แต่ก็เพราะการค้นประวัติของเจี่ยนชิงไฉ หนิงเจียวจึงพบว่าที่แม่ของเธอแม้จะแยกตัวออกจากสกุลฟ่านแล้ว แต่กลับยังต้องถูกบังคับให้ต้องไปเยี่ยมหน้าบิดามารดาชราที่บ้านใหญ่ ก็เพราะการออกมาตั้งตัวร่วมกันกับเจี่ยนฮุ่ยซือ ซึ่งเป็นสาเหตุที่เธอได้ขอกู้เงินกองหนึ่งออกจากสกุลฟ่านในฐานะสินเดิมด้วย
ความหัวอ่อนหรือไม่ทันคนของเจี่ยนชิงไฉทำให้ไม่ตรวจทานเรื่องสัญญาการกู้ยืมนี้ให้ดี เป็นเหตุให้หลิงกว่างสบช่องโอกาสเข้ามาเป็นคนกลางกู้ยืมเงิน โดยตุกติกเรื่องจำนวนดอกเบี้ยที่มีแต่จะเพิ่มขึ้นๆ จนทำให้เธอต้องรับสภาพเข้าทำงานกับหลิงกว่างในสภาพเงินเดือนที่ต่ำเตี้ย อีกทั้งยังมีบางส่วนถูกหักออกไป โดยใช้เหตุผลเรื่องการกลบค่าดอกเบี้ยจากสัญญานั้นๆ
โนอาห์กล่าวว่า ‘มีความเป็นไปได้ 92% ที่ฟ่านเกาอิ้งจะรู้เห็นเรื่องนี้ และให้การสนับสนุนการกระทำของหลิงกว่างอยู่อย่างลับๆ’
หนิงเจียวยิ้มเย็นทันที
เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกญาติฝ่ายแม่ถึงได้ทำตัวกร่างกันนัก ที่แท้ก็เพราะมองเห็นสัญญาณเขียวจากประมุขของบ้านนี่เอง
แต่ว่าวันนี้พวกเขามาที่นี่เพื่อข่มขู่เอาทรัพย์สินที่ดินที่ฟ่านหลิงกว่างจะมอบให้ โดยไม่ประชันเอาโดยตรงกับตาแก่ งั้นก็แสดงว่าตาแก่ที่เป็นประมุขสกุลฟ่าน ได้ขีดเส้นบอกคนในบ้านไว้ก่อนแล้วว่ามีขอบเขตเท่าไหร่ ที่เขาจะละเว้นไว้ให้พวกเขาสามารถแตะต้องชิงไฉได้ โดยมันจะไม่ล้ำเส้นความอดทนของเขา
ฉะนั้น...ที่ดินตรงหน้าถนนต้าไห่ตกลงมาอยู่ในมือของเจี่ยนชิงไฉได้อย่างไร?
หนิงเจียวนึกสงสัย และไม่ปล่อยให้ข้อสงสัยแม้เพียงเล็กน้อย หลุดรอดความคิดคำนวณออกไปได้ เธอจึงหลับตาลงและเอ่ยถามโนอาห์ในหัว
‘โนอาห์ ตรวจสอบพื้นที่และราคาของที่ดินตรงหน้าถนนต้าไห่ฉันหน่อย’
กล่าวในหัวจบเธอก็หันไปบอกหนิงจ้าวว่าจะเข้าห้องน้ำ แล้วจึงค่อยเดินออกจากระเบียงไป
โนอาห์หายไปสักครู่หนึ่ง ก็ส่งเสียงบอกค่าตัวเลขและสภาพที่ดินโดยรอบของถนนต้าไห่กลับมา
“สงสัยตาแก่นั่นอาจเกิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีขึ้นมา?”
พอนึกถึงยายของเธอที่เพิ่งเสียไปตอนต้นปี ...ซึ่งมันก็ผ่านมาเพียงไม่กี่เดือนแล้วนั้น
เธอจึงรู้สึกว่าที่ดินนั่น อาจจะเป็นการลงแรงครั้งสุดท้ายก่อนที่หญิงชราจะจากไปก็ได้
หนิงเจียวมองไปที่นาฬิกา พบว่ากำลังจะบ่ายสองแล้ว จึงนึกไปถึงเรื่องที่จะไปพบหน้าทนายวันนี้ก่อน เลยเดินไปหยิบกระเป๋าแล้วตรงไปที่หน้าบ้าน
“พี่จะออกไปไหน” หนิงจ้าวเดินกลับมาเข้ามานานแล้ว ทันเห็นหนิงเจียวที่กำลังสวมรองเท้าอยู่ที่หน้าบ้าน
หนิงเจียวหันมากำลังจะตอบ แต่ทว่าโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้นมาพอดี
“รอสักครู่นะ” เธอหันไปบอกหนิงจ้าวก่อนควานหาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเบอร์โทรเข้าที่ไม่ปรากฏชื่อ
หนิงเจียวพึมพำออกมา “ใครกันนะ?”
