แม่ทัพในกำมือ-บทที่ 37 สั่งสอน(ฟรี! ของขวัญปีใหม่ 2021)(rewrite)

โดย  โปรเจคพิเศษ by Hongsamut

แม่ทัพในกำมือ

บทที่ 37 สั่งสอน(ฟรี! ของขวัญปีใหม่ 2021)(rewrite)

หากเป็นแบบนี้ต่อไป นางคงล้มป่วยตามบิดาเป็นแน่” ฉีอ๋องเล่า

เซียวเจิ้งเฟิงถามด้วยความร้อนใจ “ท่านเสนาบดีป่วยเป็นอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ หมอหลวงจึงรักษาไม่หาย?”

ฉีอ๋องตอบอย่างจนปัญญา “คนแก่อายุมาก พอตรอมใจร่างกายก็แย่ตาม สงสารก็แต่บุตรสาวของเขาที่ต้องดูแลกิจการทั้งในและนอกบ้านแทน”

เซียวเจิ้งเฟิงนิ่งฟังด้วยความสงสาร สำหรับเขากู้เยียนเปรียบเสมือนดอกไม้งดงามน่าทะนุถนอม พอรู้ว่านางได้รับความทุกข์ยากจึงรู้สึกเป็นห่วง และตัดสินใจควบม้าไปที่จวนตระกูลกู้ทันที

หิมะยังคงโปรยปรายอย่างหนัก ทุกหลังคาเรือนถูกปกคลุมจนกลายเป็นสีขาวโพลน

พระจันทร์สวยเด่นกลางท้องฟ้าส่องแสงกระทบหิมะเกิดเป็นประกายสีเงินระยิบระยับ เซียวเจิ้งเฟิงเคลื่อนไหวร่างกายอย่างแผ่วเบาดุจสายลม กระทั่งเข้าไปในจวนได้

พลันนั้นเขารู้สึกถึงสายตาระแวดระวังคู่หนึ่ง พอหันไปมองก็พบกับชายขาเป๋ที่เคยเจอคราวก่อน มนุษย์เหล็กผู้นั้นจ้องเขาไม่วางตา แต่สักพักก็หันหลังแล้วเดินไปทางอื่น

ไม่มีใครรู้ว่าเขาปล่อยอีกฝ่ายด้วยเหตุผลใด แต่เซียวเจิ้งก็ไม่มีเวลาสงสัยเพราะต้องรีบไปที่เรือนฝั่งตะวันตกก่อน

ท่ามกลางแสงจันทร์และหิมะที่ปกคลุมพื้นดิน เซียวเจิ้งเฟิงในเสื้อตัวบางซ่อนกายอยู่หลังกอไผ่ ใบหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกแผ่นหลังยืดตรงราวกับรูปปั้น

เพราะเคยผ่านความหนาวที่เสียดแทงกระดูกยามต้องประจำการอยู่ที่ชายแดนมาแล้ว คราวนี้จึงไม่ระคายผิวของเขาเท่าไหร่

กระทั่งยามจื่อ ร่างเล็กๆ ของกู้เยียนก็ปรากฏขึ้นที่หน้าเรือนพร้อมกับลู่ฉี

เซียวเจิ้งเฟิงเงี่ยหูฟังบทสนทนาของพวกนาง จึงได้รู้ว่าอาการของกู้ฉีซิวไม่ดีขึ้นเลย

“พี่รองกำลังจะกลับมาเยี่ยมบ้าน ข้าไม่อยากให้นางต้องเป็นกังวล” กู้เยียนทอดถอนใจ

ลู่ฉีขมวดคิ้วครุ่นคิด “ข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกันเจ้าค่ะ พวกเราปรนนิบัตินายท่านอย่างสุดความสามารถแล้ว ยาที่ใช้ก็เป็นยาที่ดีที่สุด เหตุใดอาการจึงไม่ทุเลาลงเลย”

