เนื่องจากต้องคุกเข่าท่ามกลางหิมะเป็นเวลานาน กู้ฉีซิวจึงผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า
พอเห็นสามีสะลึมสะลือตื่น หลี่ฮูหยินก็รีบเข้าไปป้อนน้ำขิงตามคำสั่งของกู้เยียน จากนั้นเขาก็ล้มตัวลงนอนต่อ กระทั่งมีไข้สูงในตอนดึก
ความร้อนที่แผ่ออกจากร่างของเสนาบดีกู้ทำหลี่ฮูหยินตกใจจนต้องสั่งให้ซานหูไปตามกู้เยียน
ซานหูรีบสวมเสื้อคลุมและตรงไปยังเรือนฝั่งตะวันตก
กู้เยียนรู้ดีว่าหลี่ฮูหยินจะส่งคนมาตาม จึงนอนรออยู่ในห้องอย่างเงียบๆ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
ชิงเฟิงลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมและเดินไปเปิดประตู ไม่ทันจะได้แง้มประตูออกดี เสียงของซานหูก็ดังลอดเข้ามา
“คุณหนูเจ้าคะ นายท่านไม่สบายหนักมาก!”
กู้เยียนลุกพรวดขึ้นนั่ง “บอกลู่ฉีกับหลานถิงให้ตามไปที่เรือนหลังใหญ่” จากนั้นนางก็รีบเดินฝ่าหิมะไปยังห้องนอนของผู้เป็นบิดา
“จะทำอย่างไรกันดี!” หลี่ฮูหยินกระวนกระวาย
ท่ามกลางแสงไฟสลัว กู้ฉีซิวนอนหงายนัยน์ตาปิดสนิท ใบหน้าแดงก่ำด้วยพิษไข้ กู้เยียนขมวดคิ้วพลางสั่งให้ทุกคนเปิดหน้าต่าง และนำผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตัวให้เขา
“อากาศข้างนอกหนาวมาก ท่านพี่ก็กำลังไม่สบาย เหตุใดจึงอยากให้เปิดหน้าต่าง?” หลี่ฮูหยินไม่เห็นด้วย
“เปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศถ่ายเท” กู้เยียนตอบ “ในห้องอากาศอุดอู้ ท่านพ่อจะหายใจลำบาก”
หลี่ฮูหยินคร้านจะโต้เถียง จึงเดินไปเปิดหน้าต่างตามที่อีกฝ่ายต้องการ
หลานถิงมาถึงพร้อมกับหมอ ‘ซุนคังซุน’ ผู้มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง ทั้งยังเป็นเพื่อนรักของกู้ฉีซิวด้วย
พอได้ลองจับชีพจร สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป “ท่านกู้เครียดจนเป็นโรคหัวใจ ต้มยาให้เขากินอย่าได้ขาด พรุ่งนี้ข้าจะมาดูอีกรอบ”
กู้เยียนกล่าวขอบคุณ ก่อนจะออกไปส่งเขาด้วยตนเอง
พอหมอซุนกลับไปแล้ว กู้เยียนก็เข้าไปประคองผู้เป็นบิดาและป้อนยาให้ กระทั่งรุ่งสาง อาการของเขาก็ยังไม่ดีขึ้น
“วันนี้บุตรสาวของเราจะกลับมาเยี่ยมบ้าน” อนุโจวกระซิบบอกสามี
“เช่นนั้น อนุโจวก็รีบไปเตรียมตัวต้อนรับพี่รองเถอะ ข้าจัดการทางนี้เอง” กู้เยียนส่งยิ้มให้
นางเคยดูแลเฉินเยว่ที่ล้มป่วยเป็นอาทิตย์ กระทั่งได้พบกับหมอซุนและทำตามคำแนะนำของเขา โดยเฉพาะวิธี ‘ทุยจ่านจู๋’ ซึ่งต้องใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างกดไล่สลับกันไปมาตั้งแต่หว่างคิ้วจนถึงหน้าผาก
“คุณหนูรักษาโรคได้ด้วย?” ชิงเฟิงเบิกตากว้าง
“ข้าอ่านเจอในหนังสือน่ะ เห็นว่าการกดจุดแบบนี้ช่วยลดไข้ได้”
เมื่อทำทุยจ่านจู๋เสร็จแล้วนางก็ทำ ‘ทุยจ่านกง’ ต่อ ซึ่งก็คือการนวดกดจุดตั้งแต่หัวคิ้วไปถึงหางคิ้วจำนวนร้อยครั้ง และนวดขมับแบบ ‘ยุ่นไท่หยาง’ อีกร้อยครั้ง
กว่าจะเสร็จสิ้นขบวนการรักษา เหงื่อก็ผุดพรายขึ้นเต็มใบหน้าและแผ่นหลังของนางจนชุ่ม เพราะไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย พละกำลังของนางจึงไม่มากเหมือนชาติที่แล้ว
หลังจากนวดเสร็จ กู้เยียนก็ทาบมือลงบนหน้าผากของบิดาเพื่อตรวจอุณหภูมิ พอดีกับที่หลี่ฮูหยินเข้ามาดูอาการของสามี
“ยาของท่านหมอดีจริงๆ” หลี่ฮูหยินถอนหายใจอย่างโล่งอก“นี่ก็จวนเวลาแล้ว คุณหนูสามรีบไปแต่งตัวเถอะ คุณหนูรองกับสามีคงใกล้ถึงแล้ว”
ยามซื่อ หลี่ฮูหยินและอนุโจวออกไปยืนรอขบวนของกู้หยุนด้วยกัน
ผ่านไปครู่หนึ่ง กู้หยุนในชุดสีแดงปักลายดอกไม้แสนงดงามและสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวก็เดินเข้ามาในห้องรับแขกพร้อมกับเฉิงจิงฮั่น แม่นมซุน และเด็กรับใช้อีกสี่คน
เห็นนางสวมใส่เครื่องประดับสวยงามบนศีรษะ แต่งหน้าและประทินผิวอย่างดี แววตาเปี่ยมไปด้วยความสุข กู้เยียนก็เบาใจลงมาก
เช่นเดียวกับพี่เขย ซึ่งเป็นคุณชายจากตระกูลสูงส่ง ใบหน้าของเขาแลดูมีความสุขไม่ต่างจากกู้หยุน
ชาติที่แล้วตอนแยกจากกัน กู้หยุนเดินร้องไห้ท้องโย้ออกมาส่งกู้เยียนที่หน้าจวน โชคดีที่เฉิงจิงฮั่นไม่เคยทอดทิ้งนาง แม้ทุกคนในตระกูลเฉิงจะดูแคลนสะใภ้คนนี้ก็ตาม
ตลอดสิบปีที่ตกระกำลำบาก กู้เยียนคอยติดตามเรื่องพี่สาวคนนี้ตลอด กระทั่งกู้หยุนย้ายออกจากเยี่ยนจิง พวกนางก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย
คิดถึงตรงนี้ นางก็รีบลุกขึ้นต้อนรับพี่สาวและพี่เขยอย่างอบอุ่น ราวกับไม่ได้พบหน้ากันนาน
เมื่อไม่เห็นผู้เป็นบิดา กู้หยุนจึงถามด้วยความสงสัย “ท่านพ่อยุ่งอยู่หรือ?”
วันแรกที่เจ้าสาวได้กลับบ้านนับเป็นพิธีที่สำคัญ บรรดาพ่อและแม่จะต้องออกมาต้อนรับขับสู้ว่าที่ลูกเขยและบุตรสาว ทว่าไร้ซึ่งเงาของเสนาบดีกู้
“พี่รองอย่าได้กังวล ท่านพ่อเผลอนั่งตากลมนานไปหน่อยเลยไม่ค่อยสบาย”
“พวกเราควรไปเยี่ยมท่านนะ” เฉิงจิงฮั่นออกความเห็น
สีหน้าที่เปลี่ยนไปของน้องสาวทำกู้หยุนไม่สบายใจ “เกิดอะไรขึ้นกับท่านพ่อ?”
กู้เยียนไม่รู้จะปกปิดอีกฝ่ายอย่างไร จึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ฟัง
“ท่านพ่อกรำงานหนักมานานหลายปี ไม่แปลกที่ครั้งนี้จะล้มหมอนนอนเสื่อ” กู้หยุนส่ายศีรษะ
เมื่อทุกคนไปถึง ไข้ของกู้ฉีซิวก็เริ่มลดลง เหลือเพียงใบหน้าซีดเผือดและริมฝีปากแห้งผากเท่านั้น
กู้หยุนน้ำตาไหลด้วยความสงสาร นางตำหนิตนเองที่ไม่ได้กลับมาดูแลผู้เป็นบิดาเลย
“พ่อเจ้าเพิ่งจะล้มป่วยเมื่อคืน ข้าจึงไม่ได้ส่งข่าวให้ทราบ”หลี่ฮูหยินอธิบาย “แต่ไข้ก็เริ่มลดลงแล้ว อีกไม่กี่วันคงหายเป็นปกติ”
“หากเจ้ากังวล เรากลับมาเยี่ยมท่านพ่ออีกก็ได้” เฉิงจิงฮั่นเสนอ
“เจ้าค่ะ” กู้หยุนตอบเพียงสั้นๆ
เนื่องจากทุกคนเป็นห่วงอาการของเสนาบดีกู้ อาหารค่ำวันนี้จึงเรียบง่ายพอเป็นพิธี
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ กู้หยุนก็สอบถามอาการของบิดาอย่างละเอียด
“ท่านพ่อสะลึมสะลือตื่นสองสามครั้ง ดื่มน้ำขิงและน้ำแกงได้บ้าง อาการโดยรวมไม่น่าเป็นห่วง” กู้เยียนตอบ
กู้หยุนเองก็เล่าเรื่องหลังแต่งงานให้ฟังว่ากำลังอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน วันๆ พ่อสามีเอาแต่คร่ำเคร่งอยู่กับตำรา นางจึงต้องดูแลทุกอย่างในจวนแทนเขา
กู้เยียนนึกขึ้นได้ว่า อนุโจวคงอยากจะสนทนากับบุตรสาวบ้าง จึงขอตัวกลับห้องก่อน
“น้องสามหาใช่คนอื่นไกล หากท่านแม่มีอะไรกับข้าก็พูดได้เลย” กู้หยุนไม่ยอม
อนุโจวทำหน้าไม่ถูกและได้แต่สบตากับกู้เยียน
“ข้าขอตัวไปดูยาที่ต้มให้ท่านพ่อประเดี๋ยว” กู้เยียนเปิดทางให้อีกฝ่าย
พอกู้เยียนคล้อยหลังไป อนุโจวก็รีบเปิดประเด็น “ไปเป็นฮูหยินบ้านนั้น สุขสบายดีหรือไม่?”
กู้หยุนพยักหน้าตอบ
“ได้ดีแล้วก็อย่าลืมแม่กับอาเสียล่ะ!” ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังของอนุโจวจ้องบุตรสาวใจจดใจจ่อ
กู้หยุนพอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายต้องพูดแบบนี้ จึงรู้สึกเอือมระอาอย่างมาก นอกจากมีหน้าที่ให้กำเนิดแล้ว ผู้เป็นมารดาไม่เคยเลี้ยงดูนางด้วยความเอาใจใส่เลย
“ท่านแม่อยากให้คนหัวเราะเยาะข้าและนินทาว่าตระกูลกู้ถึงคราวตกต่ำแล้วงั้นหรือ?”
อนุโจวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“ข้าได้ฝากฝังท่านแม่และท่านอาไว้กับน้องสามแล้ว นางรับปากว่าจะไม่ปล่อยให้พวกท่านต้องลำบาก ดังนั้น ข้าจะไม่เอ่ยปากขอสิ่งใดจากบ้านสามีเพื่อให้ตระกูลของเราโดนดูถูกอย่างแน่นอน!”
พอถูกตำหนิ อนุโจวก็ชักสีหน้า “ดูเถอะ แต่งออกไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ปีกกล้าขาแข็งแล้ว ช่างอกตัญญูเสียจริง!”
กู้หยุนยิ้มอย่างขมขื่น “แล้วจะให้ข้าทำอย่างไร ให้ไปขอเงินพวกเขามาจุนเจือครอบครัว ทั้งๆ ที่ตระกูลกู้ก็ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินงั้นหรือ?”
อนุโจวนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง แม้จะรู้สึกละอาย แต่นางก็อยากได้อะไรตอบแทนจากบุตรสาวที่เลี้ยงดูมานานหลายปีคนนี้บ้าง
“หากคุณหนูสามเกิดไม่พอใจข้าและขับไล่ออกจากจวน เจ้าจะทำอย่างไร?”
“แล้วท่านแม่อยากให้ข้าทำอย่างไร?”
“ก็หาทางให้ข้าได้เข้าไปอยู่ในบ้านโน้นสิ! พวกเขาไม่มีวันดูแลเจ้าได้ดีกว่าแม่แท้ๆ หรอก!”
กู้หยุนถอนหายใจด้วยความเอือมระอา “น้องสามเพิ่งจะเพิ่มเงินให้ท่านเดือนละสามตำลึงไม่ใช่หรือ?”
“แค่นั้นจะไปพออะไร!” อนุโจวตวาด
กู้หยุนหลุบตาลงและยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อน เรื่องของนางช่างตอกย้ำคำโบราณที่ว่า ‘มังกรย่อมเป็นมังกร ลูกหงส์ย่อมเป็นหงส์ ลูกหนูย่อมขุดรูอยู่’ เหลือเกิน
นางเงยหน้าขึ้นสบตากับอนุโจวที่กำลังรอคำตอบอย่างมีความหวัง “ข้าจะลองหาวิธีก็แล้วกัน แต่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้”
อาการป่วยของเสนาบดีกู้ไม่มีทีท่าว่าจะหาย กู้เยียนและหลี่ฮูหยินจึงต้องดูแลอย่างใกล้ชิด
พอทราบเรื่องที่เขาล้มป่วย ฮ่องเต้ก็รุดมาเยี่ยมด้วยพระองค์เอง
กู้ฉีซิวน้ำตาไหลพรากด้วยความซาบซึ้ง เมื่อยังไม่รู้ว่าจะหายป่วยเมื่อไหร่ เขาจึงทูลขอไปพักรักษาตัวที่นอกเมือง ทว่าฮ่องเต้เอ่ยรั้งเอาไว้
เมื่อพระองค์เสด็จกลับไปแล้ว ขุนนางน้อยใหญ่ก็ทยอยกันมาเยี่ยม จนกู้เยียนต้องออกหน้าดูแลแขกในฐานะเจ้าบ้าน
กู้ชิงฝึกซ้อมวรยุทธอย่างสม่ำเสมอแม้อากาศจะหนาว พอเสร็จภารกิจก็จะมาเยี่ยมผู้เป็นบิดาทันที กู้หยุนเองก็เช่นกัน นางพยายามปลีกตัวมาเยี่ยมเท่าที่จะทำได้ เพราะการที่หญิงสาวแต่งงานแล้วจะกลับบ้านมาปรนนิบัติบิดามารดาบ่อยๆ เป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว