ตอนที่ 9, คาถาไฟลาวา
“ข้าว่าตบะของมารดาท่านต้องแรงกล้ามากๆ ถึงทำให้นายน้อยมีดวงจิตสำนึก เหมือนกับผู้ใหญ่ มีความเฉลียวฉลาดท่านต้องเป็นอสูร ที่มีตบะภูมิปัญญาสูงส่งแน่,
แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ในเขตดินแดนอสูรน้ำจืดของพวกเรา มีพลังงานที่น้อยนิด ทรัพยากรที่จะพัฒนาบำรุงสมองให้กับมารดาของนายน้อย แทบจะเรียกว่าหาไม่ได้ในเขตแดนนี้ นอกจากเขตแดนวารีสถานศักดิ์สิทธิ์เขตใหญ่ทั้งหก หรืออีกอย่างท่านอาจจะเป็นบุตรของผู้สูงศักดิ์ในแดนวารีน้ำจืด..”
หญิงสาวนึกคำนวณแบบไม่เข้าใจเท่าไหร่ เธอไม่เคยเห็นลักษณะที่แปลกประหลาดไม่กินเนื้อสดของ อสูรตัวน้อยนี้,
“ไม่เป็นไรนายน้อยไม่กินข้าก็ไม่สามารถบังคับท่านได้ ท่านเป็นนายเหนือข้าเอาอย่างนี้ ข้าจะเก็บไว้วันไหนท่านมีถุงนิมิตรประจำตัวแล้วข้าจะคืนให้ท่าน”
หญิงสาวพูดจบก็แบมือออก มีแสงวูบวาบเกิดขึ้น หัวของนกปีศาจก็หายวับเข้าไปในตัวนาง,
“ขอโทษนะ..สงสัยทำไม? ต้องกินพวกอสูรดิบๆ แบบนี้ พวกเราไม่ปรุงมันเป็นอาหารก่อนล่ะ ถึงค่อยเอามารับประทานอย่างน้อย มันก็ลดความคาวของเนื้อสัตว์อสูรพวกนี้ได้นะ…?? ”
กริชเพชรถามขณะที่เขานั่งลง หญิงสาวช้อนมืออุ้มอสูรตัวน้อย ที่สูงประมาณลูกกระต่ายโตกว่ากระรอกนิดหน่อย
“ก็ไม่มีพวกอสูรนิยมกินกันแบบนั้นหรอกนะ ส่วนมากก็จะกลืนกินสดๆ ถ้าตัวไหน เป็นอสูรขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถพัฒนากายอสูรขึ้น เกินอันดับสามไปได้ก็จะกลืนกินอาหารไปทั้งตัวเป็นๆ เพราะพวกนี้มันจะตัวใหญ่ขยายขึ้นเรื่อยๆ บางตัวอาจจะเท่าภูเขา”
นางอธิบายซะจนน่ากลัว,
“แต่พวกที่ผ่านการพัฒนากายอสูรถึงระดับสี่ขึ้นไป ก็จะกินบางส่วนเป็นอาหาร ที่มีคุณสมบัติเพิ่มพูนพลังกายของอสูรพวกนั้นได้ ก็จำพวกเลือดหรือสมองอะไรพวกเนี้ย..”
นางอธิบายพร้อมกับ ใช้มือลูบไล้ผิวอ่อนๆ ของกริชเพชรเบาๆ,
“ยังไงข้าไม่เข้าใจกายอสูรระดับสามระดับสี่ มันแตกต่างแบบไหนหนิงหนิง? คล้ายๆกับว่า, ถ้าพัฒนากายอสูรให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้น ก็จะดำรงชีวิตแบบสัตว์สังคมใช่หรือไม่ ผู้ที่พัฒนาไม่ถึงก็จะเป็นแบบสัตว์เดรัจฉานอย่างนั้นรึ”
กริชเพชรถามด้วยความสงสัย, ฟังเหมือนว่ากายอสูร สามารถพัฒนาไปเป็นระดับที่สูง และดำรงชีวิตด้วยการเลือกกินได้, เหมือนว่าตัวที่พัฒนาแล้วจะมีภูมิปัญญามากขึ้น
“ดูเหมือนท่านจะเข้าใจอะไรง่ายๆ ปัญญาท่านมีในระดับสูงจริงๆ แม้ว่าจะเป็นทารกตัวกระจ้อยร่อยแบบนี้,
ฮือ..ใช่ถูกต้องแล้วการกินเนื้ออสูรเลือดอสูรหรือสมองจะสามารถเลื่อนระดับกายภาพของอสูรตัวนั้น ให้มีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงร่างกายใหม่ขึ้นเรื่อยๆ ถ้าสิ่งที่กินลงไปบริสุทธิ์มากกว่าก็จะสามารถกลายร่างเป็นคนหรือสุดท้ายกลายเป็นเทพ,
เมื่ออสูรระดับสี่ขึ้นไปมีภูมิปัญญาจึงเลือกกินส่วนอาหารที่มีสิ่งเจือปนไม่บริสุทธิ์ให้น้อยที่สุด ถ้ากินส่วนสิ่งเจือปนที่ชั่วร้ายของเนื้ออสูรเข้าไปมากๆ จะก่อให้เกิดเป็นเดรัจฉานกลายร่างเป็นสัตว์อสูรเต็มตัว,
มีแต่สัญชาตญาณในการล่าเหยื่อเท่านั้น พวกมีปัญญาสูงกว่าจึงเลือกวิธีการกินส่วนบริสุทธิ์ที่สุดของอสูร คือมันสมองและเลือดเพื่อป้องกันการเจือปนจนร่างกายผิดปกติบิดเบี้ยวน่าเกลียดน่ากลัว”
นางพูดพร้อมกับมองหน้าอสูรน้อยน้ำจืดด้วยสายตา ที่คาดหวังว่าเขาจะเจริญเติบโตขึ้นสู่ลำดับชั้นที่สี่ได้ ไม่เช่นนั้นนายน้อยของนางก็คงจะเป็นเพียงอาหารของเหล่าสัตว์อสูรเท่านั้น'
เพราะเหตุว่าการเลือกกินของเขา มันขัดขวางการเจริญเติบโตของกายอสูรที่ต้องพัฒนาให้ร่างตนเองแข็งแกร่งบริสุทธิ์ขึ้นไปเรื่อยๆ
“ในโลกใบนี้ประกอบด้วยสี่ชนชั้นเท่าที่ข้ารู้มา หนึ่งคืออสูร สองคืออสูรครึ่งคน สามอสูรครึ่งเทพ และสุดท้ายคือเทพอสูร, และมีบางคนกล่าวว่ายังมีสูงสุดเหนือห่วงโซ่อาหารในพิภพนี้, คือมีตำนานเทพอสูรจอมราชันเป็นเจ้าพิภพ ตั้งแต่ข้าเกิดมาจนตายก็ไม่เคยพบ ชนชาติแบบนี้เลยไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่”
กริชเพชรมองหน้าหญิงสาว เหมือนมีปมความคิดอยู่ในใจ หว่างคิ้วเขาผูกเข้าหากันแบบสงสัย,
“แล้วพี่หนิงหนิงเป็นประเภทไหนล่ะ ให้ข้าเรียกท่านเป็นพี่ละกันนะ..ยังไงท่านก็เป็นผู้ที่มีบุญคุณต่อข้า”
สาวสวยอกโตยกยิ้มมุมปากให้กับอสูรตัวน้อย ที่ปากกล้าเฉลียวฉลาดตัวนี้,
