ภาพของชายร่างสูงใหญ่ที่นั่งคุกเข่ากล่าวคำมั่นสัญญาจากหัวใจ ทำเสนาบดีกู้รู้สึกชื่นชมอย่างมาก
ถึงเขาจะเป็นเพียงขุนนางฝ่ายบู๊ตำแหน่งเล็กๆ ทั้งยังต้องไปประจำการที่ชายแดนอีก แต่กู้ฉีซิวก็ไม่อยากจะปิดโอกาส และอยากให้กู้เยียนได้ตัดสินใจด้วยตัวของนางเอง
“แม่ทัพเซียว การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ อย่างไรก็ต้องฟังความคิดเห็นของบุตรสาวข้าก่อน”
เซียวเจิ้งเฟิงพยักหน้า “ขอบคุณท่านเสนาบดีที่เข้าใจ”
หลังออกจากจวนตระกูลกู้ เซียวเจิ้งเฟิงก็ไปพบฉีอ๋องที่ตำหนัก
เมื่อไปถึง บรรยากาศอึมครึมรอบด้านทำเขาสงสัยจนต้องถามองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“อีกไม่กี่วัน ตำหนักของเราจะมีพระชายารอง เรื่องนี้ทำพระชายาฉีไม่พอใจอย่างมากขอรับ”
พระชายารองคนใหม่ที่เขาพูดถึงก็คือหลี่หมิงเยว่ คนที่พยายามสานสัมพันธ์กับฉีอ๋องมานาน ในที่สุดก็สมใจนางเสียที
สีหน้าของฉีอ๋องค่อนข้างอ่อนล้า ชายชาติทหารที่ผ่านความเป็นความตายมาหลายสมรภูมิกลับต้องมานั่งทุกข์ใจด้วยเรื่องในครอบครัวเช่นนี้
ฉีอ๋องยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วพลางเอ่ย “มาพบข้าแต่เช้ามีเรื่องอันใด?”
เซียวเจิ้งเฟิงรู้สึกละอายที่การตัดสินใจของเขาครั้งนี้อาจกระทบต่อฉีอ๋องได้
“กระหม่อมไปที่จวนตระกูลกู้มา...”
ฉีอ๋องส่งสัญญาณให้เซียวเจิ้งเฟิงดื่มชาตรงหน้า ก่อนจะถามต่อ “ไปทำไม?”
เซียวเจิ้งเฟิงตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ไปทำการสู่ขอพ่ะย่ะค่ะ”
มือของฉีอ๋องที่ถือถ้วยชาอยู่ชะงักทันที “เจ้าไปสู่ขอทั้งอย่างนี้น่ะรึ?”
พ่ะย่ะค่ะ
“ทำไมไม่ปรึกษากันก่อน” ฉีอ๋องทำหน้าตำหนิ
เขาและฉีอ๋องเสมือนลงเรือลำเดียวกัน การกระทำใดๆ ย่อมส่งผลกระทบต่อแผนการของอีกฝ่าย แต่หากเซียวเจิ้งเฟิงนำเรื่องนี้มาปรึกษา ฉีอ๋องจะต้องคัดค้านอย่างแน่นอน
ตอนแรกเขาตั้งใจจะรอให้ขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงกว่านี้ก่อน แต่เมื่อได้คุยกับเฉินเยว่ ก็ไม่อาจทนรอได้อีกต่อไป
ฉีอ๋องนวดหว่างคิ้วอีกครั้ง “ช่วงนี้ข้ารู้สึกปวดหัวกับเรื่องของสตรีเหลือเกิน”
“เป็นธรรมดาของมนุษย์พ่ะย่ะค่ะ”
ฉีอ๋องวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ “เรื่องของเจ้าไม่ได้เลวร้ายอะไร พรุ่งนี้ไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อกับข้าแล้วกัน”
พอเซียวเจิ้งเฟิงกลับไปแล้ว เสนาบดีกู้ก็เรียกบุตรสาวเข้ามาพบและเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
กู้เยียนตะลึงค้าง ด้วยคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมุทะลุเช่นนี้
ท่าทีของนางทำผู้เป็นบิดาขมวดคิ้ว “เจ้าไม่ชอบเขางั้นหรือ?”