‘เรียนโฮสต์ หมายเลขนั้นเป็นเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของทนายซือสือ’ โนอาห์ตอบออกมาทันทีเมื่อได้ยินคำถามสงสัย ที่อาจเป็นความต้องการทราบคำตอบของโฮสต์
หนิงเจียวเลิกคิ้วขึ้นจางๆ ก่อนรับสาย โดยที่แสร้งทำเป็นไม่ทราบว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“สวัสดีค่ะ เจี่ยนหนิงเจียวจากสกุลเจี่ยนกำลังพูดสาย ไม่ทราบว่าตอนนี้ดิฉันกำลังพูดสายอยู่กับใครคะ?”
ปลายสายคล้ายอึ้งไปเล็กน้อย แล้วถึงค่อยหาเสียงของตนเองเจอ
“สวัสดีครับคุณหนูเจี่ยน ผมชื่อซือสือ จากสำนักงานทนายความ C เป็นทนายที่ถูกคุณว่าจ้างให้เป็นพยานตรวจ และดูแลสัญญาที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ครับ”
เมื่อเริ่มกดรับโทรศัพท์สายนี้ หนิงเจียวถึงเพิ่งค้นพบว่าตัวเองยังไม่เคยชินกับการรับสายด้วยตนเอง เพราะมักจะมี...อดีตคนสนิททำให้เสมอ จึงทำให้จิตใต้สำนึกของตนเอง ได้เผลอจำถ้อยทีสุภาพเหล่านั้นเอามาพูดออกสายในครั้งนี้
มุมปากของหนิงเจียวบิดเบี้ยวเล็กน้อย ก่อนจะพยายามเรียบเรียงถ้อยคำให้สมกับวัยและฐานะของตัวเองเสียใหม่ “ทราบแล้วค่ะ ดิฉัน...คือฉันกำลังพูดสายอยู่พอดีค่ะคุณซือสือ”
“ครับ พอดีตามปกติแล้วก่อนที่จะไปพบคู่ค้าที่จะทำสัญญา ผมจะต้องนัดพบคุณหนูเจี่ยนเพื่อคุยเรื่องความต้องการในสัญญาของคุณหนูก่อน และจากนั้นผมจะทำการติดต่อกับทางสำนักพิมพ์ที่ต้องการซื้อลิขสิทธิ์สัญญานั้นๆ เพื่อตรวจดูสัญญาว่าตรงต่อความต้องการของคุณหนูเจี่ยนหรือเปล่า”
หนิงเจียวยิ้มแปลกๆ ให้คนที่อยู่ปลายสาย “พรุ่งนี้ก็จะเซ็นสัญญาแล้วเนี่ยนะคะ?”
“...ขออภัยด้วยครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิ...ฉันเข้าใจว่าคุณคงยุ่งมากจริงๆ พอดีทราบข่าวมาเรื่องคดีใหญ่ที่ทางสำนักงานทนายความของคุณได้รับไป คิดว่าตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนที่สำคัญมาก?”
