ณ ตำหนักราชบุตรเขยที่ใหญ่โตหรูหราในเมืองเยี่ยนจิง หน้าประตูไม้สีแดงมีรูปปั้นสิงโตตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่
‘กู้เยียน’ ยืนสงบนิ่งข้างรูปปั้น ดวงตาจับจ้องประตูไม้สีแดงตรงหน้า ลมหนาวเย็นยะเยือกพัดผ่านผิวกาย ถนนปราศจากผู้คนสัญจร
นางก้มลงมองพื้น มือหยาบกร้านเหี่ยวย่นถูกซ่อนไว้ในแขนเสื้อตัวเก่าที่ผ่านการใช้งานมานานหลายปี
ท่ามกลางความหนาวเหน็บ กู้เยียนในเสื้อตัวบางรู้สึกเจ็บปวดเนื่องจากถูกลมคิมหันต์ที่ทะลุผ่านอาภรณ์กรีดผิวเนื้ออย่างไร้ความปรานี
เมื่อเงยหน้าขึ้น สายตารังเกียจปนหวาดระแวงของนางกำนัลสองคนที่หน้าประตูก็ประสานเข้ากับนางพอดี
กู้เยียนคลี่ยิ้มบาง ในใจไม่นึกยินดียินร้ายกับท่าทีเหล่านั้น เพราะตั้งแต่สามีตายไปเมื่อสิบปีก่อน หญิงม่ายผู้งดงามอ่อนหวานเช่นนางก็ชาชินกับสายตาเหยียดหยามตั้งแต่ครั้งที่ตัดสินใจใช้มีดกรีดใบหน้าของตนจนเป็นแผลฉกรรจ์
ประตูสีแดงบานใหญ่ตรงหน้าคือตำหนักของ ‘เฉินเยว่’หลานชายของสามีนาง เขาคือผู้สืบราชการลับที่มีผลงานโดดเด่นที่สุดในราชสำนัก ผลงานดีเด่นเสียจนฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยกองค์หญิงหลิวซึ่งเป็นพระราชนัดดาให้
หลังจากได้รับแต่งตั้งให้เป็นราชบุตรเขย ความก้าวหน้าทั้งทางราชการและฐานันดรศักดิ์ก็ทำให้เขาถูกริษยาจากขุนนางจำนวนมาก เนื่องจากผลผลิตของปีนี้ไม่สู้ดี จึงไม่มีใครยอมรับกู้เยียนเข้าทำงาน เมื่ออับจนหนทาง นางจึงต้องบากหน้ามาหาหลานชายผู้เป็นความหวังสุดท้าย
ที่ผ่านมากู้เยียนสู้ลำบากส่งเสียเฉินเยว่จนเรียนจบ มีหน้าที่การงานที่ดี พรั่งพร้อมไปด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ ทั้งยังไม่เคยคาดหวังการยกย่องเชิดชูเยี่ยงอาสะใภ้จากเขา เพียงต้องการน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ยามไร้ที่พึ่งเท่านั้น
กว่าครึ่งวันแล้วที่นางยืนรออีกฝ่ายตรงหน้าประตู ผิวกายถูกลมหนาวกรีดจนชาไปทั้งร่าง
ขณะพยายามขยับแขนขาเพื่อขับไล่ความหนาว ประตูสีแดงบานใหญ่ก็เปิดออก หญิงชรานางหนึ่งโผล่ศีรษะออกมาจากช่องประตูพลางหรี่ตาพินิจผู้มาเยือน
นางคือบ่าวเฒ่าคนสนิทของเฉินฮูหยิน มารดาของเฉินเยว่ผู้ที่ทอดทิ้งเขาไปตั้งแต่ยังเล็ก
กู้เยียนส่งยิ้มให้อีกฝ่าย
หลังจากกวาดตามองกู้เยียนหัวจรดเท้า หญิงชราก็เหน็บแนมขึ้นว่า “เป็นท่านจริงๆ รึนี่? เหตุใดจึงตกต่ำได้ถึงเพียงนี้? คงไม่มีใครจำสะใภ้รองแห่งจวนจิ้นเจียงได้แล้วเป็นแน่!”