“ข้าเคยพบท่านแม่ทัพสองสามครั้ง เห็นได้ชัดว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง แต่การแต่งงานของข้าเพิ่งจะถูกยกเลิกไป แบบนี้ฮ่องเต้อาจสงสัยได้นะเจ้าคะ”
กู้ฉีซิวเข้าใจในคำพูดนี้ จึงตอบอย่างมั่นใจว่า “ไม่ต้องห่วง หากเจ้ามีใจให้กับเขา พ่อจะจัดการเรื่องนี้เอง จะว่าไปเจ้าแต่งงานกับแม่ทัพเซียวก็ดีเหมือนกัน แม้เขาจะเป็นคนสนิทของฉีอ๋อง แต่พระองค์ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับรัชทายาทและเยี่ยนอ๋อง ทั้งยังไม่ถูกดึงให้เข้าร่วมสงครามทางการเมืองอีกด้วย ตระกูลกู้เองก็ต้องการหลุดพ้นจากอำนาจเหล่านี้อยู่แล้ว ดังนั้นการแต่งงานของเจ้าอาจช่วยพวกเราให้พ้นจากความวุ่นวายทั้งปวงได้”
กู้เยียนสบตาผู้เป็นบิดา “แล้วฮ่องเต้ล่ะเจ้าคะ?”
“พ่อทำงานในราชสำนักมานานกว่ายี่สิบปี ย่อมรู้ความคิดของพระองค์ดี หากการแต่งงานครั้งนี้สำเร็จ ฝ่าบาทคงพอพระทัยไม่น้อย”
เมื่ออีกฝ่ายให้คำมั่น นางก็คร้านจะซักไซ้ ทั้งที่รู้แก่ใจว่าบิดาของตนถูกฮ่องเต้หย่งเหอหักหลังเมื่อชาติที่แล้ว
กู้ฉีซิวใส่ชุดขุนนางเต็มยศเพื่อไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ส่วนกู้เยียนก็รออยู่ที่จวนด้วยใจร้อนรน
ก่อนหน้านี้ นางแสดงอาการเฉยชาเพราะรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ เมื่อรู้ถึงความจริงที่ใกล้เข้ามา จึงเป็นกังวลไม่น้อย
กู้เยียนนั่งเท้าคางอยู่ริมหน้าต่าง ภาพจำเกี่ยวกับเซียวเจิ้งเฟิงฉายชัดขึ้นในสมองอีกครั้ง ทั้งตอนที่เขาจูงม้าเดินเข้ามาหาบนถนนในฤดูหนาว หรือตอนที่คุกเข่าให้นางเหยียบไหล่
“คุณหนู ได้เวลาไปสำนักบัณฑิตหญิงแล้วเจ้าค่ะ” ชิงเฟิงขัดจังหวะขึ้น
วันนี้ฉีอ๋องกับเซียวเจิ้งเฟิงเข้าวังพร้อมกัน
แม้เขาจะเป็นบุตรที่ฮ่องเต้ไม่ให้ความสำคัญ แต่ก็นับว่าเป็นโอรสคนหนึ่ง เมื่อทราบข่าวพระองค์จึงอนุญาตโดยไม่ลังเล
ที่หน้าพระพักตร์ ฉีอ๋องแสดงความเคารพพระบิดาอย่างนอบน้อม ส่วนเซียวเจิ้งเฟิงก็คุกเข่าลงถวายความเคารพเช่นกัน
“เจ้าเป็นใครรึ?” ฮ่องเต้เพ่งมองเซียวเจิ้งเฟิง
“กระหม่อมแซ่เซียว นามว่าเจิ้งเฟิง เป็นแม่ทัพขั้นสี่ เคยติดตามฉีอ๋องไปประจำการที่ชายแดนพ่ะย่ะค่ะ” เขาตอบอย่างกระตือรือร้น
ฉีอ๋องรีบสำทับต่อ “ทูลเสด็จพ่อ เขาคือแม่ทัพที่นำทหารสี่พันนายเข้าโจมตีกองทัพของชนเผ่าเป่ยตี๋ที่มีมากถึงสามหมื่นคนจนได้ชัยชนะกลับมาพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หย่งเหอยิ้มอย่างพึงพอใจ “สง่างามสมคำร่ำลือ ไม่เสียทีที่เป็นแม่ทัพของต้าจาว” กล่าวจบก็ผายมือไปทางเก้าอี้ “เชิญ”
หลังจากสนทนากันไปพักหนึ่ง ฉีอ๋องจึงเข้าประเด็นหลัก “ข้ามีบางอย่างที่อยากจะขอความเห็นจากเสด็จพ่อ”
ฮ่องเต้หรี่ตามองโอรสองค์โต เพราะเขาเป็นคนเดียวที่ไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดมาก่อน “ว่ามา”
ฉีอ๋องปรายตาไปทางเซียวเจิ้งเฟิง “แม่ทัพเซียวมีเรื่องจะขอร้องเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หย่งเหอเลิกคิ้ว “อย่างนั้นรึ”
เซียวเจิ้งเฟิงรีบคุกเข่าลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมขอพระราชทานคำตัดสินเรื่องนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องอะไรกัน?”
