ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่กู้เยียนวางไว้
นางแสร้งทำเป็นเจรจากับเจ้าหน้าที่ของทางการ จากนั้นก็ให้หลานถิงไปบอกข่าวดีกับทุกคน
“คุณหนูต้องติดสินบนเจ้าหน้าที่ด้วยเงินจำนวนมาก ห้ามพวกท่านแพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้เด็ดขาด รวมถึงห้ามก่อเรื่องขึ้นอีก!”
คำข่มขู่ของหลานถิงทำทุกคนในตระกูลหลี่กลัว และรีบเก็บของกลับบ้านภายในคืนนั้น
มีเพียงหลี่ฮูหยินที่รู้ทัน นางจึงไม่แสดงอาการตื่นเต้นดีใจซ้ำยังนึกขอบคุณกู้เยียนที่ให้บทเรียนแก่พวกเขา
หลังจากจบเรื่อง กู้เยียนพากู้ชิงไปเยี่ยมผู้เป็นบิดาด้วยกัน
ที่นั่น เสนาบดีกู้นั่งพิงหัวเตียงด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนกู้ชิงแอบหวั่นใจ---หรือท่านพ่อจะโกรธที่ข้าทำร้ายผู้อื่น?
กู้ฉีซิวหรี่ตามองบุตรชายนอกสายตาพลางเอ่ย “ทำไมถึงเข้าไปต่อยเขา?”
กู้ชิงทิ้งตัวลงคุกเข่า สองมือกำหมัดแน่น “ท่านน้าเป็นคนไม่ดีขอรับ”
“อ้อ” กู้ฉีซิวลูบเคราอย่างแผ่วเบา “ไม่ดีอย่างไร?”
เขาคิดทบทวนครู่หนึ่งแล้วจึงตอบอย่างกล้าหาญ “ท่านน้าเอาแต่เกียจคร้าน ไม่ทำมาหากิน ชอบเล่นการพนัน ซ้ำยังพูดจาสามหาวใส่พี่สาม และโกงเงินร้านตัดเสื้ออีก” กู้ชิงยืดตัวขึ้นตรง “หากท่านพ่อจะลงโทษข้า ก็ทำได้เลยขอรับ แต่ข้าจะไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย”
“พูดได้ดี” มุมปากของกู้ฉีซิวยกโค้งเป็นรอยยิ้ม
กู้ชิงเงยหน้ามองผู้เป็นบิดาด้วยความรู้สึกประหลาดใจ เพราะไม่เคยถูกอีกฝ่ายชมมาก่อน
ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง น้ำแห่งความตื้นตันไหลออกจากสองตาของเขาจนกู้เยียนต้องเข้ามาประคองน้องชายพลางปลอบ
“อากาศหนาวขนาดนี้จะนั่งคุกเข่าไปทำไม?”
กู้ชิงก้มหน้าเม้มริมฝีปาก “ท่านพ่อไม่ตำหนิข้า ข้าดีใจมากๆ เลย”
กินยาของหมอหานไปได้ไม่เท่าไหร่ เสนาบดีกู้ก็อาการดีขึ้นเป็นลำดับ กระทั่งผ่านไปสิบวันก็ลงจากเตียงมาเดินเล่นได้แล้ว
กู้เยียนดีใจเป็นที่สุด นางสั่งให้ลู่ฉีนำเงินค่ารักษาจำนวนมากไปมอบให้หมอเทวดาผู้นี้แทนคำขอบคุณ ทว่าเขาปฏิเสธ
“ไม่ต้องหรอก ขอเพียงท่านเสนาบดีหายเป็นปกติ ข้าก็ดีใจแล้ว”
“ขอบคุณท่านหมอเจ้าค่ะ” ลู่ฉีกล่าวพร้อมกับเดินไปส่งอีกฝ่ายขึ้นรถม้า
ขณะกำลังจะกลับเข้าห้อง กู้เยียนสังเกตเห็นชิงเฟิงนั่งหน้าแดงอยู่จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “ไม่สบายหรือ?”