ซือสือฟังเสียงดูก็ทราบความนัยที่อีกฝ่ายกำลังสื่อ
เขาโดนถูกเหน็บแนมว่าเพราะงานของฝั่งนี้ไม่สำคัญพอ ทำให้เขาหันไปสนใจงานใหญ่ของหัวหน้าของเขา มากกว่าที่จะใส่ใจติดตาม ‘งานทำสัญญาง่ายๆ ’ แค่หนึ่งฉบับ
และแม้ว่าน้ำเสียงที่เด็กหญิงเปล่งออกมาในตอนนี้จะฟังดูสดใสก็ตาม
แต่ด้วยเพราะผลงานของอีกฝ่าย ที่ทำให้เขาตื่นตาตื่นใจมากพอที่จะไม่ปฏิบัติต่ออีกฝ่ายเฉกเช่นเด็กทั่วไป หรือเหมือนๆ กับพี่น้องของเขาที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จึงช่วยไม่ได้ที่น้ำเสียงของเขาจะเจือไปด้วยความเคารพ ราวกับกำลังพูดคุยอยู่กับอาจารย์ผู้ผลิตผลงานทรงคุณค่าออกมาคนหนึ่งมากกว่า
“ผมต้องขออภัยในความไม่สุภาพของผมด้วยครับ”
ถ้าบริเวณที่ซือสือยืนอยู่นั้นมีกล้องวงจรปิด หนิงเจียวอาจได้เห็นภาพของซือสือที่กำลังทำท่าก้มหัวลงต่ำ ตามคำพูดที่กล่าวออกมาจากใจ
หนิงเจียวชอบคนที่คุยรู้เรื่องและยอมรับในความผิดของตนเองได้ จึงทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
“อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าไม่เป็นไรค่ะ” กล่าวจบ หนิงเจียวก็เว้นจังหวะพูดเล็กน้อย “แต่ฉันกำลังจะไปพบคุณอยู่พอดี เพราะอยากคุยเรื่องที่เราจะไปพบหน้าคนของสำนักพิมพ์ฮัวหมิงในวันพรุ่งนี้”
“คุณหนูเจี่ยนไม่ต้องออกมาหรอกครับ”
หนิงเจียวกำลังจะหันไปทำท่าทางให้หนิงจ้าวดู ว่าเธอจะออกไปทำธุระข้างนอกก็ต้องชะงักค้าง
“ทำไมคะ? หรือว่าคุณมีธุระพอดี” หนิงเจียวถามออกมา เพราะก่อนหน้านี้เธอให้โนอาห์เช็คตารางนัดหมายของอีกฝ่ายแล้ว และพบว่าตารางของบ่ายนี้นั้นว่างอยู่ จึงเป็นเหตุให้เธอกะเวลาว่างเพื่อที่จะไปพบอีกฝ่าย
“เพราะผมกำลังจะโทรมานัดพบคุณเจี่ยนพอดี”
“อย่างงี้นี่เอง” หนิงเจียวผงกศีรษะทำท่าเข้าใจ “แล้วให้ไปพบที่ไหนคะ”
“ไม่ทราบว่าสะดวกที่บ้านเลยหรือเปล่าครับ เพื่อที่จะได้อยู่พูดคุยกับผู้ปกครองของคุณหนูด้วย?”
หนิงเจียวหันไปมองเจี่ยนชิงไฉที่กำลังหันไปง่วนอยู่กับเครื่องจักรเย็บผ้า และน้องชายที่เดินกลับเข้าห้องและเพิ่งออกมาพร้อมกับกีตาร์ของเขา
“ก็ค่อนข้างสะดวกอยู่ค่ะ แล้วไม่ทราบว่าคุณจะเข้ามาที่นี่ประมาณกี่โมงคะ”
ซือสือดันแว่นของตัวเองขึ้นก่อนกล่าว “ความจริงผมเพิ่งหาที่จอดรถใกล้บ้านของคุณได้เองครับ”
หนิงเจียว “...”
มารยาทของคนประเทศเหยา คือแจ้งกำหนดการนัดพบกะทันหันแล้วก็บุกเข้าไปหาเป้าหมายเลขอย่างงั้นหรือ?
