ต้าลี่ฮวา ดวงใจพ่ายรัก-ฮ่องเต้แคว้นหยวน 2

โดย  ปรียาดา

ต้าลี่ฮวา ดวงใจพ่ายรัก

ฮ่องเต้แคว้นหยวน 2



ข้อโต้แย้งสุดท้ายของจวินเสี่ยวโม่ขจัดข้อสงสัยว่านางกินโอสถระงับขั้นการฝึกตนหรือไม่ไปโดยสิ้นเชิง แต่นางก็ไม่ได้อธิบายว่าเหตุใดระดับการฝึกตนจึงตกไปอยู่ระดับบำรุงปราณขั้นหนึ่ง หลังจากผู้อาวุโสรองครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็ยกเปลือกตาขึ้นพร้อมถามด้วยน้ำเสียงเงียบสงบ “ระดับการฝึกตนของเจ้าลดลงตั้งแต่เมื่อใด”

“ผู้อาวุโสรอง ศิษย์ไม่มั่นใจ” จวินเสี่ยวโม่โค้งคำนับ

“ไม่มั่นใจอย่างนั้นหรือ” ผู้อาวุโสรองเลิกคิ้ว

“ใช่ ศิษย์ไม่มั่นใจเรื่องนี้ หลังจากได้รับการลงโทษข้อหารุกล้ำเขตหวงห้ามสำนัก เจ้าสำนักได้ตรวจสอบเส้นลมปราณและจุดตันเถียงของศิษย์ ตอนนั้นเจ้าสำนักบอกแค่ว่าเส้นลมปราณของศิษย์ได้รับความเสียหาย แต่ก็ไม่ถึงระดับที่ไม่สามารถคืนสภาพได้ ถึงกระนั้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาการสูญเสียปราณวิญญาณจากจุดตันเถียนและเส้นลมปราณของศิษย์ยิ่งทวีความร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ ตอนที่พบว่าแขนขาของศิษย์อ่อนแรงและสูญเสียปราณวิญญาณในกายแทบทั้งหมดก็สายไป ระดับการฝึกตนของศิษย์ตกสู่ระดับบำรุงปราณขั้นหนึ่งเสียแล้ว”

ในคำพูดของจวินเสี่ยวโม่มีทั้งความจริงและคำโกหก นางรู้ว่าเรื่องจริงครึ่งไม่จริงครึ่งเป็นสิ่งที่ตัดสินได้ยากที่สุด

แม้ว่าจะมีคนขอการยืนยันจากเหอจางนางก็ไม่กลัว เพราะนางกินโอสถที่เหอจางมอบให้หมดแล้ว จะมีใครอธิบายได้ชัดเจนว่าเหตุใดอาการของนางจึง ‘แย่ลง’ แม้นางจะทุ่มเท ‘รักษา’ ตนเอง บางทีเหอจางอาจจะไม่กล้าบอกว่าตนให้จวินเสี่ยวโม่กินโอสถอะไรเสียด้วยซ้ำ

หึ โอสถบังคับเปลี่ยนกายวิญญาณเป็นกายมาร...เหอจางคิดว่าจะหลอกทุกคนได้อย่างนั้นหรือ

แน่นอนว่าหลังจากที่จวินเสี่ยวโม่พูดจบทั่วทั้งตำหนักลงทัณฑ์ก็ตกอยู่ในความเงียบงัน

ทุกคนรู้ว่าจวินเสี่ยวโม่โดนลงโทษร้ายแรงเพียงใดจากข้อหาบุกรุกเขตหวงห้าม ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเกินไปที่ระดับการฝึกตนของนางจะได้รับผลกระทบจากการลงโทษสถานหนักเช่นนั้น

“เหตุใดเจ้าจึงไม่รายงานเรื่องนี้ให้สำนักทราบ” ผู้อาวุโสสามถาม

“ศิษย์สมควรได้รับการลงโทษที่รุกล้ำเขตหวงห้ามสำนัก ถ้าการลงโทษนี้ทำให้ระดับการฝึกตนของศิษย์ตกต่ำลงก็เป็นความผิดของศิษย์เอง ดังนั้นศิษย์จึงไม่รายงานเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เพื่อรบกวนการฝึกบำเพ็ญตนของเหล่าท่านผู้อาวุโส”

จวินเสี่ยวโม่อธิบายอย่างมีสติรู้ชอบ ทำให้นางดูเป็นศิษย์ที่มีคุณธรรม รู้จักใส่ใจผู้อื่น

เสแสร้งหรือ ข้าก็ทำได้เช่นกัน

แต่การเสแสร้งของนางไม่ใช่ประเภทแสร้งทำตัวน่าสงสาร จวินเสี่ยวโม่เหลือบมองเด็กสาวที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างๆ บอกไม่ได้เลยว่าหยูว่านโหร่วกำลังคิดอะไรอยู่ขณะนี้

