กู้เยียนพยักหน้า พร้อมกับหันไปพูดกับเถ้าแก่เจ้าของโรงรับจำนำต่อ “ต่างหูหยกชิ้นนี้เป็นสมบัติของตระกูลกู้ ไม่ทราบว่าเถ้าแก่รับจำนำไปในราคาเท่าไหร่ ข้าจะได้ซื้อคืน”
ชายชรารีบปฏิเสธ “ในเมื่อต่างหูชิ้นนี้เป็นของสำคัญที่หายไปจากจวนตระกูลกู้ ข้าก็ยินดีที่จะคืนให้”
แม้กู้เยียนจะเป็นถึงบุตรสาวของเสนาบดีฝ่ายซ้าย ทว่าความยากลำบากที่ต้องเผชิญมากว่าสิบปีก็ทำให้นางเข้าใจทุกข์ยากของชาวบ้านที่ต้องหาเช้ากินค่ำเป็นอย่างดี
หลังจากสั่งให้หลานถิงนำเงินจำนวนหนึ่งมามอบให้กับเถ้าแก่เจ้าของโรงรับจำนำแล้ว กู้เยียนก็ตรงเข้าไปหาหวังมามาที่นั่งตาแดงก่ำอยู่บนพื้น
เพราะนางมีนิสัยอ่อนแอ บ่าวเฒ่าผู้นี้จึงไม่ยำเกรง ทั้งยังกำเริบสืบสานถึงขั้นขโมยข้าวของในจวนไปขายบ่อยครั้ง สุดท้ายก็หักหลังด้วยการหลอกเอาทรัพย์สินไปจนหมด
กู้เยียนไม่คิดจะสะสางบัญชีแค้นในตอนนี้ เพียงแต่ต้องการรู้ธาตุแท้ของหวังมามาเท่านั้น
“นำตัวแม่นมหวังและบุตรชายไปขังแยกไว้ก่อน” นางหันไปสั่งหลานถิง
เนื่องจากเป็นบ่าวเฒ่าคนสนิทของกู้ฮูหยิน หวังมามาจึงได้รับมอบหมายให้ดูแลกู้เยียนจนเติบใหญ่ ทุกคนในจวนต่างให้ความเคารพนับถือนาง มาวันนี้นางกลับถูกสั่งขังด้วยเรื่องลักขโมย จนต้องคุกเข่าอ้อนวอนเด็กสาวที่ตนไม่เคยเห็นหัวมาก่อน
“เห็นแก่ที่ฮูหยินเคยสั่งเสียไว้ก่อนตาย ข้าเลยทะนุถนอมดูแลท่านเป็นอย่างดี ไม่คิดว่าพอหมดประโยชน์ จะถูกเขี่ยทิ้งแบบไม่ไยดีเช่นนี้!” หวังมามาตัดพ้อ
ได้ยินอีกฝ่ายรำเลิกบุญคุณ กู้เยียนก็ได้แต่สมเพชตนเองที่ปล่อยให้บ่าวข้างกายยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นข้ออ้างยามอับจนอยู่เสมอ
“จับสองแม่ลูกขังแยกกัน จากนั้นค่อยสอบสวนทีละคน ข้าต้องการรู้ว่าพวกเขาก่อเรื่องอะไรไว้บ้าง” นางกำชับหลานถิงอีกครั้งหลังจากหวังมามาและบุตรชายถูกนำตัวออกไปแล้ว
แววตาเด็ดเดี่ยวราวกับคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานทำหลานถิงประหลาดใจไม่น้อย---เหตุใดหญิงสาวที่อ่อนต่อโลกเช่นนางจึงคิดเรื่องพวกนี้ได้ หรือจะเป็นเพราะอาการป่วย?
สั่งการเสร็จเรียบร้อย กู้เยียนก็กลับห้องไปพักผ่อนต่อ
ที่นั่น ชิงเฟิงสาวใช้ของนางได้เตรียมน้ำชา ผลไม้กวนซิ่งเหรินปิ่ง* บัวโหลวเกา** และขนมหวานอีกมากมายไว้ให้
กู้เยียนที่เพิ่งจะฟื้นจากอาการป่วยยังคงอ่อนเพลียอยู่มาก นางละเลียดกินขนมและชาจากยอดอ่อนของต้นหยางเสี้ยนอย่างช้าๆจากนั้นก็สั่งให้สาวใช้ยกเก้าอี้มาวางที่ริมหน้าต่างเพื่อนั่งชมทิวทัศน์
ทิศตะวันตกของจวนมีต้นไผ่ขึ้นเรียงราย สีเขียวของมันช่วยเสริมให้หินอ่อนแกะสลักรอบด้านดูโดดเด่นขึ้นจนบ้านเก่าแก่ล้าหลังกลับมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
แม้จะผ่านมาครึ่งวันแล้ว แต่กู้เยียนก็ยังรู้สึกราวกับตกอยู่ในความฝัน นางยังคงเป็นคุณหนูสามวัยสิบห้าปีแห่งจวนตระกูลกู้ ผู้มีบิดาคอยประคบประหงมราวกับไข่ในหิน
กู้เยียนเผลอยิ้มออกมาอย่างมีความสุข หากนี่คือเรื่องจริง นางก็จะฉวยโอกาสนี้เปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทางที่ดีขึ้นให้ได้
“เที่ยงนี้คุณหนูอยากกินอะไรเจ้าคะ?” หยุนเฟิงที่เดินเข้ามาพอดีโพล่งขึ้น
สุขภาพของกู้เยียนไม่สู้ดีมาตั้งแต่เด็ก เสนาบดีกู้จึงสั่งให้ทุกคนในโรงครัวพิถีพิถันกับอาหารของนางเป็นพิเศษ
พอนึกถึงกลิ่นหอมของแกงขาหมูตุ๋นในวันที่เดินหิวโซอยู่บนถนน กู้เยียนก็ตอบกลับแบบไม่ลังเลว่า “ช่วยเตรียมขาหมูตุ๋นถั่วเหลืองให้ข้าด้วย”
หยุนเฟิงขมวดคิ้วสงสัย “คุณหนูไม่ชอบกินของพวกนี้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”
กู้เยียนปรายตามองอีกฝ่าย “ข้าอยากลองกินอาหารที่ต่างจากเดิมบ้างไม่ได้รึ?”
“ได้เจ้าค่ะ บ่าวจะไปสั่งให้เดี๋ยวนี้”
“เอาผัดกากถั่วเหลืองมาจานหนึ่งด้วย”
“คุณหนูอยากกินจริงๆ หรือเจ้าคะ?”
กากถั่วเหลืองคือของเหลือจากการทำน้ำเต้าหู้หรือเต้าหู้ก้อน คนส่วนใหญ่ไม่นิยมรับประทานและมักจะเททิ้งมากกว่า อย่าว่าแต่คุณหนูในตระกูลสูงที่จะไม่กินของประเภทนี้ แม้แต่สาวใช้อย่างหยุนเฟิงก็ไม่คิดที่จะกินเช่นกัน แต่สำหรับกู้เยียน มันคือวัตถุดิบที่มักจะไปขอซื้อจากโรงงานเต้าหู้ด้วยเงินไม่กี่อีแปะเพื่อนำมาคลุกแป้งและทอดให้เฉินเยว่ที่ต้องอ่านหนังสือสอบอย่างหนักได้กิน ตลอดจนเก็บไว้ทำขนมให้เขารองท้องยามดึกอีกด้วย
เฉินเยว่ชื่นชอบฝีมือการทำขนมของกู้เยียนมาก ทั้งยังบอกด้วยว่าขนมของนางเลิศรสกว่าใคร
ได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง ‘ชิงเฟิง’ ที่แก่กว่าหยุนเฟิงสองปีก็อดที่จะอมยิ้มไม่ได้ “คุณหนูเพิ่งหายจากอาการป่วยย่อมต้องอยากกินอาหารแปลกใหม่เป็นธรรมดา เจ้ารีบไปสั่งให้พ่อครัวทำเถอะ”
หยุนเฟิงอายุเพียงสิบสามปีเท่านั้น เมื่อถูกพี่สาวสั่งนางจึงต้องรีบทำตาม
กู้เยียนมองตามหยุนเฟิงที่เดินออกจากห้องและสวนกับ‘หลี่ฮูหยิน’ ที่หน้าเรือนหลังใหญ่พอดี
หลังจากที่มารดาของนางเสียชีวิต เสนาบดีกู้ก็โศกเศร้าอย่างหนัก แต่เนื่องจากงานราชการที่ล้นมือทำให้เขาไม่มีเวลาจัดการเรื่องในบ้านและจำต้องแต่งงานกับคนที่ถูกจัดหามาให้นั่นก็คือสตรีนางนี้
เสนาบดีกู้กังวลว่าภรรยาใหม่จะไม่ยอมเลี้ยงดูบุตรสาวของตน ทว่าหลี่ฮูหยินกลับผ่านการคัดเลือกที่หนักหน่วงมาได้ ซ้ำยังให้ความเคารพกู้เยียนและดูแลทุกอย่างในจวนแทนสามีได้เป็นอย่างดี
หลายวันมานี้ กู้เยียนป่วยหนักจนล้มหมอนนอนเสื่อ หลี่ฮูหยินกังวลว่าเรื่องของหวังมามากับอนุโจวจะบานปลายจนไปรบกวนลูกเลี้ยงเข้า คาดไม่ถึงว่าสุดท้ายนางจะออกมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง
“ลำบากคุณหนูสามจนได้” หลี่ฮูหยินเดินเข้ามาในห้อง “อายุเท่านี้ก็สามารถจัดการปัญหาในจวนได้อย่างเฉียบขาดแล้ว ไม่แปลกที่ท่านพี่จะทั้งรักทั้งหวง” กล่าวจบก็ดันร่างของเด็กชายอายุเจ็ดขวบให้มายืนตรงหน้า “ต้องเอาอย่างพี่สาวให้ได้นะชิงเอ๋อร์”
เด็กคนนี้คือบุตรชายของหลี่ฮูหยินกับบิดาของนาง ก่อนหน้านี้มารดาของกู้เยียนได้ให้กำเนิดบุตรสาว แต่ไม่นานก็เสียชีวิต ตั้งแต่นั้นมากู้ฮูหยินก็ไม่ตั้งครรภ์อีก พอเสนาบดีกู้อายุได้สามสิบสามปี
นางจึงขอให้เขาแต่งภรรยาอีกคนซึ่งก็คืออนุโจว และได้ให้กำเนิดกู้หยุนในเวลาต่อมา
เมื่อมีทารกน้อยอยู่ในจวน บรรยากาศก็เต็มไปด้วยความปิติยินดี หลังจากนั้นไม่นานกู้ฮูหยินก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดกู้เยียน
แม้นางจะเป็นเพียงบุตรสาว แต่ก็เป็นลูกที่เกิดจากภรรยาคนแรก เสนาบดีกู้จึงรักและทะนุถนอมนางอย่างมาก ทั้งยังไม่โหยหาที่จะมีบุตรชายไว้สืบสกุลอีกต่อไป
ครั้นกู้ฮูหยินเสียชีวิตลง เขาจึงยอมแต่งงานกับหลี่ฮูหยิน เพื่อที่นางจะได้ช่วยดูแลกู้เยียนและคอยจัดการทุกอย่างภายในจวนแทนเขา ซึ่งหลี่ฮูหยินก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายที่มีนามว่า ‘กู้ชิง’
แม้เสนาบดีกู้จะดีใจที่ได้บุตรชาย ทว่าความเสียใจจากการสูญเสียภรรยาคนแรกก็ยังคงฝังลึกจนไม่อาจหลุดพ้นจากความทุกข์นี้ไปได้
หลี่ฮูหยินประคบประหงมกู้ชิงจนเขากลายเป็นเด็กอ้วนท้วนสมบูรณ์ แต่กลับมีนิสัยขี้ขลาดอย่างมาก
ด้วยรู้ว่าสามีไม่ชื่นชอบในตัวบุตรชาย หลี่ฮูหยินจึงไม่กล้าวางอำนาจในบ้าน ทั้งยังเจียมเนื้อเจียมตัวและให้เกียรติคุณหนูสามกว่าใคร
กู้เยียนมองเด็กชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความเอ็นดู ดวงตาของเขากลมโตไม่ต่างจากนาง ผิวพรรณผุดผ่อง ใบหน้าอิ่มเอิบ แต่กลับมีสีหน้าหวาดกลัวตลอดเวลา
ก่อนที่ชะตาจะพลิกผันจนต้องกลายเป็นหญิงเร่ร่อน นางปฏิบัติต่อน้องชายคนนี้ด้วยความรักเสมอมา เพียงแต่ไม่ค่อยได้ใช้เวลาร่วมกันเนื่องจากเขาต้องเข้าเรียนทุกวัน ส่วนบิดาของนางก็ยุ่งอยู่แต่กับภารกิจทางราชการจนไม่มีเวลาได้ดูแลเขาอย่างใกล้ชิด
แม้จะอายุแปดขวบแล้ว แต่กู้ชิงก็ไม่ฉายแววสง่างามเฉลียวฉลาด หรือกล้าหาญใดๆ ออกมา ซ้ำยังขี้กลัวจนน่าเป็นห่วง
ตอนที่ตระกูลกู้ล่มสลาย หลี่ฮูหยินถูกลุงแท้ๆ บังคับให้แต่งงานใหม่ กู้เยียนยังคงจำสายตาอาลัยอาวรณ์ที่อีกฝ่ายมองนางยามต้องพลัดพรากจากกันได้อยู่
กู้เยียนกุมมือน้องชาย ถามไถ่เรื่องความเป็นอยู่และการเรียนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ยิ่งได้ฟังกู้ชิงเล่าเรื่องราวต่างๆ ด้วยความตั้งใจ นางก็ยิ่งเอ็นดูเขามากขึ้น
“ชิงเอ๋อร์ เจ้าเก่งไม่เบาเลยนะ” กู้เยียนลูบศีรษะของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา “หากท่านพ่อรู้จะต้องดีใจมากแน่ๆ”
นัยน์ตาของกู้ชิงเปล่งประกาย “ท่านพ่อจะชอบข้าแล้วใช่ไหม?”
หากเป็นกู้เยียนคนเดิม นางคงไม่สนใจแววตาที่เต็มไปด้วยความรักและปรารถนาจะเป็นที่ยอมรับของเขา แต่หลังจากผ่านโลกมามาก นางก็อดสงสารและเห็นใจน้องชายต่างมารดาคนนี้ไม่ได้
“แน่นอนอยู่แล้ว วันที่ท่านพ่อกลับมาพี่จะพาเจ้าไปพบและเล่าเรื่องผลการเรียนของเจ้าให้ฟังดีหรือไม่?”
สีหน้าของกู้ชิงดูสดใสขึ้น โดยเฉพาะแววตาที่ส่องประกายแห่งความหวัง
หลี่ฮูหยินมองลูกเลี้ยงอย่างประหลาดใจ แม้อีกฝ่ายจะนิสัยดีไม่เย่อหยิ่งทระนงตน ทั้งๆ ที่ถูกตามใจอย่างหนัก แต่การที่นางหวังดีกับบุตรชายของตนถึงเพียงนี้ก็ทำให้หลี่ฮูหยินกระอักกระอ่วนไม่น้อย
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่