สุดท้ายหนิงเจียวอนุญาตให้เขามาที่บ้าน พร้อมบอกชั้นและตำแหน่งของบ้านที่เธออยู่ ก่อนที่จะเธอจะเดินไปแจ้งเรื่องนี้กับเจี่ยนชิงไฉ
เจี่ยนชิงไฉเมื่อพบหน้าทนายหนุ่มในชุดสูทแล้วก็ยิ่งกระสับกระส่าย แม้ว่าท่าทีของคนตรงหน้าจะสุภาพมาก แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นปัญญาชนที่อยู่คนละระดับกับเธอ
หนิงเจียวไม่รู้เรื่องความคิดของคนประเทศเหยา ที่มักให้ความสำคัญกับผู้ที่เรียนจบมหาวิทยาลัย มีการศึกษาสูงๆ และมีอาชีพที่เป็นที่นับหน้าถือตา เธอจึงวางตัวไม่ต่างจากที่พบเจอกับเอเรีย ด้วยมุมมองของเด็กในโลกตะวันตกที่มักไม่แบ่งแยกวัยวุฒิจากเปลือกนอก
ซือสือนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้ามกับหนิงเจียวและครอบครัว พอดีสายตาของเขาเหลือบเห็นคู่มือแนะนำนักเรียนใหม่ของสถาบันแดนตะวันออกแห่งเหยาอยู่เพียงแวบเดียวก็ต้องรีบเบี่ยงออก แล้วเงยหน้าขึ้นสบตา ‘อาจารย์มาวหนีอู’ ก่อนจะผงกศีรษะเป็นเชิงทำความเคารพอีกครั้ง
“สวัสดีอีกครั้งครับคุณหนูเจี่ยน”
“คุณหนู?” หนิงจ้าวนั่งอยู่เยื้องกับซือสือกับต้องหันไปทำสายตาแปลกๆ ใส่หนิงเจียว
หนิงเจียวยิ้มแบบไม่ใส่ใจ “คุณซือ นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้พบกันนะคะ”
เขาตอบสั้นๆ ว่า “ครับ” ก่อนจะดึงเอาเอกสารที่ใส่ต้นฉบับออกมา “ผมได้อ่านมันแล้ว นิยายเรื่องนี้...ดีมากเลยนะครับอาจารย์มาวหนีอู”
“ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ”
ซือสือไม่กล่าวเถลไถลใดๆ จึงตรงเข้าเรื่องในทันทีว่า “ก่อนหน้านี้ช่วงเช้า ผมได้ให้เพื่อนที่สำนักงานเดียวกันช่วยตรวจสอบเรื่องจำนวนค่าลิขสิทธิ์และสัญญาของหนังสือ โดยอิงจากหนังสือเรื่องอื่นๆ ในสำนักพิมพ์ฮัวหมิง และจากที่สำนักพิมพ์อื่นๆ แล้ว พบว่าโดยจำนวนมากแล้ว ผู้เขียนมักจะขายขาดให้กับทางสำนักพิมพ์เป็นจำนวนหนึ่ง และรับเอากำไรก้อนโตไป” เขากล่าวไปแล้วก็ดันแว่นขึ้นอีก
“ผมคิดว่าหากผลงานที่พอถูไถ การขายขาดอาจจะดี แต่ว่าสำหรับเรื่องย่างก้าว พิชิตบัลลังก์ที่เขียนได้เหนือชั้นกว่า สมควรทำสัญญากับทางสำนักพิมพ์เพียงสองปีสามปี โดยพยายามดึงให้พวกเขามอบข้อเสนอการเปอร์เซ็นต์การขายสูงสุดจากราคาเล่มออกมาแทน”
หนิงเจียวปล่อยให้เขาเสนอแนะต่อโดยไม่แสดงความเห็นใดออกมา จึงเอ่ย “ลองว่าต่อสิคะ”
บรรยากาศที่ซือสือสัมผัสในตอนนี้ กลับรู้สึกเหมือนตอนที่เขาออกไปพบลูกค้าของหัวหน้า ซึ่งเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ที่มีอิทธิพลคนหนึ่งของเมืองหลวง และนั่นยิ่งทำให้เขายิ่งรู้สึกกดดันมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“ปกติการมอบเปอร์เซ็นต์ของยอดขายต่อเล่มที่ทางนักเขียนควรได้ สูงสุดจะอยู่ที่ 15%” ท่าร่างของซือสือยิ่งยืดตรงขึ้น แววตาที่ซ่อนอยู่หลังแว่นยิ่งคมกริบ “ผมจะพยายามให้เขามอบให้ถึง 17%”