เมื่อจวินเสี่ยวโม่พูดจบผู้อาวุโสสามกับผู้อาวุโสห้าก็พยักหน้าด้วยสายตาชื่นชม ชัดเจนว่าการแสดงออกของนางสร้างความประทับใจที่ดีมากให้กับผู้อาวุโสทั้งสอง แต่ผู้อาวุโสรองไม่เป็นเช่นนั้น เขายังคงจ้องมองจวินเสี่ยวโม่ด้วยแววตาสลับซับซ้อน

จวินเสี่ยวโม่ใจเสียเล็กน้อย นางรู้สึกว่าท่าทางของผู้อาวุโสรองที่มีต่อนางค่อนข้างผิดปกติ

เพราะนางไม่เคยทำให้ผู้อาวุโสรองขุ่นเคือง ในเมื่อเป็นเช่นนั้นผู้อาวุโสรองก็ต้องมีเหตุผลอื่นที่ให้การยอมรับนางได้ยาก

เหตุผลคืออะไร เป็นเพียงเพราะไม่ชอบพอข้าหรือเหตุผลอื่นใด...

ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ก็มีคนพูดขัดขึ้นมา

“ขอเสียมารยาท...ศิษย์น้องเสี่ยวโม่ ถ้าระดับการฝึกตนของเจ้าตกสู่ระดับบำรุงปราณขั้นหนึ่งจริง เหตุใดเจ้าจึงไม่แสดงอาการไม่สบายกายหรือใจเลย” ศิษย์ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ห่างไปไม่ไกลถามขึ้นด้วยความลังเล

นี่ยังไม่รวมถึงท่าทีเอาตนข่มและไหวพริบในการตอบกลับที่แสดงเมื่อครู่!

ศิษย์ชายคนนั้นพูดต่อในใจ

จวินเสี่ยวโม่หันมองศิษย์ผู้นั้นก่อนจะปรายตามองผู้คนในตำหนักลงทัณฑ์อีกครั้งด้วยสีหน้านิ่งเฉย ศิษย์หลายคนยังคงแสดงความสงสัยและกังขาอย่างชัดเจนบนใบหน้า

จวินเสี่ยวโม่หรี่ตาลง เชิดหน้าขึ้น และยกมุมปากพูดเสียงดังฟังชัดกับศิษย์ชายคนนั้น

“ข้าจำเป็นต้องแสดงอาการไม่สบายผ่านทางสีหน้าด้วยหรือ แสดงไปแล้วจะได้ประโยชน์อันใด เพื่อให้ผู้คนสงสารและเห็นอกเห็นใจข้าอย่างนั้นหรือ ความสงสาร ความเห็นใจ ความเมตตา จวินเสี่ยวโม่ผู้นี้หาได้ต้องการสิ่งเหล่านี้ไม่ เพราะข้าคือบุตรสาวของจวินหลินเซวียน ข้ามีศักดิ์ศรีมากพอ ขอพูดเพียงเท่านี้ เชิญพวกท่านตัดสินกันเอง”

พูดจบนางก็หันหนีไม่แม้แต่จะชายตามองผู้ใดราวกับกำลังโกรธเคือง

พวกเจ้าบอกว่าข้าเป็นคน ‘เกเร หัวรั้นและเอาแต่ใจ’ มิใช่หรือ เช่นนั้นข้าก็จะแสดง ‘ศักดิ์ศรี’ ของข้าให้ทุกคนเห็น!

จริงดังนั้น จวินเสี่ยวโม่ในขณะนี้เปี่ยมล้นไปด้วยความทะนงตน แต่ไม่ได้เป็นความทะนงตนที่มากล้นจนกลายเป็นความยโสโอหัง หากการหลั่งน้ำตาของหยูว่านโหร่วทำให้ผู้คนรู้สึกสงสาร ความเข้มแข็งของจวินเสี่ยวโม่ผู้กัดฟันทนความเจ็บปวดยิ่งจะทำให้คนรู้สึกสลดใจและอาจจะมองว่านาง...ดูน่ารักขึ้นนิดหน่อย

มีสัตว์ชนิดหนึ่งชื่อชะมดที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ แม้ยามได้รับบาดเจ็บมันก็ยังอวดเล็บคมอย่างสงบ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและใจที่ไม่ยอมแพ้ หลายคนที่เฝ้าดูเหตุการณ์คิดขึ้นเช่นนั้นรวมถึงฉินหลิงหยูและเยว่ซิวเหวิน แต่ไม่มีใครแสดงความคิดนี้ผ่านทางสีหน้า

ศิษย์ชายหลายคนเริ่มใจโน้มเอียงไปทางจวินเสี่ยวโม่ พวกเขาอดคิดขึ้นในใจไม่ได้ว่าสมแล้วที่เป็นบุตรสาวของอาจารย์จวินหลินเซวียน จิตใจแข็งแกร่งจริงๆ

เสียงระฆังเตือนภัยดังขึ้นในใจหยูว่านโหร่ว!

