ลู่หลินนั่งฟังอย่างตั้งใจ กระทั่งคิ้วขมวดก็ไม่ปรากฏเลยสักข้าง เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่พร้อมรับฟังและใจกว้างมาก หนิงเจียวจึงรู้สึกดีกับอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก
“ที่หนูว่ามาก็น่าสนใจจริงๆ เพราะพล็อตของอาจารย์หยางจีค่อนข้างอ่อนเรื่องการแสดงอารมณ์ของตัวละคร และการสร้างเงื่อนให้กับความซับซ้อนของแต่ละเหตุการณ์ แต่ว่า...นิยายรักสีลูกกวาดแบบนี้ ในตลาดของเราค่อนข้างได้รับความนิยมอยู่ตลอดเลยนะ” ลู่หลินยังไม่พูดถึงทางกองบรรณาธิบริหารส่วนใหญ่ที่ชื่นชอบเนื้อหาแบบนี้ ทำให้ตาชั่งเอนเอียงให้ทางสำนักพิมพ์ผลิตแต่งานสีลูกกวาดเป็นส่วนใหญ่ด้วย
หนิงเจียวขมวดคิ้วเล็กๆ จนแทบมองไม่เห็น “หนูพอเข้าใจถึงความเสี่ยงที่สำนักพิมพ์จะขายสินค้าไม่ได้นะ” จากนั้นเธอกล่าวต่อว่า “แต่บางที การที่บนโต๊ะมีแต่อาหารรสชาติเดียวกันทั้งหมด มีแต่ความหวาน ไม่มีรสอื่น หนูคิดว่าอีกไม่นานคนก็จะรู้สึกเบื่อ และเลี่ยนความหวาน บางที...ถ้าบนโต๊ะมีของหมักดองไว้แก้เลี่ยน ก็น่าจะเป็นที่ชื่นชอบและขาดไม่ได้ยิ่งกว่าอาหารจานหลักเสียอีกค่ะ”
หนิงเจียวแสดงความเห็นพอประมาณ เพราะอีกด้านหนึ่ง หลังจากเธอปล่อยวางเรื่องธรุกิจของสามีผู้ล่วงลับให้แก่บุตรชาย เธอก็ถอยออกมาจากโลกนั้น และเคยได้เขียนหนังสือแก้เบื่อจนพอมีชื่ออยู่บ้าง ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอเห็นงานหนังสือ งานสำนักพิมพ์ ก็เหมือนมองเห็นบางสิ่งที่เชื่อมโยงตัวตนในอดีตอยู่รางๆ บ้าง
ยิ่งเธอเกิดในยุคที่เทคโนโลยีเกือบถึงขีดสุดของการวิวัฒนาการทาง DNA ของมนุษย์ เป็นยุคที่ผู้คนเต็มไปด้วยความบุคคลอัจฉริยะ และฝากผลงานตื่นตาตื่นใจไว้มากมายบนโลก จนผลงานส่วนมากในระยะเวลาต่อมา ต่างก็ถูกผลิตขึ้นมามาตรฐานชั้นสูงไว้รองรับเท่านั้น
...แต่แล้วเมื่อมองกลับมาที่โลกใบนี้ หนิงเจียวจึงมองทุกอย่างเป็นความเก่าแก่ดุจยุคโบราณ แม้แต่สิ่งของล้ำค่าที่ผู้คนที่นี่เทิดทูน บูชา ก็เป็นเพียงของที่ดูน่าทึ่งเพียงชั่วครู่ แต่กลับไม่น่าตื่นเต้นถึงเพียงนั้นเสียแล้ว
หนิงเจียววางหนังสือลงบนโต๊ะและเลื่อนมันกลับคืนไปให้ลู่หลิน “ตามความเห็นของคนที่ชอบอ่านและเขียนหนังสืออย่างหนู หนูคิดว่าหนังสือที่สามารถทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้ในใจคนนั้น สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นมีตัวตนขึ้นมาในโลกของผู้อ่าน และต่อไปสำหรับพวกเขา ตัวตนที่งอกเงยขึ้นมาในใจ จะกลายเป็นสิ่งที่น่าระลึกถึง และแม้ว่าจะผ่านไปอีกกี่สิบปีก็ยังควรค่าให้พวกเขาหยิบเอาออกมาอ่านใหม่ได้”