จังหวะเดียวกันนั้น ขันทีหมาจิ่งฟางก็เข้ามารายงานเรื่องที่กู้ฉีซิวมาขอเข้าพบ “ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายแจ้งว่าต้องการมาขอความกรุณาจากฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีอ๋องและเซียวเจิ้งเฟิงสบตากันอย่างรู้ทัน
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วสงสัย “พวกเจ้าเป็นอะไรกันไปหมด?” จากนั้นก็โบกมือสั่ง “ให้เขาเข้ามา”
ก่อนหน้านี้ เซียวเจิ้งเฟิงเตรียมคำพูดขอพระราชทานการแต่งงานมาเป็นอย่างดี แต่เมื่ออีกฝ่ายปรากฏตัวจึงรู้สึกประหม่าไม่น้อย
เป็นเพราะกระดาษที่เขียนคำว่า ‘เซียว’ แผ่นนั้นที่ทำให้เขากล้าทำแบบนี้
พอเห็นเซียวเจิ้งยืนอยู่ เสนาบดีกู้ก็พอจะเดาออกว่าเขามาเพื่อสิ่งใด บุรุษผู้นี้ทั้งกล้าหาญและเฉลียวฉลาด หากไม่ใช่เพราะต้องติดตามฉีอ๋องผู้ซึ่งไม่มีโอกาสได้ขึ้นครองบัลลังก์ ก็คงจะมีชีวิตที่รุ่งเรืองและยิ่งใหญ่กว่านี้
ฉีอ๋องเป็นผู้มากความสามารถ เคราะห์ร้ายที่ถูกรัชทายาทและเยี่ยนอ๋องกลบรัศมี ทั้งยังถูกรังแกและลดบทบาทสารพัด ทว่าโอกาสที่จะได้ขึ้นครองบัลลังก์ก็พอมีอยู่ ตราบเท่าที่อำนาจทางการทหารและแม่ทัพนายกองฝีมือดียังคงอยู่ในมือ ถึงอย่างนั้น คงต้องรอให้โอรสอีกสองพระองค์ทำศึกสงครามกัน เมื่อนั้นเขาจึงจะได้ขึ้นเป็นผู้รับผลประโยชน์สูงสุด
คิดได้เช่นนี้ กู้ฉีซิวก็มองว่าที่ลูกเขยต่างไปจากเดิมทันที
เซียวเจิ้งเฟิงยังคงคุกเข่าด้วยท่าทางสงบนิ่ง
ฮ่องเต้หย่งเหอหัวเราะชอบใจ “วันนี้เป็นวันอะไร พวกเจ้าถึงได้มาเข้าเฝ้าพร้อมกัน?”
“ดูเหมือนกระหม่อมและฉีอ๋องจะมาด้วยเรื่องเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีกู้ตอบ
ฮ่องเต้พยักหน้า “ตกลงพวกเจ้ามีเรื่องอะไรกันแน่?”