นางหันไปมองฉินหลิงหยูแล้วตระหนักว่าเขากำลังจับจ้องจวินเสี่ยวโม่ด้วยสีหน้าสลับซับซ้อน หัวใจของนางเจ็บปวดขึ้นมาขณะร่ำร้องในใจ

ไม่! ฉินหลิงหยูเป็นของข้า! จวินเสี่ยวโม่จะแย่งไปจากข้าไม่ได้!

ราวกับความเจ็บปวดในใจสะท้อนออกมา ความเจ็บปวดบริเวณหน้าอกของหยูว่านโหร่วก็รุนแรงขึ้นทำให้นางไออย่างควบคุมไม่ได้เหมือนดังว่าต้องไอจนกระอักหัวใจออกมา

จวินเสี่ยวโม่หันไปมองหยูว่านโหร่วที่กำลังไออยู่แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“มีอะไรหรือศิษย์น้องว่านโหร่ว เจ้ามีอะไรจะพูดไหม หรือ...เจ้ายังคิดว่าตัวข้าที่ระดับบำรุงปราณขั้นหนึ่งจะสามารถทำร้ายเจ้าที่เป็นผู้ฝึกตนระดับบำรุงปราณขั้นห้าได้”

“ข้าไม่...แค่กๆๆ...” หยูว่านโหร่วอยากบอกว่านางไม่ได้ไอเพื่อแสดงความหมายแฝงใดๆ แต่จวินเสี่ยวโม่ไม่เปิดโอกาสให้นางได้อธิบาย

“ไม่อะไร ไม่กล่าวหาข้าผิดๆ ต่อแล้วหรือ” ริมฝีปากของจวินเสี่ยวโม่ผุดยิ้มเย้ยหยัน นางจงใจตีความสิ่งที่หยูว่านโหร่วพยายามจะพูดไปผิดๆ “เช่นนั้นเชิญอธิบายให้ทุกคนเข้าใจว่าข้ารังแกเด็กสาวผู้น่าสงสารอย่างเจ้า ‘โดยไร้เหตุผล’ และทำตัวเป็น ‘อันธพาล’ ขู่ให้เจ้าเก็บเรื่องเงียบได้อย่างไร ช่วยอธิบายให้ละเอียดด้วย อย่าละเลยแม้แต่เรื่องเดียว”

หยูว่านโหร่วกัดริมฝีปากอย่างรุนแรง น้ำตาไหลออกมาอย่างช่วยไม่ได้

แต่น้ำตานี้ไม่ได้มาจากการเสแสร้ง หยูว่านโหร่วรู้สึกคับแค้นใจมาก นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดทุกครั้งที่พยายามนึกถึงรายละเอียดว่าจวินเสี่ยวโม่ทำร้ายนางอย่างไรความทรงจำของนางกลับพร่ามัว ราวกับว่าความทรงจำของนางโดนดัดแปลงหรือแทรกแซง!

จวินเสี่ยวโม่หรี่ตามองและสังเกตเห็นบางอย่างจากสีหน้าของหยูว่านโหร่ว

ดูเหมือนว่าหยูว่านโหร่วจะลืมเหตุการณ์ตอนที่นางเกือบจะโดนมารร้ายเข้าครอบงำ ถือเป็นเรื่องดีสำหรับนาง คงจะเกิดปัญหาถ้าหยูว่านโหร่วจำเรื่องราวนั้นได้

เมื่อสรุปได้เช่นนั้น นางก็เลิกกังวลเรื่องนี้ไปชั่วคราว

จวินเสี่ยวโม่เดินเข้าไปหาหยูว่านโหร่วช้าๆ จากนั้นก็ก้มมองใบหน้าเปรอะน้ำตาของอีกฝ่าย

“โธ่ สงสัยว่าข้าจะเป็น ‘อันธพาล’ จริงๆ ดูสิ นี่ข้าทำนางร้องไห้โดยไม่รู้ตัวเลยอย่างนั้นหรือ...สงสัยจริงว่าการเล่าลือว่าข้าเป็น ‘อันธพาลดื้อรั้นเอาแต่ใจ’ มีต้นสายปลายเหตุมาจากไหน หืม”