คำพูดของหนิงเจียวก็ได้ทิ้งร่องรอยบางอย่างให้งอกเงยขึ้นมาในใจของลู่หลินเช่นกัน
หญิงสาวมองดูหนังสือที่วางอยู่ตรงหน้า และครุ่นคิดไปว่าตนเองหยิบเรื่องนี้มาอ่านกี่ครั้งกันนะ
สุดท้ายก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ถ้าไม่ใช่เพราะงาน...บางทีเธอก็ไม่ค่อยได้นึกถึงเนื้อหาข้างในสักเท่าไหร่ เพราะคำตอบสุดท้ายหลังจากอ่านหนังสือจบ คือมันสนุกและอ่านสบายๆ เพียงเท่านั้น
ลู่หลินมองเด็กสาวที่เพิ่งรู้จักวันนี้เต็มสายตา จนเกือบจะฉายแววพึงใจปนเคารพ และรู้สึกว่าอีกฝ่ายเหมือนจะมีวุฒิภาวะใกล้เคียงกันไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
พอหนิงเจียวเอ่ยขอแยกตัวกลับไปนั่งที่โต๊ะเดิม ลู่หลินจึงอดไม่ได้ที่จะยัดนามบัตรของเธอเข้ามามือของหนิงเจียว และบอกเธอว่า “ต่อไปถ้ามีหนังสือน่าอ่านที่มันสามารถทิ้งความประทับใจไว้ให้หนูแล้ว ยังไงก็อย่าลืมแนะนำมาให้ฉันได้ ในนี้มีเบอร์โทรและอีเมล สะดวกจะนัดเจอพูดคุยในฐานะคอนักอ่านเดียวกัน ฉันยินดีทั้งนั้น”
หนิงเจียวยิ้มและรับนามบัตรมาอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะบอกลาลู่หลินอีกครั้ง
ต้าเถาเงยหน้ามองดูเงาคนที่ซ้อนทับร่างเขาแล้วก็แสดงท่าทีลุกลี้ลุกลนออกมา
“พี่เจียว”
เสียงของต้าเถาเรียกให้หนิงจ้าวละจากหนังสือเรียนในมือ
“หายไปนานเลยนะ” เขาเงยหน้าขึ้นถาม ในขณะที่คนทั้งกลุ่มเองก็ปรายตามองพี่สาวเพื่อน ที่หอบหนังสือกองใหม่กลับมานั่งยังจุดเดิม
หนิงเจียวหันไปยิ้ม “พี่อ่านหนังสือแถวนั้นเพลินน่ะ ก็เลยกลับมาช้าน่ะ”
“อ้อ” จากนั้นทั้งหนิงจ้าวก็หันกลับไปสุมหัวอ่านหนังสือในมือกันต่อ
แต่มีเพียงต้าเถาที่ทำท่าละล้าละลัง ก่อนจะเอ่ยปากถาม “พี่เจียว พี่จะไปกินข้าวเที่ยงกับพวกเราไหมครับ พอดีเมื่อกี้พวกเราเพิ่งคุยกันว่าจะไปกินบะหมี่ต้มไข่แถวนี้...”
“พี่เขาไม่กินหรอกน่า” หนิงจ้าวปฏิเสธแทน
หนิงเจียวหัวเราะแผ่วๆ “งั้นพี่ขอตามไปด้วยก็แล้วกัน เพราะพี่กะจะอยู่อ่านหนังสือจนถึงเย็นเลยน่ะ”
ต้าเถาหน้าบานทันทีที่ได้ยิน “โอ้ ครับพี่ เดี๋ยวเที่ยงแล้วเราออกไปกันเลยนะครับ...โอ๊ย!”
เสียงเตะดังขึ้นที่ใต้โต๊ะพร้อมกับร่างของหนิงจ้าวที่ขยับ ทำให้ต้าเถาหาตัวการพบในทันที “เอ็งเตะขาข้าทำไมวะ!”
“ขากระตุกไง นั่งนาน” หนิงจ้าวตอบเรียบๆ
แม้จุดโฟกัสสายตาของคนทั้งกลุ่มจะอยู่ที่หน้ากระดาษ แต่นอกจากหนิงจ้าวแล้วพวกเขาต่างก็กลั้นขำจนแทบทนไม่ไหว
หนิงเจียวยิ้มเอ็นดูในความร่าเริงของอีกฝ่าย จากนั้นจึงทิ้งความวุ่นวายของพวกเด็กหนุ่มๆ ไว้ที่ด้านข้าง และค่อยกลับมาให้ความสนใจกับกองหนังสือช่วงมัธยมต้นต่อ
เธอมองดูเข็มนาฬิกาบนข้อมือเรียว
‘ประมาณเที่ยงตรงก็คงอ่านทุกเล่มจนจบพอดี’
.
.
.
.
.
.
.
ออกจากร้านบะหมี่ที่ลูกค้าเต็มร้านตั้งแต่ช่วงใกล้เที่ยงแล้ว หนิงเจียวจึงค่อยผ่อนลมหายใจลงได้
โชคดีที่พวกเด็กๆ ต่างสนใจอาหารบนโต๊ะมากกว่าตัวเธอ จึงทำให้พวกเขาไม่ทันสังเกตอาการเกร็งนับตั้งแต่เข้าร้านเล็กๆ นี้ มาจนถึงกระทั่งตอนร่วมโต๊ะเดียวกันที่ทุกคนต้องมานั่งแชร์ นั่งเบียดรวมกัน จนมือชนมือไหล่ชนไหล่
ถึงจะเคยสัมผัสจากความฝันมาบ้าง แต่เนื้อแท้หนิงเจียวไม่เคยมานั่งในร้านที่ค่อนข้างโทรมในสายตาตนเองเช่นนี้มาก่อน เพราะบ้านสามีมีพ่อครัวแม่ครัวที่ถือได้ว่าเก่งฉกาจมาคอยทำงานอยู่ที่บ้าน และหรือหากจำเป็นจะต้องไปทานข้างนอกแล้ว พวกเขาก็จะเตรียมจองร้านภัตตาคารหรู หรือเดินทางไปยังร้านเก่าแก่ติดดาวที่ดูสะอาดสะอ้านมากกว่านี้
แต่ว่า...ในเมื่อมันเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่นี่ หนิงเจียวจึงเปลี่ยนความไม่คุ้นเคยนี้ ให้กลายเป็นความรู้สึกที่ว่ามันน่าสนใจ และเริ่มเรียนรู้ที่จะขยับไปตามจังหวะของกลุ่มเพื่อนๆ ของหนิงจ้าวแทน
หนิงเจียวเดินตามกลุ่มของหนิงจ้าวพลางสังเกตร้านอาหารข้างทางไปพลาง ในจังหวะที่เสียงเตือนของโนอาห์ดังแว่วมาว่ากำลังชนแล้ว หนิงเจียวจึงหยุดและหันกลับมาดูทางข้างหน้า พบเป็นชายสวมสูทใส่แว่นตาที่ดูน่าสงสัยกำลังขวางทางเธออยู่
เธอยิ้ม “ขอโทษด้วยค่ะ พอดีหนูไม่ได้มองทาง” พอกล่าวจบแล้วก็ทำท่าจะเบี่ยงหลบไปทางอื่น
ทว่าเธอหลบไม่พ้น เพราะอีกฝ่ายกางแขนยาวออกมากัน
ดวงตาพราวระยับของหนิงเจียวแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ แม้แต่น้ำเสียงที่แฝงความไม่พอใจเอาไว้ด้วย “ไม่ทราบว่าต้องการอะไรคะ?”
อีกฝ่ายกระแอมไอ “ขออภัยด้วย พอดีฉันมองหนูอยู่นานแล้วก็เลยเพิ่งเข้ามาทัก” จากนั้นเขาก็หยิบกระเป๋าเงินออกมาควานหานามบัตรของตนเอง
“ลุงไม่ใช่คนน่าสงสัยหรอก และนี่เป็นนามบัตรของลุง ลุงทำงานอยู่ที่ซุนต๋า(ฤดูใบไม้ผลิมาถึง)เอ็นเตอร์เทนเมนต์ เป็นบริษัทที่ผลิตดารานักร้องในวงการบันเทิงที่มีชื่อเสียงในประเทศเหยา...”
‘ข้อมูลจากระบบพบว่าไม่จริง ทุนทรัพย์และขนาดของซุนต๋าคอนเพนนีจัดอยู่ในระดับกลางในหมู่บริษัทที่ทำงานในสายวงการบันเทิง’
เสียงของโนอาห์ขัดขึ้นมาในขณะที่อีกฝ่ายกำลังพูดพล่ามอยู่
นัยน์ตาแมวหรี่ลงมองชื่อ ‘ไหวคัง’ บนนามบัตรนั้น ก่อนจะเอ่ยตัดบทอีกฝ่าย “ขอโทษด้วยนะคะ นอกจากหนูจะยังไม่บรรลุนิติภาวะแล้ว ก็ยังไม่มีความสนใจในงานสายนั้นด้วย คงต้องขอตัวก่อน”
พูดจบก็รีบเบี่ยงตัวหลบทันที โดยที่กระทั่งนามบัตรของอีกฝ่ายก็ไม่รับเอามา
ต้าเถาแอบชำเลืองมองหนิงเจียวอยู่บ่อยๆ พอพบว่าเธอเหมือนจะถูกผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ดักทางไว้ ก็เลยกะจะเข้ามาช่วยแล้ว แต่ว่าฉากช่วยสาวในฝันกลับจบลงที่อีกฝ่ายดันเดินหนีกลับออกมาได้เสียก่อน
เขาจึงรีบถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเธอเดินกลับมาใกล้ๆ กลุ่มของพวกเขา
“พี่เจียว คนๆ นั้นเขามาวุ่นวายอะไรกับพี่หรือเปล่า” ดูสิ ขนาดพี่เจียวเดินมาแล้ว อีกฝ่ายยังมองตามมาไม่หยุดเลย!
หนิงเจียวส่ายศีรษะ “ไม่ได้วุ่นวายอะไร เขาแค่ชวนไปเข้าวงการ พี่ก็เลยปฏิเสธ”
“เอ๊ะ แต่พี่เจียวอยากเข้าวงการนี่นา” ต้าเถาเอ่ยในสิ่งที่รู้มาจากปากของหนิงจ้าว ว่าพี่สาวของเขาเฝ้าคิดอยู่สองอย่างคือเข้าวงการและแต่งงานกับคนรว--- แค่ก ฉะนั้นพอมาวันนี้ได้มาฟังคำปฏิเสธจากปากของคนตรงหน้า ทำให้ต้าเถาจึงอดส่งสายตาตำหนิให้หนิงจ้าวไปเสียไม่ได้
คนอื่นๆ ก็มองตำหนิหนิงจ้าวเช่นกัน
หนิงเจียวพอรู้ว่าพวกเขารู้อะไร แต่เธอไม่ได้ใส่ใจอดีตของหนิงเจียวคนเดิมเท่าไหร่นัก จึงหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “พี่ไม่เหมาะกับอะไรเทือกนั้นหรอก แต่ถ้าเป็นพวกเธอก็ไม่แน่นะ”
“แหะๆ พวกผมเองก็ไม่เหมาะเหมือนกันครับ” ต้าเถาเอ่ยถ่อมตัว
ที่หนิงเจียวเอ่ยเป็นนัยเช่นนี้เพราะเธอบังเอิญทราบมาจากในความฝัน ว่าพวกกลุ่มเด็กตรงหน้านี้ไม่ใช่แค่เป็นเพื่อนที่โรงเรียนเรียนของหนิงจ้าว แต่พวกเขายังสร้างวงดนตรีเล็กๆ ขึ้นมา โดยที่มีบ้านของต้าเถาเป็นแหล่งรวมพล ด้วยเนื่องจากพ่อของเขานั้นเป็นนักแต่งเพลง จึงทำให้มีกระทั่งห้องเก็บเสียงให้เล่นดนตรีอยู่ที่นั่นด้วย
เมื่อก่อนหนิงเจียวเคยทะเลาะกับแม่เรื่องเงินใส่ซองปีใหม่ เพราะพบทีหลังว่าแม่ของเธอแอบเพิ่มให้น้องชาย จนเขาสามารถซื้อกีตาร์มือสองจากพ่อของต้าเถาได้
ด้วยความอิจฉาและอยากได้บ้าง ทำให้เธอไม่พอใจและไปขึ้นเสียงใส่หนิงจ้าวด้วย
สองพี่น้องเริ่มชักสีหน้าใส่กันมาตลอด ก็เพราะมีเรื่องนี้เจือปนอยู่ด้วย
หนิงจ้าวเองก็เหมือนกับกำลังรำลึกถึงช่วงเวลานั้น ทำให้ใบหน้าของเขาที่มองพี่สาวยิ่งบูดบึ้งขึ้นไปอีก จึงแอบค่อนแคะใส่ “ทำท่าเป็นคนดีเชียวนะ”
“พี่พูดจริงนะ” เธอมองตาเขาอย่างจริงจัง “เสียงของเธอเพราะมาก และพวกน้องๆ เองก็เล่นดนตรีได้ไม่เลว อย่างน้อยพี่ก็เล่นไม่เป็นและไม่มีพรสวรรค์”
ดวงตากลมโตของหนิงเจียวเป็นประกายดุจผิวทะเลสาบที่นิ่งสงบ จนทำให้หนิงจ้าวสบตามองดูด้วยความไม่คุ้นเคยเลยสักนิด เหมือนคนตรงหน้า...จะไม่ใช่พี่สาวที่เขารู้จักมาตลอดคนนั้น
เขาเองจนบัดนี้เพิ่งได้มองดูพี่สาวคนนี้เต็มตา เพราะทุกครั้งเวลาพบหน้าก็มีแต่จะทะเลาะและเขม่นใส่กัน ทำเอาต่างฝ่ายต่างไม่อยากมองหน้า และยิ่งพอนานไปก็กลายเป็นยิ่งห่างไกลกันออกไป
คำชมที่ออกจากปากของกลุ่มผู้หญิงตัวร้ายที่เลื่องชื่อในโรงเรียน ทำให้เพื่อนทั้งสามคนรวมต้าเถาค่อนข้างตกตะลึงไปแล้ว
หนิงเจียวค่อยรู้สึกตัวว่าตนเองแสดงท่าทีแปลกไปจากตัวตนเดิม แต่กระนั้นเธอก็ไม่คิดเสแสร้งให้ต้องลำบากต่อไปในอนาคต จึงเอ่ยชวนพวกเขาเดินกลับไปที่ห้องสมุดกันต่อ
แต่กลับมาคราวนี้พวกเขาพบว่าไม่มีที่นั่งเหลืออีกแล้ว ต้าเถาจึงเอ่ยชวนให้ยืมหนังสือไปติวกันต่อที่บ้านของเขา แต่หนิงจ้าวกลับปฏิเสธและยกนิ้วชี้ไปทางหนิงเจียว
“ถ้าแม่ฉันพบว่าฉันปล่อยให้ยัยพี่นี่กลับบ้านเอง คงได้โดนด่าเปิง” เขากล่าวจบแล้วก็มองไปยังกองหนังสือยืมที่อีกฝ่ายกำลังแบกอยู่ “เพิ่งจะรอดตายจากไข้สูง ตอนนี้ที่บ้านเลยเป็นห่วง”
“อ้อ” พวกเขาครางตอบรับ พลางมองดูพี่สาวเพื่อน
หรือว่าพี่คนนี้เปลี่ยนไปเพราะไข้ขึ้นสมอง?
พอนึกไปว่าทำไมก่อนหน้านี้พี่สาวเพื่อนถึงได้เริ่มหยิบอ่านหนังสือตั้งแต่ประถม ก็ค่อยพบว่าเรื่องน่าตกใจนี้มีสิทธิเป็นไปได้!
ต้าเถาแสดงสีหน้าเห็นใจให้พี่เจียว ก่อนจะหันไปทางหนิงจ้าวพร้อมทำท่ารูดซิปปาก ‘ข้าจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใครแน่นอน!’ ไม่เช่นนั้นคงมีแต่คนหัวเราะเยาะพี่เจียวแน่ พี่เจียวเขาหน้าบางจะตายไป!
แต่หนิงจ้าวกลับตอบรับด้วยทำท่าชูนิ้วกลาง แล้วเดินจากโดยมีหนิงเจียวเดิมตามและคอยยิ้มให้พวกเขาแทนการบอกลา
ต้าเถาพบว่าเพื่อนไม่ยินดีรับความหวังดี ก็ยืนกระทืบเท้าและด่าไร้เสียงอยู่ตรงเคาน์เตอร์ห้องสมุด
.
.
.
.
.
.
.
โนอาห์เริ่มการเชื่อมต่อข้อมูลเข้ากับประเทศมาตั้งแต่เมื่อคืน จนเย็นวันต่อมาหลังจากที่เธอกลับจากห้องสมุดและอ่านหนังสือไปได้เกือบครบทุกเล่มแล้ว เสียงของโนอาห์ก็ประกาศข่าวดีออกมา
‘แจ้งให้โฮสต์ทราบ ตอนนี้โนอาห์ได้เชื่อมต่อเข้ากับฐานข้อมูลของประเทศเหยาทั้งหมดแล้ว ในอีก 1 นาทีจะเริ่มค้นหาโรงเรียนภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสมกับโฮสต์...’
หนิงเจียวปิดหนังสือลง และนั่งรอโนอาห์อย่างสงบอยู่เกือบ 10 นาที ข้อมูลโรงเรียนก็ค่อยๆ ไหลเข้ามาสมองพร้อมกับเสียงของระบบ
‘มีประมาณ 212 แห่งที่เหมาะสมกับโฮสต์’
เธอหลับตาลงนึกถึงโรงเรียนเหล่านั้น แต่แล้วพอเจอว่าโรงเรียนที่แรกดันอยู่ไกลออกไปถึงต่างเมือง เธอก็ต้องรีบแจ้งให้โนอาห์ตัดโรงเรียนให้เหลือเพียงอยู่ในพื้นที่ของจังหวัดที่เธออยู่ เพราะเธอยังไม่พร้อมที่จะออกจากบ้านนี้ ไปเผชิญยังโลกที่ยังไม่คุ้นเคยภายนอกนั้นก่อนแน่ๆ
ตัดไปตัดมา โรงเรียนถึงได้เหลือเพียง 42 แห่ง สมกับที่เป็นเมืองหลวงของประเทศเหยาจริงๆ
“หลายแห่งยังมีกำหนดเกณฑ์เรื่องเกรดที่ใช้ในการสมัครด้วย” หนิงเจียวพึมพำออกมาอย่างนึกเสียดาย เพราะดูจากสภาพแวดล้อม บุคลากรที่สอน และหลักสูตรการศึกษา มันค่อนข้างตรงใจเธอมาก
แต่ของดี...ราคา(ค่าเทอม)ก็ยิ่งแพงมหาโหด
โนอาห์เหมือนเข้าใจสิ่งที่โฮสต์ของมันกำลังคิด จึงกล่าว ‘…ต้องการให้คัดโรงเรียนที่ไม่อยู่บรรทัดฐานของตัวโฮสต์ออกหรือไม่’
“…รบกวนด้วย”
เลือกไปเลือกมา สุดท้ายหนิงเจียวต้องตาโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งที่มีการเรียนการสอนที่ไม่ธรรมดา
“โอ้ มาคลาสพิเศษเสียด้วย” หนิงเจียวเพ่งความคิดไปที่ข้อมูลภายในโรงเรียนนั้น
‘สถาบันแดนตะวันออกแห่งเหยา’ เป็นชื่อที่ให้กลิ่นอายความลึกลับ และความเก่าแก่สมชื่อของมัน แต่ว่าความจริงมันเป็นตึกเรียนที่ทันสมัยที่สุดในเมืองหลวง โดยผสานเข้ากับโบราณสถานเก่าแก่ที่ยังหลงเหลืออยู่ของวัดเก่าแก่ ทั้งสะพานโบราณเก่าแก่ที่สร้างจากหิน ทั้งเก๋งจีนที่สร้างจากไม้แดง และประติมากรรมเก่าแก่ราวกับหลุดเข้าไปบนทางเดินภายในวังต้องห้าม ทั้งที่สถานที่เหล่านั้นเพียงโอบล้อมอยู่รอบโรงเรียนเท่านั้น
ที่นี่นอกจากความโดดเด่นด้านสถานที่แล้ว สถาบันตะวันออกแห่งเหยายังมีชื่อเสียงว่าโรงเรียนที่เด็กในประเทศนี้ต้องการสมัครเข้าเรียนมากที่สุด ติดต่อกันมาหลายสิบปีจนไม่มีใครกล้าโค่นชื่อนี้ลง แถมพวกเขายังเปิดให้เรียนได้ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลถึงมหาลัย ซ้ำแต่ละช่วงชั้นก็มีชื่อเสียงทั้งทางด้านวิชาการ กิจกรรมและเปิดให้มีการเรียนการสอนหลากหลายภาษา ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่หนิงเจียวสนใจมาก
และที่มันยิ่งทำให้โรงเรียนโด่งดังยิ่งขึ้นไปอีก ก็คือ ‘คลาสพิเศษ’ ซึ่งถูกกล่าวว่าเป็นชั้นเรียนของพวกลูกคนรวย ชนชั้นสูง หรือเป็นลูกหลานของกลุ่มคนที่มีชื่อเสียงเข้าไปเรียนอยู่ เนื่องจากระบบการเรียนของพวกเขานั้น แทบไม่จำเป็นจะต้องให้พวกนักเรียนเข้าชั้นเรียน แต่ให้สามารถส่งงานและตามสอบได้เพื่อเลื่อนระดับชั้น ด้วยเนื่องจากทางนักเรียน ‘พิเศษ’ ของคลาสนี้มักจะไม่ค่อยมีเวลา จากการที่บางคนเป็นคนดัง หรือบางคนกระทั่งเดินทางไปมาเพื่อทำธรุกิจก็ยังมี
หนิงเจียวเองก็รู้สึกสนใจ เพราะคลาสนี้เรียนกันสามภาษา ทั้งภาษาบ้านเกิด อังกฤษ และภาษาที่สามให้ได้เลือกเพิ่มเติมกันเองนี่แหละ
‘เรียนแจ้งโฮสต์ โรงเรียนนี้ไม่กำหนดเกรดขั้นต่ำ เพียงแค่สมัครและทำการสอบโดยเลือกจากผู้ที่มีคะแนนสอบเข้ามากที่สุดก่อนจะลดหลั่นลงมา แต่ทว่า โนอาห์ขอเตือนก่อนว่ารายได้ของครอบครัวของโฮสต์อาจไม่เพียงพอต่อการจ่ายค่าเทอม หรือค่าเข้าเรียนของโฮสต์ได้เลย ไม่ทราบว่าโฮสต์ต้องการให้โนอาห์คัดชื่อโรงเรียนนี้ออกไปหรือไม่?’
หัวใจของหญิงชราที่เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง กลับถูกความจริงข้อนี้ดับฝันเข้าเสียแล้ว
“เงินหรอ...?”
‘บิดาของโฮสต์ทำงานอยู่ในโรงงานฟอกกระเป๋าในระดับหัวหน้า รายได้ต่อเดือนอยู่ที่ 3X,XXX หยวน ส่วนมารดาของโฮสต์ทำงานตัดเย็บและซ่อมแซมเสื้อผ้าให้กับร้านของป้าสะใภ้ตระกูลฟ่าน รายได้อยู่ที่ 1X,XXX หยวน’
หนิงเจียวนึกถึงค่าเทอมเรือนแสนของคลาสพิเศษนั้นแล้วก็รู้สึกหัวเราะไม่ออก ทั้งที่ถ้าเป็นเมื่อก่อน…ราคาแบบนี้ไม่ถือว่าแพงสำหรับเธอเสียด้วยซ้ำไป
“ไม่มีทางอื่นแล้วสินะ” …เธอคงต้องตัดใจ
‘ตอบโฮสต์ มันมีทางอื่น’
”…” เธอรู้สึกเหมือนตนเองกำลังถูกกลั่นแกล้ง แต่ในเมื่อเขาตอบออกมาแล้วว่ามีทาง งั้นเธอก็จะลองฟังดู
โนอาห์เข้าใจความคิดของโฮสต์โดยที่ไม่ต้องเอ่ยปาก เขาก็เลยรีบตอบออกมาทันทีว่า ‘คลาสพิเศษนี้ พวกหัวกระทิสามารถเข้าเรียนได้ ทั้งยังมีทุนให้เรียนฟรีด้วย โฮสต์สามารถสมัครและสอบให้ได้ถึงคะแนนสูงสุด หรือเป็นที่หนึ่งในรุ่นเพื่อชิงเอาสิทธิที่ว่ามาได้’
ฟังถึงตรงนี้หนิงเจียวก็รีบค้นไปให้รายละเอียดของสิทธิที่ว่านั้น จากนั้นเธอก็ยิ้มออกมา
“ไม่มีกระทั่งการผูกมัดใดๆ น่าสนไม่เบาเลย”
สุดท้ายหนิงเจียวค้นหาวันที่สมัครและวันที่สอบ โดยพบว่าวันพรุ่งนี้เป็นวันปิดการสมัครสอบ และจะมีการสอบในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้าซึ่งถือว่าเร็วมาก เธอจึงรีบไปบอกเรื่องนี้กับคนในครอบครัวของเธอ
แน่นอนว่าสายตาของคนในบ้านมองเธอเหมือนคนโง่ไปแล้ว พ่อและแม่ถอนหายใจพลางส่ายหน้า ในขณะที่น้องชายกลับนั่งกุมท้องขำไม่มีความเกรงใจกันเลยสักนิด
“ลูก...แม่ว่าลูกรอสมัครสอบโรงเรียนที่รองลงมาอีก... อีกเยอะๆ หน่อยเถอะ แม่กะว่าจะให้ลูกไปสมัครสอบที่โรงเรียนเดิม เผื่อว่าจะสอบติดไง” คุณแม่ชิงไฉรู้สึกยิ้มไม่ออก หรือว่าลูกสาวของเธอจะอาการหนักกว่าที่คิดไปเสียแล้ว
หนิงเจียวค่อนข้างตกใจกับปฏิกิริยาของพวกเขา แต่แล้วพอนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาของหนิงเจียวเองแล้วก็ทำให้ต้องเข้าใจ
โอ้ ยังดีนะที่เธอแค่เอ่ยว่าจะลองสอบที่สถาบันแดนตะวันออกแห่งเหยาเท่านั้น ยังไม่ทันกล่าวลงลึกว่าที่จะไปสอบนั้นคือคลาสพิเศษที่มีค่าเทอมแพงที่สุดในโรงเรียน...
หรือว่าเธอไม่ควรโลภมาก? อย่างน้อยก็ถอยลงมาอยู่ชั้นเรียนธรรมดา จะได้ไม่ทำให้พ่อแม่ของเธอรู้สึกว่าชีวิตการศึกษาของบุตรสาวแขวนอยู่บนเส้นด้ายบางๆ ของรายได้ครอบครัว
พอคิดได้บ้างแล้ว หนิงเจียวจึงพยายามที่จะถอยห่างออกมาอย่างละครึ่งทาง
“หนูคิดจะไปลองดูข้อสอบหน่อยค่ะ เพราะได้ยินว่าโรงเรียนอื่นๆ ในประเทศต่างก็ยึดแบบข้อสอบของโรงเรียนนี้เป็นบรรทัดฐาน เพียงแต่ความยากของการออกข้อสอบจะลดลงมาสักหน่อย” เธอพูดไปตามข้อมูลที่ทยอยผุดขึ้นมาติดๆ กัน จากนั้นพอค้นดูเวลาสอบของโรงเรียนเดิมแล้วก็สงบใจมากขึ้น “หนูจำได้ว่าเวลาสอบของโรงเรียนเดิมยังเหลืออีกสองอาทิตย์กว่าๆ น่ะค่ะ ก็เลยอยากลองไปฝึกสอบดูสักครั้ง”
ได้ยินลูกสาวพูดแบบนี้แล้ว คุณพ่อคุณแม่สกุลเจี่ยนค่อยรู้สึกโล่งอกที่อย่างน้อยลูกก็รับฟัง และไม่ดื้อเพ่งเหมือนเคย
“เอาล่ะ จะลองสอบดูก็ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อจะพาไปส่งเอง” วันพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ พอดีโรงเรียนงานของเราให้หยุดพักผ่อนได้ จึงไม่เป็นปัญหาที่เขาจะขับขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งลูกที่หน้าโรงเรียน
หนิงเจียวไม่คัดค้านอะไร และกล่าวขอบคุณจนคุณพ่อฮุ่ยซือขนลุกซู่ขึ้นมา