“ข้าก็เป็นเพียงอสูรที่ตายแล้วแค่นั้นแหละ มีตบะระดับสี่เมื่อถูกผนึกด้วยความตายล่องลอยไป ทุกหนทุกแห่งในขอบอาณาจักรเขตที่ข้าเกิด ข้าเป็นอสูรวารีน้ำจืดข้าก็อยู่ในขอบเขตนี้”
นางอธิบายถึงสภาพของนางให้กริชเพชรฟังเขายิ่งสงสัยหนักขึ้นไปอีก,
“เมื่อท่านตายแล้วทำไมยังมีดวงจิตให้ข้าปลุกขึ้นมาได้เล่า ไม่ไปเป็นอาหารเสริมพลังให้กับพวกอสูรที่ฆ่าท่าน”
ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย หญิงสาวขยับอ้อมแขนเธอออก วางเขาลงที่ตัก
“นายน้อยเข้าใจถูกต้องแล้วถ้าข้าถูกฆ่าตายด้วยพวกอสูร เลือดเนื้อก็ต้องถูกกลืนกิน และบอลดวงจิตแก่นแท้ ก็จะต้องถูกสูบพลังไปด้วย นั่นหมายความว่าดวงวิญญาณต้องดับสูญ แต่ด้วยเพราะว่าข้ามิได้ถูกฆ่าตาย เป็นถูกภัยพิบัติสังหาร ทำให้ข้าจบชีวิตลงเหลือไว้แต่ดวงจิตแก่นแท้ ที่ถูกความตายปิดผนึก
จึงล่องลอยไปแบบไร้จิตวิญญาณ มีเพียงสัญชาตญาณ ที่ดุร้ายกระหายเลือด ต้องการเติมเต็มพลังตามความเคยชินดั้งเดิม แต่ถามว่าตายเพราะเหตุใด ข้าก็ไม่สามารถบอกนายน้อยเพราะว่า เรื่องหลังจากนั้นข้ามิอาจจำได้"
หญิงสาวพูดพร้อมกับขยับตัวเอื้อมมือไปจับอสูรน้อย เจ้านายผู้ผูกสัญญาดวงจิตกับนางวางลงไว้ที่พื้น เหมือนจะขยับตัวลุกขึ้น,
“เดี๋ยวก่อน..ข้าอยากรู้อีกเรื่อง ทำไม? ข้า ถึงสามารถผูกดวงจิตทำสัญญากับเจ้าได้เล่า”
กริชเพชรยังไม่ยอมอยากรู้อีกเรื่อง กระโดดขึ้นไปนั่งบนตัก ที่มีต้นขาขาวเนียนสะอาดเหมือนหยวกกล้วยของนาง
‘แฮ่ๆ ..นุ่มเนียนจังนิ..เอิ๊กๆ ’
“แบบไหนละ..เรื่องมันยาวนะเอาแบบสั้นๆ แล้วกัน..คือผู้ที่สามารถปลดปล่อยผนึกความตายให้ภูตอสูร ต้องมีตบะดวงจิตแก่นแท้ระดับสามพันปีขึ้นไป จึงจะสามารถทำสัญญากับภูตอสูรระดับสี่ได้ ซึ่งผู้มีฌานตบะระดับนี้เท่านั้น,
จึงจะส่งดวงจิตของข้าทาสไปเกิดในภพที่ไกลโพ้น ข้าก็ไม่อาจรู้ได้ว่าจริงหรือเปล่ามันเป็นเพียงตำนานเล่าขาน จะมีเพียงแต่ผู้ผูกสัญญาเป็นนายบ่าว จึงจะสามารถใช้คาถาส่งภูตอสูรไปเกิดใหม่ เพื่อบำเพ็ญตบะให้เกินหนึ่งพันปี จึงจะกลับมาเกิดเป็นอสูรในโลกนี้ได้ใหม่อีกครั้ง ซึ่งข้าก็หวังว่าสักวันท่านจะปลดปล่อยข้าให้มีโอกาสไปบำเพ็ญตบะ ”
หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานดวงตาของเธอ สั่นไหวส่องประกายเหมือนมีความหวัง ที่จะไปเกิดใหม่ในพิภพสักแห่งในแดนอันไกลโพ้น,