“กระหม่อมมาวันนี้เพื่อขอให้ฝ่าบาทพระราชทานการแต่งงานให้กู้เยียนพ่ะย่ะค่ะ” กู้ฉีซิวตอบ
“บุตรสาวของเจ้ามีคนที่หมายปองแล้วหรือ?” ฮ่องเต้ถามต่อ
กู้ฉีซิวถอนหายใจเบาๆ “ไม่ใช่เพราะนางมีใครในใจหรอกพ่ะย่ะค่ะ แต่เพราะคำครหาจากผู้คน รวมถึงเมื่อวานแม่ทัพเซียวได้มาสู่ขอนางเรียบร้อยแล้ว”
พอเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ฮ่องเต้ก็หันมองเซียวเจิ้งเฟิงอย่างพินิจพิจารณา
“เจ้าต้องการสู่ขอบุตรสาวของเสนาบดีฝ่ายซ้ายงั้นรึ?”
เซียวเจิ้งเฟิงตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “กระหม่อมรักคุณหนูกู้ด้วยใจจริง จึงบังอาจมาทูลขอฝ่าบาทให้พระราชทานการแต่งงานพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีอ๋องรีบก้าวขึ้นหน้าพลางประสานมือทำความเคารพ “แม่ทัพเซียวอายุยี่สิบสี่ปีแล้ว วันนี้หมายปองคุณหนูกู้ ขอเสด็จพ่อได้โปรดเมตตาช่วยให้เขาสมปรารถนาด้วยเถอะ”
ฮ่องเต้หย่งเหอนิ่งคิดพร้อมกับสำรวจเซียวเจิ้งเฟิงพักใหญ่
“จริงหรือไม่ ที่เจ้าใช้กลยุทธ์ชั้นเลิศเข้าโจมตีกองกำลังของชนเผ่าเป่ยตี๋ซึ่งมีจำนวนมากกว่าหลายเท่า จนบรรดาข้าศึกพากันเกรงกลัว”
เซียวเจิ้งเฟิงตอบเสียงดังฟังชัด “ข้าศึกหาได้เกรงกลัวชื่อเสียงของกระหม่อม หากแต่เป็นความยิ่งใหญ่ของกองทัพต้าจาวพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หย่งเหอเลิกคิ้ว “เจ้าเป็นสหายคนสนิทของฉีอ๋องใช่หรือไม่?”
“ทูลฝ่าบาท ตอนฉีอ๋องประจำการอยู่ที่ชายแดน กระหม่อมมีโอกาสได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ จึงสนิทสนมกันฉันสหายพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้มีสีหน้าที่อ่อนลงก่อนจะหันมองฉีอ๋อง “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีสหายดีเช่นนี้” กล่าวจบก็หันไปพูดกับกู้ฉีซิว “ได้ข่าวว่าที่หลิงหนานเกิดเหตุภูเขาหิมะถล่ม?”
กู้ฉีซิวไม่เข้าใจว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงถามเรื่องนี้ แต่ก็ตอบกลับอย่างกระตือรือร้น
“ทูลฝ่าบาท เมื่อวานกระหม่อมได้รับรายงานเรื่องภูเขาหิมะถล่มที่หลิงหนาน มีราษฎรบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ไร่นาและพื้นที่ทางการเกษตรได้รับความเสียหาย อาจส่งผลกระทบต่อจำนวนผลผลิตรายปี ตอนนี้ได้ส่งทหารเข้าไปช่วยเหลือแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทอดถอนใจ “ข้าเป็นห่วงเรื่องนี้มาก จึงอยากส่งตัวแทนเข้าไปสร้างขวัญและกำลังใจให้ราษฎร”
“ไม่ทราบว่าฝ่าบาทอยากส่งขุนนางท่านใดไปหรือพ่ะย่ะค่ะ?” กู้ฉีซิวถามต่อ
ฮ่องเต้หย่งเหอกวาดตามองเอกสารบนโต๊ะ ก่อนจะพูดชื่อเยี่ยนอ๋องขึ้นมา
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่