เซียวเจิ้งเฟิงมองสตรีอันเป็นที่รักผ่านรอยแยกของต้นไผ่ แสงจันทร์นวลขับผิวพรรณของนางจนผ่องใสราวกับหิมะ ผมดำสลวยทิ้งตัวยาวถึงเอว ใบหน้าผุดผาดไม่ต่างจากหยกขาวเนื้อดี ทว่าดวงตาที่เคยแจ่มใสกลับหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด

กู้เยียนแหงนหน้าขึ้นมองพระจันทร์พร้อมกับพนมมือสวดอ้อนวอน สักพักจึงเดินกลับเข้าห้องไป

ไม่นานหลังจากนั้น ลู่ฉีเดินออกจากห้องพร้อมกับหนวนโส่วลู่ในมือ พอสังเกตเห็นกอไผ่ขยับไหว นางก็ตรงเข้าไปแหวกดูโดยไม่เกรงกลัว

เซียวเจิ้งเฟิงพุ่งตัวออกมาใช้มือปิดปากลู่ฉี ก่อนจะดึงร่างของนางไปหลบที่อีกมุมหนึ่ง

“ข้าเอง...” เขากระซิบและค่อยๆ ปล่อยมือออก

“ท่านแม่ทัพ?”

เมื่อถูกเรียกตำแหน่งแทนชื่อ เซียวเจิ้งเฟิงก็ทำหน้าไม่ถูก “อย่าเพิ่งโวยวายไป”

ลู่ฉีขมวดคิ้ว “ท่านมาด้วยเหตุอันใด แล้วทำไมต้องทำลับๆ ล่อๆ?”

“ข้าเป็นห่วงอาการของเสนาบดีกู้”

“หากเป็นห่วงนายท่าน เหตุใดจึงไม่มาตอนกลางวัน?” เห็นอีกฝ่ายทำหน้าลำบากใจ นางจึงพอจะเดาออก “ท่านแม่ทัพอุตส่าห์มาถึงนี่ ข้าจะไปบอกคุณหนูให้ก็แล้วกัน”

“ช้าก่อน!” เขาเรียกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของนาง”

“บอกมาตามตรงเถอะเจ้าค่ะ” ลู่ฉียิ้มให้อย่างเป็นมิตร

เซียวเจิ้งเฟิงสูดหายใจเข้าลึก “ข้าเป็นห่วงนายหญิงของเจ้าก็เลย...”

“หากเป็นห่วง ก็สามารถมาเยี่ยมได้ตามปกตินี่เจ้าคะ?”

เซียวเจิ้งเฟิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามถึงอาการของกู้ฉีซิวต่อ “ได้ยินว่าเสนาบดีกู้ยังคงป่วยหนัก แม้แต่หมอฝีมือดีที่สุดก็ไม่อาจรักษาได้ หากข้าจะพาหมอเทวดาที่รู้จักมาช่วยรักษา จะเป็นไปได้หรือไม่?”

“พวกเราจะปฏิเสธน้ำใจของท่านได้อย่างไร ไว้ข้าจะบอกคุณหนูให้แล้วกันเจ้าค่ะ”

“ช่วยอะไรอย่างหนึ่งได้ไหม?” เซียวเจิ้งเฟิงทำเสียงขรึม “อย่าบอกว่าข้าเป็นคนพามา”

ลู่ฉีส่ายหน้าไม่เข้าใจ

“นางไม่ค่อยชอบหน้าข้า เลยไม่อยากวุ่นวายให้ต้องรำคาญใจ”

โดยไม่รีรอ ลู่ฉีเข้าไปเล่าเรื่องหมอเทวดาซึ่งเป็นญาติห่างๆ ของมารดาให้ผู้เป็นนายฟัง

“ข้าไม่เห็นเคยได้ยิน?” กู้เยียนมุ่นคิ้ว

มารดาของลู่ฉีและแม่นมหวังติดตามกู้ฮูหยินมาจากบ้านเกิด พวกนางคือสาวใช้ที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุด หากมีญาติที่ไหนกู้เยียนจะต้องเคยได้ยินอย่างแน่นอน

ลู่ฉียิ้มตอบ “ท่านแม่และญาติผู้นี้แยกย้ายกันไปมีครอบครัวตั้งแต่ข้ายังเด็ก และเพิ่งจะกลับมาพบกันตอนที่กู้ฮูหยินล้มป่วยเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้น เจ้ากับหลานถิงก็ช่วยไปเชิญเขามาพบข้าสักหน่อยเถอะ”

ลู่ฉีส่ายหัววืด “พี่ชายข้าไม่เคยพบญาติผู้นี้มาก่อน อีกอย่างเขาเป็นหมอที่มีนิสัยแปลกๆ เกรงว่าพวกเขาจะอึดอัดหากต้องพบกัน”

กู้เยียนเข้าใจที่อีกฝ่ายพูดเป็นอย่างดี เพราะหมอซุนที่นางเคยทำงานด้วยก็มีนิสัยแปลกๆ เช่นกัน นี่อาจเป็นวิสัยของหมอแถบชนบท ที่ไม่ชอบพบปะผู้คนก็เป็นได้

แม้จะยังสงสัย แต่นางก็ยอมให้ลู่ฉีไปตามลำพัง “อย่าลืมซื้อของติดไม้ติดมือไปฝากเขาด้วยล่ะ”

ลู่ฉีรับคำ จากนั้นก็แอบไปส่งข่าวให้เซียวเจิ้งเฟิง


ตั้งแต่มารดาของหลี่ฮูหยินมาพักอาศัยด้วย จวนตระกูลกู้ก็วุ่นวายไม่เว้นแต่ละวัน

หญิงชราทำตัวตามสบายราวกับอยู่บ้านของตนเอง จุกจิกจู้จี้เรื่องอาหารการกิน ร้องหาอาภรณ์ที่หรูหราเกินพอดี ทั้งยังปล่อยให้ลูกหลานวิ่งเล่นไปทั่วจนข้าวของแตกหักเสียหาย เด็กรับใช้ต่างก็ระอาไปตามๆ กัน

เมื่อรู้ว่าถูกนินทา มารดาของหลี่ฮูหยินก็ร้องไห้ฟูมฟาย และสั่งให้บุตรสาวตบปากสาวใช้เป็นการสั่งสอน ซึ่งคนที่ถูกตบก็คือเพื่อนสนิทของเหยียนสั่ว สาวใช้ของกู้เยียน

“นายท่านกำลังป่วยหนัก คุณหนูเองก็กำลังเป็นทุกข์ พวกนั้นยังขยันสร้างเรื่องให้ต้องปวดหัวอีก!” ชิงเฟิงบ่นอุบ

เหยียนสั่วรู้สึกผิด จึงขอโทษเป็นการใหญ่ “คุณหนูเจ้าขาข้าผิดเองที่นำเรื่องไร้สาระมาบอก”

กู้เยียนตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ช่วยดูแลพวกเขาแทนข้าที ขาดเหลืออะไรให้มาบอก”

พอสาวใช้ทั้งสองออกไปแล้ว กู้เยียนก็ครุ่นคิดอย่างหนักโดยเฉพาะเรื่องที่จะบอกให้หลี่ฮูหยินพาญาติพี่น้องออกไปจากจวน

ขณะกำลังวางแผนอยู่ ชิงเฟิงก็มารายงานเรื่องที่หลี่ชิ่งฮุยมาขอเยี่ยมเสนาบดีกู้

เมื่อเห็นกู้เยียนเดินเข้ามาในห้องรับแขก หลี่ชิ่งฮุยก็ตะลึงกับรูปโฉมอันงดงามของนาง จนต้องรีบประสานมือคารวะ

“ข้าเห็นว่าท่านเสนาบดีกำลังล้มป่วย คุณหนูที่เป็นเพียงสตรีต้องดูแลแขกเหรื่อเพียงลำพัง อย่างไรเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ซ้ำหน้าที่การงานของข้าก็ต้องพบปะกับผู้คนมากมาย จึงคิดอยากช่วยแบ่งเบาภาระเท่าที่จะทำได้” เขากล่าวอย่างมั่นใจ

กู้เยียนผงกศีรษะ “ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็จะไม่เกรงใจ ที่ร้านตัดเสื้อกำลังขาดผ้าจำนวนหนึ่ง ท่านช่วยไปขนจากนอกเมืองได้หรือไม่?”

นัยน์ตาของหลี่ชิ่งฮุยทอประกายตื่นเต้น ด้วยคิดว่าอีกฝ่ายกำลังจะมอบกิจการร้านตัดเสื้อให้ จึงรับคำอย่างว่าง่าย

“คุณหนูสามไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลอย่างดีที่สุด!”

กู้เยียนกล่าวลาหลี่ชิ่งฮุยเพื่อไปดูเสนาบดีกู้ต่อ ซึ่งอาการป่วยของเขาเริ่มจะดีขึ้นแล้ว

แม้ร่างกายจะไม่แข็งแรง แต่จิตใจของกู้ฉีซิวกลับแจ่มใส“รอให้พ่อหายดี แล้วเราจะไปใช้ชีวิตเรียบง่ายแถบชนบทกัน”

กู้เยียนฉีกยิ้มด้วยความดีใจ แววตาเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นที่จะได้เห็นครอบครัวอยู่กันอย่างอบอุ่น

“ข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ”

แผนของกู้เยียนเสร็จสมบูรณ์ทุกประการ ทั้งเรื่องที่ไม่ต้องหมั้นหมายกับรัชทายาท ไม่ต้องแต่งงานกับเฉินฉงฮุย รวมถึงการที่บิดาของนางจะไม่ถูกฮ่องเต้ปลดออกจากราชการเนื่องจากถูกใส่ร้ายอีกด้วย

ผลของการกระทำเพียงเล็กน้อยก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างจากในอดีตชาติ นางจึงมั่นใจมากว่าชีวิตหลังจากนี้จะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน

จู่ๆ เสนาบดีกู้ก็พูดถึงหลี่ชิ่งฮุย น้องชายของภรรยาขึ้นมา“คนผู้นี้มีนิสัยเจ้าเล่ห์ เจ้าต้องระวังไว้ให้มาก”

กู้เยียนนวดแขนให้ผู้เป็นพ่อเบาๆ “เรื่องนี้ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง รักษาสุขภาพให้หายในเร็ววันก็พอ ข้าจะหาเหตุผลที่เหมาะสมในการขับไล่เขา เพื่อจะได้ไม่กระทบกระเทือนความรู้สึกของหลี่ฮูหยิน”เพียงแต่วิธีการของนางอาจต้องใช้เวลาสักหน่อย...

กู้ฉีซิวพยักหน้า “พ่อฝากด้วยก็แล้วกัน จะได้พักผ่อนให้เต็มที่”


ลู่ฉีมุ่งหน้าไปที่บ้านตระกูลเซียวเพื่อขอพบเซียวเจิ้งเฟิง

ที่หน้าประตูมีรูปปั้นสิงห์คู่อายุราวร้อยปีตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ร่องรอยต่างๆ รวมถึงตะปูที่ตอกอยู่บนบานประตูสีแดงบ่งบอกว่าสถานที่แห่งนี้มีประวัติอันยาวนาน

เด็กรับใช้กวาดตาสำรวจลู่ฉี ก่อนจะเข้าไปรายงานเซียวเจิ้งเฟิง

ไม่นานนักเขาก็ปรากฏตัวพร้อมกับพานางขึ้นหลังม้าไปด้วยกัน

ทุกการกระทำของพวกเขาอยู่ในสายตาของหลานชายเซียวเจิ้งเฟิงตลอด เพราะเข้าใจว่าลู่ฉีคือคนรักของผู้เป็นอา จึงนำเรื่องนี้ไปรายงานฮูหยินผู้เฒ่าเซียวทันที

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว