ถูกปกครองโดยตระกูลเหว่ย เป็นตระกูลที่ก่อตั้งและมีอำนาจสูงสุด... หากแต่ก็ยังประกอบด้วยตระกูลอื่น ๆ ซึ่งเป็นตระกูลเจ้าเกาะต่าง ๆ อีกมากมาย ทั้งหมดคือขั้วอำนาจอิทธิพลที่รวมตัวกัน จึงเกิดเป็นสมาพันธ์ที่ยิ่งใหญ่...
มหาสมุทรกิเลนอัสนีไม่มีแผ่นดินใหญ่ ดังนั้นอาณาเขตของสมาพันฯ จึงประกอบด้วยเกาะต่าง ๆ เกือบร้อยเกาะ หลอมรวมกันเป็นหมู่เกาะแห่งสมาพันฯ สถานที่ตั้งก็คือฝั่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือของโดมยักษ์กำแพงวายุอัสนี หากแต่ภายในโดมยักษ์นี้ไม่ได้มีเพียงแค่สมาพันธ์แห่งท้องทะเลเท่านั้นที่ดำรงอยู่ แต่ยังมีเผ่าอมนุษย์และสัตว์อสูรที่ปะปนอยู่ด้วย
ถูกแบ่งแยกชัดเจนโดยเส้นตรงแนวทแยง ที่ผ่ากลางโดมยักษ์กำแพงวายุอัสนีเป็นสองฟากฝั่ง และสิ่งที่เรียกว่าเส้นผ่าแยกกลางโดมยักษ์กำแพงวายุอัสนีนั้นก็คือ ม่านแสงพิเศษ...
แน่นอนว่าความหมายของม่านพลังนี้ก็คือ ขวางกั้นระหว่างฟากฝั่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือของสมาพันฯ และฟากฝั่งทิศตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งถือเป็นอาณาเขตของ เผ่าอสุรา และเผ่าคนธรรพ์! ดังนั้นอาณาเขตในปกครองของสมาพันธ์แห่งท้องทะเลจริง ๆ ก็คือครึ่งหนึ่งของโดมยักษ์ ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือเท่านั้น...
บริเวณพื้นที่เส้นตรงในส่วนของม่านแสงพิเศษที่ใช้แบ่งแยกอาณาเขต จะถูกเรียกว่า ‘เขตแนวหน้าในสงคราม’ เป็นพื้นที่หลักของการปะทะเพื่อป้องกันมิให้เผ่าอสุรา และเผ่าคนธรรพ์ สามารถบุกเข้ามาในฟากฝั่งของมนุษย์ได้... ทว่าก็ยังมีอยู่บ่อยครั้ง ที่ม่านแสงถูกโจมตีหนักหน่วงจนเกิดเป็นช่องโหว่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ทำให้มีบ่อยครั้งที่อมนุษย์ทั้งสองเผ่า สามารถหลุดรอดเข้ามาในอาณาเขตที่สมาพันฯ ดูแลอยู่ โดยเฉพาะเผ่าคนธรรพ์ ที่มักจะแอบโจมตีม่านแสงจากทางใต้ทะเล ซึ่งยากต่อการตรวจสอบ กว่าทางสมาพันฯจะรู้ว่าม่านแสงเกิดช่องโหว่ ก็มักจะมียอดฝีมือเผ่าคนธรรพ์ บุกฝ่าเข้ามาแล้ว...
เส้นตรงของม่านแสงพิเศษมีความยาวกว่าหนึ่งแสนลี้ จึงต้องแยกสมรภูมิแบ่งเป็นสองค่ายรบขนาดใหญ่... นั่นคือค่ายฝั่งเหนือ ที่มีอำนาจบัญชาการโดยตระกูลเหว่ย ป้องกันซีกฝั่งเหนือของม่านแสง กลุ่มศัตรูหลักก็คือเผ่าคนธรรพ์และกองทัพสัตว์อสูรทะเล... ส่วนค่ายฝั่งตะวันออก นั้นมีอำนาจบัญชาการโดยตระกูลเล้ง ป้องกันซีกฝั่งตะวันออกของม่านแสง ศัตรูหลักก็คือเผ่าอสุราและกองทัพสัตว์อสูรจากบนเกาะร้อยอสูร...