เดิมซือสือคาดว่าหนิงเจียวจะยิ้มรับและพอใจแล้ว แต่ทว่าเธอกลับนิ่วหน้า
“ขอบคุณในความทุ่มเทของคุณ แต่ฉันอยากรักษามิตรภาพร่วมกับสำนักพิมพ์นี้ต่อไปมากกว่าค่ะ”
“เพราะอะไรเหรอครับ” เขาไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด ผลประโยชน์ที่มากมายและมีโอกาสตักตวงมาได้ แต่ทว่าตัวผู้รับกลับไม่ยินยอมรับเอาไว้
หนิงเจียวยกมุมปากเบาบางขึ้น ใบหน้าอ่อนวัยดูปรานีและปรากฏร่องรอยของความเข้มงวดขึ้นมา “เดิมทีการทำธุรกิจนั้นจะให้มองเพียงผลประโยชน์อย่างเดียวไม่ได้”
ขณะที่เธอกำลังจะเอ่ยปากต่อ กลับสบสายตางุนงงของหนิงจ้าวเข้า ทำให้เธอเผลอนึกถึงหลานชายคนหนึ่งที่อายุพอๆ กับหนิงจ้าวในตอนนี้ ทำให้นัยน์ตาของเธออ่อนจางลงพร้อมกับเอ่ยคำอธิบาย
“นี่เป็นหลักการหนึ่งของโลกธุรกิจ ฟังดูแปลกดีใช่ไหมคะ เพราะในเมื่อการค้าขายเพื่อเอากำไร คือจุดประสงค์หลักของการทำการค้า แต่ทว่าโลกนี้ไม่มีใครได้เปล่าและต้องสูญเสีย พวกคนค้าขายต้องเข้าถึงสายพานการผลิตที่มีคุณภาพ ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับร้านค้าที่สามารถกระจายสินค้าเราไปได้ทุกที่ ต้องมีมิตรไมตรีกับสังคมในแต่ละระดับ ต้องสร้างเส้นสายกับผู้มีอำนาจที่คุ้มครองเราได้ และยังมีอะไรหลายๆ อย่างที่เป็นปัจจัยให้สามารถป้องกันธุรกิจจากการโจมตีของผู้ไม่หวังดี ทั้งหมดนี้คือเราต้องมอบมิตรภาพให้กับผู้ร่วมธุรกิจ ให้เขาสามารถกลายเป็นเรือให้เราอาศัยแล่นไปบนคลื่นที่กำลังบ้าคลั่งได้อย่างสงบ”
แต่แล้วหนิงเจียวกลับอ้ำอึ้ง นัยน์ตาแสดงความไม่สบอารมณ์ไปแวบหนึ่งก่อนจะกลับไปเคร่งขรึมตามเดิม “หากฮัวหมิงสามารถกลายเป็นเพื่อนร่วมธุรกิจที่ดี ฉันก็อยากร่วมงานต่อ และให้เขาได้มีส่วนร่วมในผลประโยชน์โดยที่ไม่บาดเจ็บ สิ่งที่ฉันต้องการ ความจริงมีแค่นี้...”
กล่าวถึงตรงนี้แล้วก็ถอนหายใจออกมา ดูไปดูมาแล้วยิ่งไม่เหมือนเด็ก แต่กลับคล้ายผู้ใหญ่ที่คิดมากเกินไป “...แต่ที่ฉันทำอะไรวุ่นวายขึ้นมานี่ ก็แค่กำลังสร้างหลักประกัน และแสดงท่าทีของฉันถึงด้านที่มีต่อการร่วมงาน โดยหวังว่าการละเมิดลิขสิทธิ์ใดๆ จะไม่เกิดขึ้นก็เท่านั้น”
คิดถึงฉันที่ต้องอดหลับอดนอนพิมพ์ประโยคหนึ่งภายในสิบถึงสิบห้าวินาที โดยที่ห้ามไม่ให้ผิดหลักรูปประโยค ไวยากรณ์ และคำศัพท์ที่ใช้ดูสิ
ภายในหนึ่งชั่วโมง ฉันจะสามารถปั่นไปได้กี่หน้า โดยที่ไม่ต้องนึกย้อนกลับไปอ่านทวนว่าฉันพิมพ์ผิดหรือเปล่า?
เมื่อคืนหนิงเจียวก็รู้สึกนอนหลับไม่เต็มอิ่ม เพราะความฝันบ้าๆ นั่นที่ดึงเธอไปพบกับที่ไม่อยากเห็นหน้าที่สุดในตอนนี้ แถมพอต้องเอ่ยถึงหลักธุรกิจอะไรนั่นออกมา... ก็ยิ่งพบว่านั่นคือคำพูดที่เขาเคยใช้สอนเธอตอนที่สามีเพิ่งจากไปใหม่ๆ และธุรกิจของสามีที่เกือบจะถูกพวกบอร์ดบริหารซึ่งเป็นบรรดาญาติๆ ของสามีรุมฉีกทึ้งนั้น
...ตัวเธอในตอนนี้จึงพบว่า ตัวตนของเขาฝังรากลึกในจิตใต้สำนึกของเธอเพียงใด
ซือสือใช้เวลานานก็ทำความเข้าใจตัวตนของผู้ว่าจ้างได้แล้ว เขาระบายรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา “ผมทราบแล้วครับ”
จากนั้นเขาพูดคุยกับหนิงเจียวอีกนิดหน่อยก็ต้องขอตัวลา เพื่อไปพบกับตัวแทนของทางสำนักพิมพ์ฮัวหมิงเพื่อขอดูสัญญาก่อน
หนิงเจียวยื่นนามบัตรของหลางลู่หลินออกไปให้อีกฝ่าย “นี่คือเบอร์โทรติดต่อของบรรณาธิการที่จะดูแลฉันหลังการเซ็นสัญญาเกิดขึ้น สำหรับฉัน ตอนนี้ได้เมมเบอร์ติดต่อทั้งหมดไว้แล้ว ฉะนั้นบัตรใบนี้จึงไม่มีประโยชน์อีก”
ความจริงการเอานามบัตรที่เจ้าของบัตรมอบให้เป็นการส่วนตัว แล้วเอาไปยื่นต่อให้กับคนอื่นนั้นเป็นการเสียมารยาท แต่หนิงเจียวคิดว่าหลังจากที่ซือสือรับไปแล้ว เธอจะรีบติดต่อลู่หลินก่อน เพื่อแนะนำตัวซือสือ และแจ้งเธอว่าตนเองได้ให้เบอร์ติดต่อกับทนายที่จะมาดูสัญญาไป ซึ่งมันจะทำให้ดูไม่เสียมารยาทมากนัก
ซือสือรับมาแล้วก็เอ่ยขอตัว แต่หนิงเจียวยังตามไปส่งเขาถึงที่หน้าบันได จนทำให้เหลือเพียงแค่เธอและทนายซือสืออยู่กันสองคนเท่านั้น
ตอนนั้นซือสือพบว่าอีกฝ่ายยังมีเรื่องที่อยากคุยเป็นการส่วนตัว จึงมองหามุมลับตาที่สามารถสังเกตเห็นการมาถึงของบุคคลที่สามได้อย่างรอบด้าน
“ไม่ทราบว่าคุณหนูเจี่ยงยังมีความประสงค์ใดอีกหรือครับ”
หนิงเจียวขมวดคิ้วเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น “ฉันอยากให้พรุ่งนี้ คุณช่วยเตรียมเอกสารการมอบอำนาจสิทธิของผู้ปกครองติดมาด้วยค่ะ”
เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับกฎหมาย ซือสือก็กลับเข้าโหมดคนทำงาน “ไม่ทราบว่าจะใช้ไปเพื่ออะไรครับ” เพราะวันพรุ่งนี้ ผู้ปกครองของอีกฝ่ายก็ต้องไปเซ็นสัญญาร่วมกับเจ้าตัวอยู่แล้ว นี่จึงทำให้เขาแปลกใจว่าเพราะอะไรอีกฝ่ายถึงอยากให้เขาแนบเอกสารนั้นไปด้วย
หนิงเจียวเพียงยิ้มเย็น “ฉันมีการต่อสู้อื่นรออยู่ แต่เพียงแค่เพราะยังไม่บรรลุนิติภาวะ ทำให้ฉันขยับตัวลำบากมาก”
ถึงแม้ว่าการที่เธอจะให้โนอาห์ช่วยเหลือนั้น ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้
...แต่ความยุ่งยากในการกลบเกลื่อนร่องรอยที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายนั้น มันกลับวุ่นวายในสายตาเธอ และหากไม่จำเป็นต้องทำ เธอก็ไม่ค่อยอยากใช้วิธีการเดียวกับเขาคนนั้นได้สอนเธอมาสักเท่าไหร่
ซือสือมองเห็นแววตากลมโตของหนิงเจียวที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ตลอด ก็ต้องลอบดันแว่นของตนเองขึ้น “ผมคิดว่าคุณคงอยากจ้างวานผมต่อด้วยใช่ไหมครับ”
หนิงเจียวหลุบตาก่อนจะทำให้มันกลับมาเป็นปกติ แล้วเปลี่ยนคำถามไปที่เรื่องอื่น
“คุณคิดว่างานเขียนสามารถสะท้อนตัวตนของผู้เขียนออกมาได้หรือเปล่า”
เขาปรับท่าทีไม่ทัน ได้แต่ต้องแสดงความลังเลออกมาเล็กน้อย “ผมอ่านงานวรรณกรรมมาไม่มาก แต่คิดว่างานเขียนคือการบรรยาความคิด และการตัดสินใจของผู้รังสรรค์ผลงาน และผมก็คิดว่ามันต้องมีไม่มากก็น้อยที่ภายในนั้น จะปรากฏตัวตนของผู้รังสรรค์แฝงอยู่ข้างใน”
“ใช่ งานเขียนคือชีวิตของนักเขียน” เธอเผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา “และตัวตนของฉันที่แข็งกร้าวก็แฝงอยู่ข้างนั้นด้วย คุณคงอ่านมันหมดแล้ว ยังจำตอนที่ฮองเฮาซูไปคุกเข่าที่ตำหนักใหญ่เพื่อขอให้ฮ่องเต้สังหารบิดาของตนเองหรือเปล่า”
ซือสือเบิกตากว้างขึ้น “ผมจำได้” นี่เป็นช่วงต้นของการเปิดเรื่องราว นวนิยายที่ปล่อยกลิ่นเลือด และรังสีของการเข่นฆ่าขนานใหญ่จนนักอ่านพากันสั่นสะท้าน
จากนั้นซือสือยังกล่าวต่อว่า “สามีเป็นดั่งท้องฟ้าภรรยา นับประสาอะไรกับฮ่องเต้ที่ยิ่งเป็นท้องฟ้าของปวงประชา ฮองเฮาทรงเลือกทางนี้ก็สมควรได้รับขนานนามว่าภักดีต่อแผ่นดินแล้วนี่ครับ”
ครอบครัวของฮองเฮอาซูภายในเรื่องย่างก้าว พิชิตบัลลังก์นั้น ได้พัวพันกับกระทำความผิดโดยมิได้ตั้งใจ ผ่านการชักนำของตัวร้ายของเรื่อง และเพื่อที่ปกป้องตนเองและตัวเอกที่ยังอายุน้อย นางจึงได้แต่ยอมก้าวลงจากบัลลังก์หงส์ ถอยห่างจากสกุลเดิม โดยการยื่นดาบประหัตประหารให้แก่สามี เพื่อใช้ล้มล้างครอบครัวเดิมของพระนางเอง
ประวัติศาสตร์ประเทศเหยาไม่เคยเรื่องราวเฉกเช่นนี้ปรากฏอยู่ในหน้าบันทึก ทำให้ผู้อ่านหลายคนที่เข้าไปอ่านต่างก็ค้นพบโดยทันทีว่าเรื่องราวนี้เป็นการเขียนแต่งเติมใหม่ขึ้นมา กระทั่งสถานที่และชื่อใดๆ ก็ล้วนไม่มีอยู่จริง
แต่ทว่าอาจเพราะประวัติศาสตร์เพียงเขียนแต่ด้านดีๆ ที่น่าสรรเสริญของเหล่าบรรพกษัตริย์ ราวกับกำลังอ่านชีวประวัติการสู้ชีวิตของคนดังที่ตัดทอนเนื้อหารุนแรงออกไปแล้ว จึงทำให้บรรดานักอ่านนวนิยายสายประวัติศาสตร์ รู้สึกชืดชาเหมือนกำลังกินแกงจืด และเมื่อพวกเขามาค้นพบความดุดันเผ็ดร้อน และความดำมืดที่อยู่เบื้องหลังกำแพงที่คล้ายพระราชวังเหยาผู้ยิ่งใหญ่ จึงไปกระตุ้มปุ่มรับรสอื่นๆ พร้อมกันจนน้ำลายไหลพรากออกมา
...ช่างเป็นรสชาติการอ่านที่อร่อยล้ำ และเสพติดเหมือนยาร้ายแรงที่ถ้าไม่ทานต่อเนื่องก็จะทุรนทุราย
“แต่มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องเอกสารมอบอำนาจล่ะครับ?”
ซือสือไม่เข้าใจ หรือว่าอีกฝ่ายจะใช้มันไปประหารคนในครอบครัวของตัวเองหรือ?
“แค่เปรียบเปรยถึงการตัดขาดของสองครอบครัวน่ะค่ะ” เธอยิ้มอ่อนหวาน “และฉันคิดว่าจะจ้างให้คุณช่วยลงดาบแทนฉันหน่อย”
“จ้างฆ่า?” อาจเพราะเขายังคงอินกับนิยายไม่หาย ทำให้สมองอันปราดเปรื่องแต่เดิมถูกกวนขุ่นจนไร้ประสิทธิภาพคำนวณ
หนิงเจียวหลุดหัวเราะออกมา ตอนนี้ท่าทางของเขาทำให้อดเอ็นดูขึ้นมาไม่ได้
“ฉันอยากใช้ดาบหนึ่งตัดสายสัมพันธ์ของสองครอบครัว และเอกสารนั้น ก็เป็นเพียงองค์ประกอบเล็กๆ เท่านั้นค่ะ” นัยน์ตากลมโตวาววับดุจคมดาบพลางสบตาอีกฝ่าย
ดูล่องลอย โดดเดี่ยว ทว่าทระนงตัว
“...ตัวตนของฉันก็เหมือนนิยาย ถ้าเพื่อคนที่ฉันรัก ต่อให้ใช้ความตายเพื่อแลกกับการปกป้องก็จะยอม”
และก็เหมือนฮองเฮาซูที่ภายหลังสามารถใช้ความตาย ต่อชีวิตให้บุตรชายของตนเองได้
ซึ่งเธอเองก็เคยทำมาแล้ว ไม่เช่นนั้นตนเองจะถูกยิงจนตาย เพียงเพราะใช้ตัวเองเป็นตัวล่อแทนบุตรชายได้อย่างไร?
ซือสือเผลอมองสบตา ภายในจิตใต้สำนึกก่อเกิดระลอกคลื่นบางอย่าง
...บางอย่างที่อาจเรียกว่า ยอมสยบต่อตัวตนของผู้ที่ถืออำนาจเหนือกว่า
.
.
.
.
.
.
.
หนิงเจียวเดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าเย็นเยียบ
วันนี้ทั้งวันเธอรู้สึกอารมณ์ไม่คงที่ นี่มันเหมือนไม่ใช่ตัวเธอเลย นับตั้งแต่ห้วงความคิดปรากฏภาพของเขาคนนั้น คนเธอไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริง และกระทั่งชื่อที่เรียกมาตลอดหลายสิบปีก็เป็นเพียงชื่อลวงๆ ชื่อหนึ่งเท่านั้น
หนิงเจียวรู้สึกเย็นที่ข้างแก้ม เธอยกปลายนิ้วมือขึ้นสัมผัสมัน และพบกับหยาดน้ำแห่งความสับสนที่ไหลออกมาจากตาเม็ดหนึ่ง
ในฐานะคนกลางของผลประโยชน์ระหว่างสองครอบครัว สิ่งสำคัญคือหัวใจจะต้องตายด้าน และไร้รัก
เพราะเธอรู้ว่าตนเองมีอารมณ์ด้านมืดที่เรียกว่าความอาฆาต แต่เพราะมันแสดงได้ดีและแอบซ่อนมันเก่งเกินไป จึงทำให้บางครั้งเธอก็ลืมมันไปแล้วว่าความรู้สึกแบบไหนที่เรียกว่าอาฆาต
แต่วันนี้เธอสับสน
เธอรู้สึกโกรธกับการกระทำของสกุลฟ่าน
แต่ทำไมพอเป็นคนๆ นั้นดันกลายเป็นความหวาดกลัวไปเสียได้
“หรือว่าฉันถูกกล่อมแล้วอย่างนั้นหรือ” หนิงเจียวกล่าวพึมพำพลางปิดปากตนเอง
หลายสิบปีมากเพียงพอที่จะล้างสมองคนๆ หนึ่ง
มากพอที่จะฝังรากบางสิ่ง…ให้เกิดความรู้สึกบางอย่าง
สับสน งุนงง หวาดกลัว หลบหนี
พอหนิงเจียวขบคิดมากๆ เข้า สมองก็เริ่มอ่อนล้า
หรือบางทีจอร์จิน่า ลาร์มาเซย์ในตอนนี้ ก็อาจไม่ใช่ตัวตนเดิมของเธอก็เป็นได้
เธออาจเปลี่ยนไปแล้ว?
“หรือว่าความจริงคือฉันเพิ่งจะแสดงธาตุแท้ออกมากันนะ”