ชิงเฟิงตกใจเล็กน้อย “ปะ... เปล่าเจ้าค่ะ” นางอมยิ้ม “ข้าเพียงดีใจที่จวนของเรากลับมาสงบสุขอีกครั้ง”
ไม่แปลกที่สาววัยสิบหกเช่นนางจะมีความรัก ส่วนหมอหานก็อายุสามสิบกว่าแล้ว สมควรจะลงหลักปักฐานเสียที
เมื่อลองหยั่งเชิงจนมั่นใจว่าชิงเฟิงมีใจให้กับหมอหานจริงๆกู้เยียนจึงคิดจะเป็นแม่สื่อให้
“เล่าเรื่องของหมอหานให้ข้าฟังหน่อย” นางสั่งลู่ฉี
“ข้าไม่สนิทกับเขาเท่าไหร่ รู้เพียงว่าเป็นคนนิสัยประหลาด”ลู่ฉีตอบเสียงอ่อย
“อย่างไรก็ต้องขอบคุณเจ้าที่ช่วยหาหมอเทวดามารักษาท่านพ่อจนอาการดีขึ้น คงต้องตกรางวัลให้แล้วกระมัง” กู้เยียนเปิดกล่องเครื่องประดับแล้วหยิบกำไลหยกซึ่งมีมูลค่าสูงออกมายื่นให้อีกฝ่าย “ข้าให้เจ้าไว้เป็นเงินก้นถุง”
ลู่ฉีจ้องกำไลหยกตาค้าง มูลค่าของมันมหาศาลเพราะทำจากหยกเขียวใสชั้นดี ลักษณะกลมมนเป็นเนื้อเดียวกันทั้งวง ทั้งยังเคยเป็นสมบัติล้ำค่าของชนเผ่าลู่มาก่อน
“รับไว้เถอะ” นางยัดกำไลใส่มือลู่ฉี “ตอนที่แม่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ท่านเคยบอกว่าหยกจะช่วยให้ผู้สวมใส่จิตใจสงบและมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง”
ลู่ฉีรู้สึกได้ถึงความเย็นจากเนื้อหยก หลังจากยืนมองอยู่สักพัก นางก็ร้องไห้ด้วยความซาบซึ้ง
“อย่าคิดมาก กลับห้องไปพักผ่อนเถอะ” กู้เยียนปลอบ
หลานถิงนั่งรอน้องสาวอยู่ในห้องนานแล้ว พอนางเปิดประตูเข้ามา เขาก็ส่งเสียงทันที
“ไปเอากำไลหยกมาจากไหน?”
“คุณหนูให้ข้า... เป็นรางวัล” นางตอบตะกุกตะกัก
หลานถิงขมวดคิ้ว “เจ้าทำอะไร คุณหนูถึงต้องมอบเครื่องประดับราคาแพงเช่นนี้ให้?”
เมื่อถูกเค้นถาม ลู่ฉีจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ท่านพี่อยากรู้อะไรก็ถามมาเถอะ!”
“เจ้ามีญาติห่างๆ ที่เป็นหมอเทวดาตั้งแต่เมื่อไหร่?” หลานถิงเปิดประเด็น
ลู่ฉีตกใจหน้าซีดเผือด “นายท่านหายก็ดีแล้ว จะสนใจว่าเป็นญาติฝ่ายไหนไปทำไม!”
นัยน์ตาของหลานถิงฉายแววหงุดหงิด เขาจ้องหน้าน้องสาวและถามอย่างดุดัน “เจ้าคิดจะหลอกคุณหนูไปถึงเมื่อไหร่?!”
เมื่อหลังชนฝา ลู่ฉีจึงยอมเล่าเรื่องทั้งหมดให้พี่ชายฟังอย่างละเอียด
“ข้าโกหกเพราะรู้ว่าคุณหนูไม่ชอบขี้หน้าเขา”
หลานถิงนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวสั่งสอน “เจ้าเป็นสาวใช้ที่คุณหนูรักและเมตตาอย่างมาก แต่กลับเลือกที่จะโกหกเพื่อปกป้องคนนอก แบบนี้ถูกต้องแล้วหรือ?”
กู้เยียนกลับเข้าสำนักบัณฑิตอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน
เมื่อได้เห็นบรรยากาศของโรงเรียนท่ามกลางหิมะโปรย นางก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาก
เพื่อนร่วมห้องต่างพากันเข้ามาปลอบและประณามการกระทำของซุนหยาเว่ย เท่าที่กู้เยียนรู้ก็คือ นางไม่ยอมออกจากบ้านไปไหน ทั้งยังไม่สุงสิงกับใคร วันๆ เฝ้าแต่รอคอยพิธีอภิเษกสมรสกับรัชทายาท
“ขอบใจพวกเจ้ามาก” กู้เยียนยกยิ้มมุมปาก
เหอเฟยเฟยเบ้ปาก “คิดไม่ถึงว่านางจะทำเรื่องน่าอายเช่นนี้รู้ทั้งรู้ว่าเจ้าเป็นคู่หมายของรัชทายาทแล้ว!”
“ช่างเถอะ ข้าไม่ได้เสียใจแล้ว ยิ่งท่านพ่อหายป่วยก็ยิ่งไม่รู้สึกอะไร” กู้เยียนตอบเสียงเรียบ
“คิดได้เช่นนี้ก็ดีแล้ว” เหอเฟยเฟยปลอบ “ว่าแต่... เจ้ารู้เรื่องที่รัชทายาทถูกฮ่องเต้สั่งกักบริเวณหรือไม่?”