กู้เยียนพยายามเก็บงำความรู้สึกและถามกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เยว่เอ๋อร์ยังไม่กลับอีกหรือ?”
หญิงชราก้าวข้ามธรณีประตู สายตาจับจ้องอีกฝ่ายเขม็ง “อย่าได้มาที่นี่อีก แม้ท่านจะเคยเลี้ยงดูคุณชาย แต่ฮูหยินของข้าก็กลับมาทำหน้าที่ของนางแล้ว ซ้ำคุณชายยังไม่ประสงค์จะพบท่านอีกด้วย”
“ข้าคืออาสะใภ้ที่ส่งเสียเลี้ยงดูเขามากว่าสิบปี เหตุใดจึงไม่อยากพบ?”
หญิงชราแค่นเสียงฮึ “องค์หญิงเก้าประทับอยู่ข้างใน ที่นี่จึงไม่ต่างจากวังหลวง คนจรจัดหน้าไหนก็เดินเข้าออกไม่ได้!”
กู้เยียนจ้องหน้าอีกฝ่าย “ทั้งหมดคือความต้องการของเฉินเยว่รึ?”
“สะใภ้รองรีบกลับไปเถอะ ข้าไม่อยากให้องค์หญิงตกใจในความอัปลักษณ์ของท่าน!”
กู้เยียนถูกวาจาของบ่าวเฒ่าเสียดแทงจนแทบล้มทั้งยืน “ข้าเข้าใจแล้ว” กล่าวจบก็หันหลังและแหงนหน้ามองฟ้า “ฝากบอกเฉินเยว่ด้วย ข้าจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก”
นางค่อยๆ เดินห่างออกจากประตู ร่างซวนเซไปตามแรงลมที่ปะทะ สังขารอ่อนล้าร่วงโรยราวกับเถาวัลย์เหี่ยวแห้งของต้นหลิว
เงาของอีกฝ่ายยังไม่ทันลับตาดี หญิงชราก็สบถไล่หลังอย่างไม่เกรงใจ “น่าสมเพช! ตกต่ำจนแทบไม่มีที่ซุกหัวนอน แล้วยังกล้ามาทำจองหองอีก!”
กู้เยียนรู้ดีว่าใบหน้าอัปลักษณ์ของตนสร้างความหวาดกลัวแก่ผู้อื่น จึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินไปตามถนน
กว่านางจะกระเสือกกระสนมาจนถึงที่นี่ได้ ต้องขอเศษข้าวเศษน้ำและที่พักเพื่อประทังชีวิตมาตลอดทาง แต่สุดท้ายก็ถูกคนของเฉินเยว่ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
กู้เยียนกวาดตามองรอบเมืองเยี่ยนที่เต็มไปด้วยแสงสีตึกรามบ้านช่องใหญ่โตโอ่อ่า นัยน์ตาเลื่อนลอยจับจ้องธงประดับหน้าร้านอาหารด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง
หากจะบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนหรือคนรู้จักก็กลัวพวกเขาจะรังเกียจคนอัปลักษณ์ที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าเช่นนาง
เมื่อร่างกายยังครบถ้วนสมบูรณ์ กู้เยียนจึงคิดจะอ้อนวอนของานและที่พักจากเถ้าแก่เจ้าของร้านสักแห่ง เผื่อจะมีใครเมตตาช่วยเหลือบ้าง
จู่ๆ ก็มีเด็กรับใช้ในชุดสีครามวิ่งกอดห่อผ้ามาหานางด้วยท่าทางพิรุธ หลังจากหันซ้ายแลขวาจนมั่นใจว่าไม่ถูกใครสะกดรอยตาม เขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงระแวดระวัง “ท่านราชบุตรเขยให้ข้านำของ
พวกนี้มาให้” กล่าวจบก็ยัดห่อผ้าใส่มือกู้เยียน “อย่ากลับไปที่จวนอีกนี่คือคำสั่ง!”