“การทำสัญญาเป็นนายบ่าวกับภูตอสูรที่ถูกปิดผนึกด้วยความตายนั้น มันเป็นเรื่องลำบากมากในโลกใบนี้ เพราะส่วนมากอสูรที่มีตบะแก่กล้าระดับ สามพันปีขึ้นไปจะดูดพลังภูตอสูรมาเป็นของตน เพื่อพัฒนาจิตวิญญาณให้ก้าวขึ้นสู่ ความเป็นอสูรที่มีระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ, พวกมันไม่สนใจปลดปล่อยดวงวิญญาณไปเกิดใหม่ ดังนั้นอสูรที่มีจิตใจเมตตาสติปัญญาสูงส่ง, หรืออสูรที่เก่งกล้ามีระดับที่สูงขั้นเทพ จึงจะเริ่มปลดปล่อยดวงวิญญาณให้ไปเกิด มันจึงเป็นเรื่องที่เกินฝันสำหรับบ่าวทาสที่จะเจอนายดีๆ แบบนั้น”
สาวสวยพูดเสียงแผ่วเบาเหมือนกับคนละเมอ, ดวงตาของเธอเหม่อลอยออกไปดู สายน้ำที่ใสสะอาดอย่างคิดคำนึงคาดหวังความเมตตา จากนายของตน
“หนิงหนิง..ท่านไม่ต้องกลัวหรอกเมื่อข้าเรียนคาถาปลดปล่อยวิญญาณได้เมื่อไหร่ ข้าสัญญาว่าจะปลดปล่อยวิญญาณท่านทันที ไม่รอเลื่อนระดับจนเป็นเทพหลอก”
หญิงสาวเมื่อได้ยินอสูรน้อยพูดแบบนั้นเธอหันมา ส่งสายตาฉายแววเจิดจ้ากะพริบตาถี่ๆ,
"คริๆ ..ก็คงจะเป็นแบบนั้นละนายน้อย ท่านเล่นไม่กินของสดแบบนี้ ความฝันที่จะเลื่อนระดับขั้นเทพ คงจะต้องนอนกลางวันหลายๆ รอบ มันค่อนข้างริบหรี่เหลือเกิน หุหุ!! ”
หญิงสาวเอามือปิดปากหัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงเรื่องการกินของอสูรน้อย นางพูดแทงใจดำเขา ,จนกริชเพชรต้องเหลือบตามอง เบะปากอย่างสยดสยองเมื่อนึกถึงมันสมองสดๆ, กลิ่นคาวคลุ้งมันกระจายขึ้นสู่จมูกชายหนุ่มอย่างอัตโนมัติ,
"..."
“การที่จะมาปรุงเป็นอาหารมันจะลดพลังกายภาพ ของสัตว์นั้นๆ ลงครึ่งต่อครึ่ง จึงไม่ค่อยมีใครนิยมกินแบบปรุงให้สุก มันมีการพัฒนาที่ช้ามากเปลืองทรัพยากรโคตรๆ, ท่านเข้าใจในสิ่งที่ข้าพูดหรือไม่ ดังนั้นสัตว์อสูรที่มีระดับสูงขึ้นจึงเลือกกิน ส่วนที่สำคัญของกายอสูรจำพวกมันสมองหรือเลือด
เพราะมันเป็นแหล่งที่สะสมพลังงาน มีการเจือปนสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ค่อนข้างน้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเลย ไม่เหมือนพวกเนื้อ หรือกระดูกจะมีสิ่งเจือปนมาก สิ่งเหล่านี้พวกอสูรจึงให้บ่าวที่เป็นภูตอสูรกิน, เพื่อเพิ่มพลังการต่อสู้มากกว่า, เพราะภูตอสูรไม่จำเป็นต้องพัฒนากายอสูรอีกต่อไป พวกเราเป็นแค่ดวงจิตที่ไม่มีตัวตนเป็นแค่พลังงานจิตวิญญาณเท่านั้น….”
กริชเพชรมองหญิงสาวด้วยหัวใจหดหู่ขบกรามมองหน้าเธอกล่าวด้วยใจเด็ดเดี่ยว,
“แต่ยังไง? ก็ต้องกินสุก..เพราะข้าไม่กินของดิบแน่ๆ ..ถึงแม้ว่าโตไม่เร็วก็ยังดีกว่าอ้วกแตกตาย..”