ม่านแสงเป็นเส้นตรงที่ทแยงเฉียง ผ่าครึ่งโดมยักษ์กำแพงวายุอัสนี และจุดกำเนิดของม่านแสงนี้ ก็คือสองอาวุธวิเศษจากมรดกสำคัญของตระกูลเล้ง ถือเป็นปราการที่มั่นคงมาอย่างยาวนาน สร้างขึ้นมาตั้งแต่ช่วงที่สงครามใหญ่เริ่มต้นเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว
แต่ในปัจจุบันพลังอำนาจของม่านแสงนี้ก็ลดต่ำลงมาเรื่อย ๆ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ฝ่ายของมนุษย์เริ่มที่จะเกิดความระส่ำระส่าย จนมองเห็นถึงความไม่มั่นคง... หากวันใดที่สองอาวุธวิเศษหมดสิ้นพลัง จนม่านแสงนี้สลายหายไปอย่างสมบูรณ์
เมื่อนั่นจะถือเป็นหายนะอย่างแท้จริง เพราะแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ทางเผ่ามนุษย์จะสามารถรับมือการบุกจากทุกทิศทางที่เข้ามา ได้ตลอดแนวยาวหนึ่งแสนลี้ ในผิวน้ำและใต้ทะเล... สงครามใหญ่ในครั้งนี้จึงกำลังถูกนับถอยหลัง หากมนุษย์ไม่ดิ้นรนมากกว่านี้ ในวันที่ม่านแสงถูกทำลายลงก็เท่ากับรอวันที่มนุษยชาติจะพ่ายแพ้...
เมื่อเทียบกับความมั่นคงของเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว ความขัดแย้งภายในตระกูลจึงแทบจะเป็นเรื่องที่เล็กน้อยอย่างยิ่ง ดังนั้นต่อให้ตระกูลเล้งฝ่ายหยินและฝ่ายหยางจะไม่ค่อยลงรอยกัน หรือแม้แต่การช่วงชิงความยิ่งใหญ่ระหว่างตระกูลเล้งและตระกูลเหว่ย สิ่งเหล่านี้ก็แทบจะเป็นเรื่องฝุ่นผง
ระบอบอำนาจปกครองทางการทหารสำหรับอยู่ร่วมกันของเหล่ามนุษย์ในสงครามนั้น จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับพื้นฐานลมปราณหรือเบื้องหลังของตระกูลเป็นหลัก หากแต่มันขึ้นอยู่กับผลงานในการรบ! จึงมีการแบ่งชนชั้นและความสำคัญกันด้วย ‘ตำแหน่งทางการทหาร’
ต่อให้มีพื้นฐานลมปราณต่ำกว่า มาจากตระกูลไร้ชื่อเสียง แต่ขอแค่สร้างผลงานในการรบได้สูงกว่า สังหารศัตรูได้มากกว่า นั่นก็มากพอจะทำให้ผู้แข็งแกร่งหรือตระกูลยิ่งใหญ่ต้องมาอยู่ภายใต้สังกัดยอมรับฟังคำสั่ง... ไม่ว่าจะตระกูลเล้ง ไม่ว่าจะตระกูลเหว่ย ไม่ว่าจะตระกูลเจ้าเกาะต่าง ๆ หรือแม้แต่คนที่มิได้มาจากตระกูลใหญ่ หากมีตำแหน่งทางการทหารที่สูงเพียงพอ ก็สามารถขึ้นเป็นผู้สั่งการในสนามรบได้...
กำลังทหารหาญในฝั่งมนุษย์มีจำนวนมากหลายล้านคน ซึ่งตำแหน่งจะแยกย่อยออกเป็น... พลทหารหาญในระดับล่างสุด ไล่เรียงขึ้นมาเป็น ผู้นำกองสิบ , ผู้นำกองร้อย , ผู้นำกองพัน ,ขุนพลผู้นำทหารกองหมื่น , แม่ทัพผู้นำทหารกองแสน และสูงสุดก็คือ จอมทัพผู้บัญชาการ!
ในปัจจุบัน มีผู้ดำรงตำแหน่งจอมทัพอยู่ด้วยกันทั้งสิ้นสี่คน... จอมทัพสองคนในค่ายฝั่งเหนือ ก็คือสองยอดฝีมือระดับราชันย์เทวะจากตระกูลเหว่ย เหว่ยเต๋อจวิ้น ผู้นำตระกูลหลักคนปัจจุบัน และ เหว่ยเจ๋อหมิง ยอดฝีมืออันดับ 1 ของตระกูลเหว่ยผู้เป็นน้องชาย...
จอมทัพอีกสองคนในค่ายฝั่งตะวันออก ก็คือ เล้งหยางอี้ ผู้นำตระกูลเล้งฝ่ายหยาง และ เล้งลู่ซือ สตรีอันดับ 1 ผู้นำตระกูลเล้งฝ่ายหยิน... ซึ่งจอมทัพทั้งสี่คนนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือระดับราชันย์เทวะ ลมปราณสีแดงขั้นกลางด้วยกันทั้งสิ้น และจะสลับผลัดเปลี่ยนกันไปประจำการอยู่ที่ ‘แนวหน้าในสงคราม’ มีอำนาจสั่งการสูงสุดในสมรภูมิ...
เหตุผลที่ เล้งหยางอี้ สามารถเคลื่อนไหวนำกำลังไปบุกสถาบันฯ เมื่อหลายเดือนก่อนได้นั้น ก็เพราะที่ค่ายฝั่งตะวันออกมี เล้งลู่ซือ เฝ้าประจำการอยู่ จึงทำให้ เล้งหยางอี้ มีอิสระในการเคลื่อนไหวในส่วนนี้...
และอีกเหตุผลหนึ่งที่ เล้งหยางอี้ พ่ายสงคราม... เป็นเพราะเขานำกำลังของตระกูลเล้งฝ่ายหยาง เดินทางออกไปเพียงแค่เก้าคนเท่านั้น!! เพราะไม่อยากทำให้แนวหน้าในสงครามถูกลดกำลังพลโดยไม่จำเป็น เดิมทีเป้าหมายของ เล้งหยางอี้ ก็คาดหวังให้จบลงแค่เพียงการเจรจา
หากเขาคิดจะทำสงครามอย่างจริงจัง โดยนำพาทหารหาญในสังกัดของเขาไปด้วยล่ะก็ สถาบันฯ ไหนเลยที่จะสามารถต้านทานได้ คงราบเป็นหน้ากองเสียภายในเวลาแค่ไม่กี่ลมหายใจ ไม่มีแม้แต่โอกาสจะต้านทานยื้อเวลา จวบจนการมาถึงของ อาเมนดูเอล ในช่วงท้ายได้...
สมาพันธ์แห่งท้องทะเล คือรากฐานของฝ่ายบัญชาการ เปรียบเสมือนจุดเชื่อมโยงระหว่างยุทธภพและเหล่าทหารหาญที่ประจำการอยู่แนวหน้า เปรียบเสมือนหลังบ้านในสงครามที่คอยสนับสนุนกองทัพ
เพราะไม่ใช่ว่าประชากรทั้งหมดของมหาสมุทรกิเลนอัสนีจะถูกส่งตัวเข้าไปที่แนวหน้า ผู้ที่จะไปยังสถานที่อันตรายแห่งนั้น จะมีแค่เพียงทหารหาญซึ่งถูกคัดกรองแล้วเท่านั้น... ในเขตมหาสมุทรกิเลนอัสนี ยังคงมีชาวบ้านประชาชนทั่วไปอีกนับร้อยล้านคน ซึ่งใช้ชีวิตในเขตปลอดภัยที่ไม่ต่างกับคนในยุทธภพ...
เหล่าทหารหาญที่ถูกส่งตัวไปแนวหน้าทั้งหมดนั้น จะต้องมีพื้นฐานลมปราณต่ำที่สุดคือชนชั้นลมปราณสีเหลือง... และเมื่อไปถึงแนวหน้าของสงคราม พวกเขานั้นจะต้องผ่านสมรภูมิรบกันอย่างโชกโชนนับครั้งไม่ถ้วน เหยียบย้ำบนภูเขาซากศพและทะเลเลือดจนมากไปด้วยความเหี้ยมหาญที่ถูกขัดเกลา ดังนั้นในระดับพื้นฐานลมปราณที่เท่าเทียมกัน เหล่าบรรดายอดฝีมือที่เอาแต่เสพสุขอยู่ในยุทธภพ ความแข็งแกร่งย่อมมิอาจเทียบกับทหารหาญเหล่านี้ได้เลย...
สงครามใหญ่สามเผ่าพันธุ์นี้ ดำเนินมานับร้อยปีแล้ว... ความเสียสละของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ภายในเขตมหาสมุทรกิเลนอัสนี ตระกูลเหว่ย ตระกูลเล้ง เป็นสิ่งที่ในยุทธภพทั้งสี่ทวีป แทบจะไม่มีใครรับรู้... เรื่องราวในสงครามที่เกิดขึ้นนี้ ผู้ที่รับทราบข่าวสารทั้งหมดจะมีก็แค่บรรดาเหล่าผู้นำขุมกำลังของหน่วยงานราชการแผ่นดินเท่านั้น ทั้งหมดก็เพื่อรักษาความสงบสุขยังโลกภายนอกเอาไว้…
ซึ่งหน่วยงานราชการแผ่นดินในยุทธภพ ก็จะใช้การจัดตั้งภาษีต่าง ๆ ภายในทวีปของตนเอง และนำรายได้ภายในส่วนนั้น มาคอยช่วยเหลือและสนับสนุนสงครามอีกทอดหนึ่ง ทั้งหมดจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แม้ว่ามนุษย์ส่วนใหญ่จะไม่ทราบเรื่องของสงครามที่อันตรายนี้ก็ตามที
...................................................
หลังจากผ่านไปกว่าสองวันสำหรับการถูกกักบริเวณ สามชายหนุ่มก็ใช้เวลานั้นส่วนนั้นฝึกฝนตนเองอยู่ในที่พัก... เวลานี้ เล้งหยุนฟง และ กังเฉิง ก็เริ่มที่จะหันมาฝึกฝนตบะพลังวิญญาณกันบ้างแล้ว เพื่อให้ก่อเกิดสมดุลฟ้าดินในร่างกายที่เพิ่มมากขึ้น และยังช่วยเสริมความแก่กล้าของจิตใจรวมไปถึงพลังสมาธิยามต่อสู้ ทั้งหมดเป็นการชี้แนะจาก อาเมนดูเอล โดยมี เล้งซุน เป็นตัวอย่างชัดเจนที่สุดสำหรับทั้งสองคน...
แน่นอนว่าเป้าหมายของทั้งสองคือการปรับสมดุลเท่านั้น มิได้มุ่งหวังที่จะเรียนรู้อาคมใด ๆ เป็นพิเศษ ยังคงมุ่งเน้นเคล็ดวิชาลมปราณเป็นหลัก... การฝึกฝนตบะภายใต้การชี้นำของผู้เชี่ยวชาญนั้น มากพอจะทำให้ทั้งสองเริ่มที่จะมองเห็นอณูวิญญาณที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
ถึงแม้ว่าคนทั้งสองจะไม่อาจบรรลุศาสตร์อาคมถึงขั้น สกัดดวงวิญญาณเป็นโอสถปราณวิญญาณออกมาได้ด้วยตนเอง แต่ก็บรรลุถึงระดับที่สามารถช่วยเหลือ เล้งซุน ในการสั่งสมอณูวิญญาณในสงครามได้แล้ว เรื่องนี้ถือเป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะการรวบรวมอณูวิญญาณจากหลายคนย่อมรวมเร็วกว่าการกระทำเพียงลำพัง...
หลังจากที่เงียบหายไปกว่าสองวัน ในที่สุดขุนพลเหว่ยจ้าวก็กลับมาที่นี่อีกครั้ง ใบหน้าของเขานั้นมากไปด้วยความเคร่งขรึม... “พวกเจ้าทั้งสามคน เวลานี้ทางเบื้องบนกำลังประชุมหารือกันในส่วนสำคัญ ดังนั้นจึงอยากเชื้อเชิญพวกเจ้าไปพูดคุยด้วย
และห้ามเสียมารยาทโดยเด็ดขาด เพราะการประชุมครั้งนี้มีบุคคลระดับแม่ทัพชนชั้นเทวะ รวมไปถึงสองจอมทัพผู้บัญชาการจากทั้งตระกูลเล้ง และตระกูลเหว่ย เข้าร่วมการประชุมด้วย บุคคลเหล่านี้มีอำนาจมากพอจะดับทำลายชีวิตของพวกเจ้าได้ โดยไม่ต้องมาคำนึงถึงชื่อเสียงในยุทธภพของพวกเจ้า...”
ชายหนุ่มทั้งสามพอได้ยินเช่นนั้น ต่อให้หอบหิ้วความมั่นใจมามากน้อยเพียงใด ก็ยังต้องถึงขั้นกลืนน้ำลายฝืดลำคอ... ยอดฝีมือชนชั้นเทวะลมปราณสีแดง ที่ในยุทธภพมีน้อยจนแทบจะใช้มือข้างเดียวนับนิ้วได้ ทว่าสำหรับภายในมหาสมุทรกิเลนอัสนีนั้น กลับมีบุคคลระดับนี้อยู่หลายสิบคน เกือบทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นระดับแม่ทัพผู้นำทหารกองแสน ไม่ว่าจะเป็นคนใดก็มากไปด้วยความเกรียงไกรในระดับที่เกินจะจินตนาการ...
ชายหนุ่มทั้งสามถูกพาตัวข้ามไปยังเกาะที่อยู่ถัดออกไป โดยอาศัยเรือใหญ่ที่ลากจูงด้วยสัตว์อสูรทะเลขนาดมหึมา ความเร็วนั้นจึงน่าตกตะลึงเป็นอย่างมาก ระยะทางระหว่างเกาะนับร้อยลี้ ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ช่วงสั้น ๆ แทบจะไม่ต่างจากการโบยบิน
แน่นอนว่าภายในเขตมหาสมุทรกิเลนอัสนีนั้น มักจะใช้การเดินทางด้วยเรือหรือไม่ก็สัตว์อสูรทะเลพาหนะ จะไม่นิยมใช้การโบยบินกันเท่าไหร่นัก เนื่องด้วยเพดานบินบนท้องฟ้าที่สูงเกินไป อาจส่งผลต่อการไปกระตุ้นสนามพลังของโดมยักษ์ที่ครอบคลุมพื้นที่
ฉะนั้นความเผอเรอเลินเล่อเพียงน้อยนิด ก็ที่โอกาสที่จะถูกสายฟ้าฟาดผ่าอย่างรุนแรง จากสนามพลังที่ปกคลุมพื้นที่แห่งนี้ได้ พลานุภาพสยบของสายฟ้าจากสนามพลังนั้น มากพอจะทำให้ชนชั้นเทวะผู้หนึ่งบาดเจ็บสาหัสได้ในครั้งเดียว หากพื้นฐานต่ำกว่าชนชั้นเทวะ แม้แต่เศษซากก็มิอาจคาดหวังให้หลงเหลือ...
พื้นฐานด้านความอันตรายต่าง ๆ ภายในเขตมหาสมุทรกิเลนอัสนีนั้น เล้งซุน และ กังเฉิง ล้วนแล้วแต่ได้รับการบอกเล่าถ่ายทอดจาก เล้งหยุนฟง มาอย่างละเอียด เพื่อที่จะสลักจดจำเรื่องอันไม่ถูกไม่ควรเอาไว้ให้มั่น
ผ่านไปไม่นานนักเบื้องหน้าของ เล้งซุน ก็มองเห็นเป็นเกาะขนาดใหญ่ ซึ่งมีสิ่งปลูกสร้างขนาดมหึมามากมายจนมองเห็นได้ตั้งแต่ไกล ๆ จากบนท้องทะเล ทั้งยังสัมผัสได้ถึงม่านคุ้มกันที่หนาแน่นครอบคลุมหลายชั้น บ่งบอกถึงการให้ความสำคัญในระดับสูงสุด
อีกทั้งยังมองเห็นพลังอำนาจน่าสะพรึงกลัวหลายสายจากด้านบนเกาะ มากพอจะทำให้ชายหนุ่มทั้งสามขนพองสนองเกล้าตั้งแต่ยังไม่เหยียบขึ้นเกาะด้วยซ้ำ จินตนาการได้เลยว่าคงมียอดฝีมือไม่ต่ำกว่าหลายร้อยคนบนเกาะนั้น ที่มีพลังรบและความแข็งแกร่งมากยิ่งกว่าพวกเขาในเวลานี้ อาศัยอยู่ภายในเกาะที่สำคัญแห่งนั้น...
“นั่นคือ ‘เกาะบัญชาการ’ เกาะหลักของสมาพันธ์แห่งท้องทะเล...” เหว่ยจ้าว เอ่ยปากเนิบช้าด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ...
...............................................