กู้เยียนคือคนที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุด การสั่งกักบริเวณของฮ่องเต้คือละครฉากหนึ่ง เพื่อที่พระองค์จะได้ไม่ต้องรับผิดชอบจัดงานแต่งให้กับซุนหยาเว่ย
สุดท้ายตำแหน่งพระชายาก็ตกเป็นของบุตรสาวท่านโหว ขุนนางซึ่งไม่โดดเด่นในราชสำนักแม้แต่น้อย
กู้เยียนรู้สึกหดหู่เมื่อนึกถึงจุดจบของซุนหยาเว่ย หลังจากที่แม่ทัพใหญ่เสียชีวิตลง เยี่ยนอ๋องก็ลดทอนอำนาจของเขาด้วยการเนรเทศทุกคนในตระกูลซุนไปอยู่ชายแดน
ขณะกำลังสนทนากันอย่างออกรสออกชาติ สัญญาณบอกคาบเรียนขี่ม้าและยิงธนูก็ดังขึ้น กู้เยียนและเหอเฟยเฟยรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเข้าคอกไปเลือกม้าที่ใช้เป็นประจำ
พอเห็นอีกฝ่ายในคอกม้า หลี่หมิงเยว่ก็โบกมือให้อย่างเป็นมิตร กู้เยียนเองก็โบกมือกลับพลางส่งยิ้มให้ การกระทำของพวกเขาทำเหอเฟยเฟยไม่พอใจและรีบลากเพื่อนไปทางอื่น
อาจารย์สอนขี่ม้าและยิงธนูในวันนี้คืออดีตแม่ทัพหญิง เนื่องจากแผ่นดินต้าจาวเคยมีฮ่องเต้ที่เป็นหญิงถึงสามรัชสมัย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีขุนนางและแม่ทัพเป็นอิสตรี ทั้งยังมีค่ายที่เรียกว่าผ้าแดงซึ่งถูกตั้งขึ้นสำหรับทหารหญิงโดยเฉพาะ
‘แม่ทัพจิ่งฉี’ วัยห้าสิบปี คือแม่ทัพหญิงที่มีผลงานโดดเด่นที่สุดในค่ายผ้าแดง หลังจากถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับคดีฉ้อราษฎร์บังหลวงที่นำโดยพระปิตุลาของรัชทายาท นางก็ถูกปลดและย้ายให้มาสอนวิชาขี่ม้าและยิงธนูที่สำนักบัณฑิตหญิงแทน
นางมีบุคลิกเคร่งขรึม ใบหน้าปราศจากรอยยิ้ม โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าลูกศิษย์
ด้วยความที่ไม่ชอบวิชาภาคสนาม ชาติที่แล้วกู้เยียนจึงทำผลสอบทั้งสองวิชานี้ได้ไม่ดีนัก เมื่อมีโอกาสกลับมาเรียนอีกครั้ง จึงตั้งใจฟังที่อาจารย์สอนอย่างมาก
แม่ทัพหญิงผู้นี้ไม่ชื่นชอบสตรีอ่อนแอ เมื่อเห็นกู้เยียนตั้งใจฝึกฝน ทั้งยังทำคะแนนได้ดี จึงเอ่ยปากชมไม่หยุด กระทั่งเหอเฟยเฟยที่ทำคะแนนโดดเด่นมาโดยตลอดยังถูกมองข้าม
ขณะนั่งพัก กู้เยียนกระซิบถามเหอเฟยเฟยเกี่ยวกับพิธีแต่งงานของหลี่หมิงเยว่และเซียวเจิ้งเฟิง
เหอเฟยเฟยทำหน้าครุ่นคิด “ข้าไม่ได้ยินความคืบหน้าเรื่องนี้มานานแล้ว” นางเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นต่อ “ถ้าจำไม่ผิด นางปรารถนาในตัวฉีอ๋องมากกว่า”
กู้เยียนมองประเมินหลี่หมิงเยว่ที่กำลังซ้อมยิงธนูอยู่ สตรีผู้นี้ย้อนอดีตมาพร้อมกับความทรงจำเช่นเดียวกับนาง แต่กลับทอดทิ้งผู้ที่เคยเป็นสามีในชาติที่แล้ว และตั้งหน้าตั้งตาจับว่าที่ฮ่องเต้อย่างฉีอ๋องแทน
“เลือดเย็นเสียจริง...” กู้เยียนพึมพำ “เป็นเพราะนางไม่เคยรักแม่ทัพเซียวเลย หรือเพราะความมักใหญ่ใฝ่สูงกันแน่?”
สายตาของหลี่หมิงเยว่ประสานเข้ากับกู้เยียนพอดี นางจึงควบม้ามาหา “ได้ยินว่าท่านพ่อของเจ้าหายป่วยแล้ว ยินดีด้วยนะ”
“ขอบคุณที่เป็นห่วง” กู้เยียนยิ้มตอบ
สนทนากันไปได้ครู่หนึ่ง หลี่หมิงเยว่ก็ขอตัวไปฝึกยิงธนูต่อ
ขณะอีกฝ่ายหันหลังกลับ กู้เยียนรู้สึกได้ถึงแววตาแห่งความสงสาร หลี่หมิงเยว่คงนึกเวทนาที่นางต้องแต่งงานกับเฉินฉงฮุยหลังจากนั้นบิดาก็เสียชีวิตลง ตระกูลที่เคยรุ่งเรืองกลับล่มสลายจนต้องกลายเป็นคนเร่ร่อน
แต่ที่อีกฝ่ายไม่ทันสังเกตก็คือ ชะตากรรมของตระกูลกู้กำลังเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตชาติทีละน้อยๆ
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่