ชายหนุ่มตัดสินใจเด็ดขาด หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่มอย่างฉงน เขาช่างเป็นอสูรน้อยที่แปลกประหลาด กว่าอสูรทุกตัวที่ได้พบเห็นมา
“หนิงหนิง มันพอจะมีวิธีทำให้ข้ากินอาหารสุกได้หรือไม่..ท่านทำเป็นหรือเปล่า...”
กริชเพชรถามเธออีกครั้งเพราะมันเป็นการดำรงชีวิตของเขาในอนาคต อาหารการกินทำให้มีชีวิตรอดเป็นเรื่องสำคัญ โตช้าก็ยังดีกว่ากินของคาว,
“ก็พอมีวิธีอยู่นะ..คือต้องขึ้นไปบนปล่องภูเขาไฟที่ร้อนระอุ มันสามารถเผาผลาญอสูรระดับสามระดับสี่ได้สบาย
ยิ่งภูตอสูรอย่างข้าไม่ต้องพูดถึง แค่โดนแสงของมันก็ละลายกลายเป็นธาตุอากาศ ข้าคงจะไม่เสี่ยงไปปรุงอาหารในที่แบบนั้นหรอก ยังไงข้าก็ต้องการให้ดวงจิตไปเกิดใหม่ ในภพภูมิอันไกลโพ้นตามคำเล่าขานของบรรพบุรุษ คงจะไม่มาตายง่ายๆ เพราะไปทำกับข้าวให้ท่านกินหรอกนะ….”
หญิงสาวพูดยิ้มๆ ขณะนั่งลงเอามือลูบไล้หัวชายหนุ่ม เหมือนกำลังหยอกเล่นกับสัตว์เลี้ยงที่น่ารัก,
“ขอร้องข้าไม่ใช่เด็กนะ ท่านอย่าเอามือมาลูบหัวข้าแบบนี้สิ..มันเสียเซลฟ์มากเลยรู้เปล่า...”
หญิงสาวหัวเราะคิกๆ โอบอุ้มชายหนุ่มไว้ในอกอีกครั้ง,
“คริๆ ..เป็นยังไงโตเกินวัยจนจะเป็นผู้ใหญ่มีความรู้สึก เหมือนพวกหนุ่มๆแล้วหรอเด็กน้อยของข้า..”
หญิงสาวแกล้งหยอกอัดหน้าอกอวบใหญ่ถูไถใบหน้าชายหนุ่ม,
“โอ๊ย!! ..อย่าเล่นแบบนี้ข้าไม่ชอบ,อ๋อย”
ปรี๊ดๆ !!
ฉับพลันเลือดกำเดาชายหนุ่ม ก็ไหลทะลักออกทางจมูกอีกครั้ง
“นายน้อยเป็นอะไรเหรอ..เลือดไหลออกจมูกบ่อยๆ ..ข้าว่าท่านต้องมีปัญหากายภาพภายในแน่นอน..”
หญิงสาวดึงตัวชายหนุ่มออกมาจากอกอวบ จับด้วยสองมือวางไว้บนตักของเธอ,
‘โอ๊ย..เล่นแบบนี้..ตัวแข็งตายแน่เรา..มันไม่ใช่ปัญหากายภาพอะไรหรอก,ข้าซู่ซ่าจนเลือดกำเดาไหลโจ๊กๆ แค่นั้นเอง..อ๋อย..’
กริชเพชรนั่งตัวแข็งทื่อนึกในใจ ลืมคำถามที่จะถามหญิงสาว,
“เออ..ยังมีอีกวิธีหนึ่งคือท่านต้องไปหาคาถา ที่สามารถทำให้เกิดไฟขึ้นได้ มันคือคาถาเรียกไฟลาวา ที่หาไม่ยากมันจะอยู่เขตของอสูรคราเคน แถบก้นมหาสมุทร”
พูดจบเธอลุกขึ้นโอบอุ้มกริชเพชรไว้ในอก,
“...”
“ก้นมหาสมุทรเลยหรอ”