หลังจากอีกฝ่ายวิ่งหายไปแล้ว กู้เยียนก็ก้มลงมองห่อผ้าสีเขียวซีดในมือ นางเคยเย็บสิ่งนี้ให้เฉินเยว่ไว้ใช้ยามต้องเดินทางไปสอบที่เมืองหลวง ครั้งหนึ่งถุงผ้าใบนี้เคยบรรจุอาหาร ของกิน ของใช้ และเงินที่นางเก็บเล็กผสมน้อยด้วยความยากลำบากมานานหลายปี
เมื่อเปิดมันออก นางก็พบกับเสื้อกันหนาวตัวหนึ่งและเงินอีกสิบตำลึง---นี่คือรางวัลจากการทุ่มเทมาตลอดสิบปีงั้นรึ?
กู้เยียนยิ้มเยาะให้กับโชคชะตาของตน อดที่จะยอมรับในความช่างเอาใจใส่ของเฉินเยว่ไม่ได้ ทันทีที่รู้ว่านางทั้งจน หนาว และหิวเจียนตาย เขาก็ให้คนนำสิ่งของมาให้
นางหยิบเสื้อกันหนาวขึ้นสวมและเก็บเงินสิบตำลึงกลับเข้าถุงผ้า เสื้อกันหนาวตัวนี้ปักด้วยด้ายสีทองสวยสดงดงาม ต่างจากเสื้อซอมซ่อที่สวมอยู่จนดูน่าขัน
ขณะเดินไปอย่างไร้จุดหมาย กลิ่นหอมหนึ่งก็ลอยมาเตะจมูกของกู้เยียน นางรีบเดินตามกลิ่นอาหารนั้นพลางจินตนาการถึงขาหมูเนื้อแน่นในหม้อตุ๋นที่มีน้ำแกงเดือดปุดๆ สีเข้มลอยอยู่
กู้เยียนหยุดฝีเท้าและมองเข้าไปในบ้านหลังที่มีควันอบอวลลอยออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะเริงร่าของเด็กน้อย
ข้างในนั้นดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความอบอุ่น ทั้งกลิ่นอาหารเลิศรสและเสียงหัวเราะแห่งความสุขของเด็กๆ
กู้เยียนนิ่งมองควันจากการปรุงอาหารที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่นานสักพักก็นึกขึ้นได้ว่าชื่อของตนมีอักษร ‘เยียน’ ที่แปลว่าควันรวมอยู่ด้วย หรือนางจะเป็นเหมือนควันที่เบาบางจนแทบมองไม่เห็น สุดท้ายก็จางหายไปพร้อมกับสายลม
ระหว่างที่ยืนใจลอยอยู่นั้น เสียงฝีเท้าของม้าก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง กู้เยียนรีบหลบเข้าด้านข้าง แต่ก็ไม่พ้นและถูกม้าที่วิ่งมาอย่างรวดเร็วเฉี่ยวชนจนล้มกลิ้ง
ถนนเมืองเยี่ยนจิงในเดือนอ้ายเต็มไปด้วยกรวดทรายแข็งกระด้างเนื่องจากอากาศหนาว พอล้มลงกระแทกพื้น ผิวกายและกระดูกทั่วทั้งร่างของนางก็แทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
หลายปีที่ผ่านมา งานของกู้เยียนต้องใช้แรงเข้าแลกเป็นหลัก สังขารจึงทรุดโทรมอย่างรวดเร็วแม้จะอายุเพียงยี่สิบหกปี
รอบกายของนางเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึง รวมถึงเสียงร้องด้วยความตกใจของเจ้าม้าที่ถูกกระตุกเชือกอย่างแรงจนต้องหยุดวิ่ง
“ท่านป้าเป็นอะไรหรือไม่?” เสียงอ่อนโยนหนึ่งดังขึ้นที่ข้างหูของกู้เยียน ตามด้วยการรายงานอย่างนอบน้อม “โหวเหย่ เมื่อครู่ข้าไม่ทันระวังจึงควบม้าชนหญิงชราผู้หนึ่งเข้า เคราะห์ดีที่นางไม่เป็นอะไรมาก”
บุรุษในรถม้าสั่งการด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม “ช่วยเหลือนางให้เต็มที่ คนบริสุทธิ์ไม่ควรต้องบาดเจ็บ”
กู้เยียนพยุงกายลุกขึ้นพร้อมกับฝืนยิ้ม “ข้าไม่เป็นอะไร แค่ตกใจจนล้มลงไปเอง” กล่าวจบก็เงยหน้าขึ้น เห็นว่าทหารองครักษ์ไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัวนางแต่อย่างใด เขาเพียงเลิกคิ้วขึ้นเท่านั้น
กู้เยียนรีบก้มศีรษะ ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะรังเกียจและนึกสมเพชในความอัปลักษณ์ เพราะสตรีงดงามเช่นที่นางเคยเป็นอยู่ในยามนี้ไม่มีอีกแล้ว เหลือเพียงหญิงที่สังขารทรุดโทรม ดูไม่ต่างจากคนอายุราวสี่สิบ
“พานางกลับไปที่จวน ข้าจะทำการสอบถามเอง” บุรุษบนรถม้าเอ่ยเสียงเรียบ
เสียงคุ้นหูของสตรีที่ด้านล่าง ทำให้ผู้มีความจำเป็นเลิศเช่นเขาระลึกถึงช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี
หากจำไม่ผิด นางคือบุตรสาวคนที่สามของ ‘กู้ฉีซิว--เสนาบดีฝ่ายซ้าย’ แห่งเมืองเยี่ยนจิงนามว่ากู้เยียน
สิบปีก่อน ‘ผิงซีโหว--เซียวเจิ้งเฟิง‘ เป็นเพียงนายทหารชั้นผู้น้อย คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลกู้จึงดูสูงส่งเกินกว่าจะเอื้อมถึง
หลังจากหรี่ตาสำรวจอีกฝ่าย เขาก็พูดขึ้นต่อ “เชิญทางนี้”
บุรุษผู้แสนจะเย็นชาและเพียบพร้อมด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ใช้คำว่า ‘เชิญ’ กับกู้เยียนที่มีสภาพไม่ต่างจากขอทานด้วยกิริยานอบน้อม
ผิงซีโหวก้มมองสตรีที่นั่งก้มหน้าคุกเข่าด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ผมที่เคยดกดำถูกแซมด้วยสีขาวประปราย เสื้อตัวบางที่มีแต่รอยปะชุนถูกสวมทับด้วยเสื้อกันหนาวปักดิ้นทองชวนขบขัน
นางก้มหน้างุดจนเขาเห็นเพียงสองมือหยาบกร้านบนตัก ภาพตรงหน้าทำผิงซีโหวลำคอแห้งผาก ความปวดร้าวผุดขึ้นในใจอย่างยากจะอธิบาย
แม้จะเคยพบกันเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ผิงซีโหวก็แอบติดตามเรื่องราวของกู้เยียนมานาน จวบจนวันที่นางออกเรือนไปกับบุตรชายของขุนนางตระกูลใหญ่
ในตอนนั้น เขาถูกเกณฑ์ไปอยู่ในค่ายทหาร อุปสรรคมากมายที่ต้องพบเจอทั้งในการฝึกและสนามรบกลางทะเลทรายทำให้เขาคิดถึงสตรีงามสง่าใต้ต้นท้อผู้นี้อย่างมาก
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่