จวินเสี่ยวโม่จงใจเน้นบางคำ ถึงนางจะพูดไม่ดังมาก แต่เนื่องจากความเงียบงันที่ปกคลุมทั่วตำหนักลงทัณฑ์ ทุกคำที่ออกจากปากก็ได้ยินชัดเจนไปทั่วทั้งตำหนัก

ศิษย์ส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมการพิจารณาคดีเบิกตากว้างเมื่อตระหนักขึ้นมาได้ในทันที

จริงด้วย ภาพลักษณ์ดื้อรั้นเอาแต่ใจของจวินเสี่ยวโม่ในใจของพวกเขามาจำเสียงเล่าลือหมดเลยมิใช่หรือ หลายคนบอกว่าจวินเสี่ยวโม่ใช้ประโยชน์จากภูมิหลังทรงอำนาจในการกลั่นแกล้งศิษย์ร่วมสำนักผู้ไร้ซึ่งอำนาจดังเช่นหยูว่านโหร่ว

ถ้าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ถือเป็นหนึ่งใน ‘การกลั่นแกล้ง’ ตามที่เล่าอ้าง...เช่นนั้นข่าวลือก็เชื่อถือไม่ได้

เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาพินิจพิเคราะห์ที่จ้องมองมา หยูว่านโหร่วก็หักห้ามไฟเกลียดชังในใจที่สั่งให้พุ่งไปฉีกกระชากรอยยิ้มบนใบหน้าของจวินเสี่ยวโม่เป็นชิ้นๆ แทบไม่ไหว

เป็นอินทรีมาทั้งชีวิต ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะถูกอินทรีจิกตาเอาได้!

ที่ผ่านมาหยูว่านโหร่วแสร้งทำตัวอ่อนแอเพื่อสร้างความลำบากให้จวินเสี่ยวโม่ แต่วันนี้นางได้ลิ้มรสชาติความขมขื่นนี้เสียเอง ความคับแค้นใจติดอยู่ในลำคอของนาง จะกลืนก็ไม่ลง จะสำรอกออกมาก็ไม่ได้

หยูว่านโหร่วกัดริมฝีปากล่างอีกครั้งแต่ตัดสินใจทุ่มสุดตัว มาไกลขนาดนี้แล้วถอยกลับไม่ได้อีก มิเช่นนั้นนางจะถูกตราหน้าว่าเป็น ‘จอมใส่ร้ายศิษย์ร่วมสำนัก’ ไปชั่วชีวิต

ในสำนักการใส่ร้ายศิษย์ร่วมสำนักถือเป็นความผิดร้ายแรงเช่นกัน เป็นไปไม่ได้ที่หยูว่านโหร่วจะไม่เกรงกลัวผลที่ตามมา

ตัดสินใจได้เช่นนั้นหยูว่านโหร่วก็ร่ำไห้ออกมาอีกครั้ง นางแค่นเสียงที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์พูด

“ศิษย์พี่เสี่ยวโม่ ไม่ใช่ว่าข้าตั้งใจจะใส่ร้ายท่าน แต่ความจริงคือคนที่ข้าเห็นในตอนนั้นคือท่านจริงๆ จะให้ข้าทำเช่นไร แท้จริงแล้วข้าไม่ได้อยากขุดคุ้ยเรื่องนี้ แต่ข้าก็ไม่อยากให้ความเข้าใจผิดระหว่างเราค้างคาอยู่เช่นนี้ต่อไป...แค่กๆๆ เรา...เราปล่อยให้เรื่องที่ผ่านมาแล้วให้แล้วผ่านไปได้หรือไม่ ข้าไม่สนใจแล้วว่าใครเป็นคนทำร้ายข้า...”

จวินเสี่ยวโม่ยืดหลังตรง นางหันไปมองหยูว่านโหร่วพักหนึ่งก่อนจะผุดยิ้มขึ้น

ดวงตาหยูว่านโหร่วส่องประกาย คิดว่าจวินเสี่ยวโม่จะยอมโอนอ่อนตามแต่นางหารู้ไม่...

“ไม่!” จวินเสี่ยวโม่พูดจากจุดยืนทางศีลธรรมของตนเองโดยเน้นย้ำทุกคำอย่างชัดเจน “ระหว่างเจ้ากับข้า เรื่องที่ผ่านมาแล้วให้แล้วผ่านไปไม่ได้ เพราะเจ้าเป็นคนหน้าซื่อใจคด”

หยูว่านโหร่วแทบสำลักกับการตอบกลับที่คาดไม่ถึงของจวินเสี่ยวโม่ นางจ้องมองจวินเสี่ยวโม่ด้วยแววตาว่างเปล่าจนลืมหลั่งน้ำตาไปชั่วครู่


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว