ข้อโต้แย้งสุดท้ายของจวินเสี่ยวโม่ขจัดข้อสงสัยว่านางกินโอสถระงับขั้นการฝึกตนหรือไม่ไปโดยสิ้นเชิง แต่นางก็ไม่ได้อธิบายว่าเหตุใดระดับการฝึกตนจึงตกไปอยู่ระดับบำรุงปราณขั้นหนึ่ง หลังจากผู้อาวุโสรองครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็ยกเปลือกตาขึ้นพร้อมถามด้วยน้ำเสียงเงียบสงบ “ระดับการฝึกตนของเจ้าลดลงตั้งแต่เมื่อใด”
“ผู้อาวุโสรอง ศิษย์ไม่มั่นใจ” จวินเสี่ยวโม่โค้งคำนับ
“ไม่มั่นใจอย่างนั้นหรือ” ผู้อาวุโสรองเลิกคิ้ว
“ใช่ ศิษย์ไม่มั่นใจเรื่องนี้ หลังจากได้รับการลงโทษข้อหารุกล้ำเขตหวงห้ามสำนัก เจ้าสำนักได้ตรวจสอบเส้นลมปราณและจุดตันเถียงของศิษย์ ตอนนั้นเจ้าสำนักบอกแค่ว่าเส้นลมปราณของศิษย์ได้รับความเสียหาย แต่ก็ไม่ถึงระดับที่ไม่สามารถคืนสภาพได้ ถึงกระนั้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาการสูญเสียปราณวิญญาณจากจุดตันเถียนและเส้นลมปราณของศิษย์ยิ่งทวีความร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ ตอนที่พบว่าแขนขาของศิษย์อ่อนแรงและสูญเสียปราณวิญญาณในกายแทบทั้งหมดก็สายไป ระดับการฝึกตนของศิษย์ตกสู่ระดับบำรุงปราณขั้นหนึ่งเสียแล้ว”
ในคำพูดของจวินเสี่ยวโม่มีทั้งความจริงและคำโกหก นางรู้ว่าเรื่องจริงครึ่งไม่จริงครึ่งเป็นสิ่งที่ตัดสินได้ยากที่สุด
แม้ว่าจะมีคนขอการยืนยันจากเหอจางนางก็ไม่กลัว เพราะนางกินโอสถที่เหอจางมอบให้หมดแล้ว จะมีใครอธิบายได้ชัดเจนว่าเหตุใดอาการของนางจึง ‘แย่ลง’ แม้นางจะทุ่มเท ‘รักษา’ ตนเอง บางทีเหอจางอาจจะไม่กล้าบอกว่าตนให้จวินเสี่ยวโม่กินโอสถอะไรเสียด้วยซ้ำ
หึ โอสถบังคับเปลี่ยนกายวิญญาณเป็นกายมาร...เหอจางคิดว่าจะหลอกทุกคนได้อย่างนั้นหรือ
แน่นอนว่าหลังจากที่จวินเสี่ยวโม่พูดจบทั่วทั้งตำหนักลงทัณฑ์ก็ตกอยู่ในความเงียบงัน
ทุกคนรู้ว่าจวินเสี่ยวโม่โดนลงโทษร้ายแรงเพียงใดจากข้อหาบุกรุกเขตหวงห้าม ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเกินไปที่ระดับการฝึกตนของนางจะได้รับผลกระทบจากการลงโทษสถานหนักเช่นนั้น
“เหตุใดเจ้าจึงไม่รายงานเรื่องนี้ให้สำนักทราบ” ผู้อาวุโสสามถาม
“ศิษย์สมควรได้รับการลงโทษที่รุกล้ำเขตหวงห้ามสำนัก ถ้าการลงโทษนี้ทำให้ระดับการฝึกตนของศิษย์ตกต่ำลงก็เป็นความผิดของศิษย์เอง ดังนั้นศิษย์จึงไม่รายงานเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เพื่อรบกวนการฝึกบำเพ็ญตนของเหล่าท่านผู้อาวุโส”
จวินเสี่ยวโม่อธิบายอย่างมีสติรู้ชอบ ทำให้นางดูเป็นศิษย์ที่มีคุณธรรม รู้จักใส่ใจผู้อื่น
เสแสร้งหรือ ข้าก็ทำได้เช่นกัน
แต่การเสแสร้งของนางไม่ใช่ประเภทแสร้งทำตัวน่าสงสาร จวินเสี่ยวโม่เหลือบมองเด็กสาวที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างๆ บอกไม่ได้เลยว่าหยูว่านโหร่วกำลังคิดอะไรอยู่ขณะนี้
เมื่อจวินเสี่ยวโม่พูดจบผู้อาวุโสสามกับผู้อาวุโสห้าก็พยักหน้าด้วยสายตาชื่นชม ชัดเจนว่าการแสดงออกของนางสร้างความประทับใจที่ดีมากให้กับผู้อาวุโสทั้งสอง แต่ผู้อาวุโสรองไม่เป็นเช่นนั้น เขายังคงจ้องมองจวินเสี่ยวโม่ด้วยแววตาสลับซับซ้อน
จวินเสี่ยวโม่ใจเสียเล็กน้อย นางรู้สึกว่าท่าทางของผู้อาวุโสรองที่มีต่อนางค่อนข้างผิดปกติ
เพราะนางไม่เคยทำให้ผู้อาวุโสรองขุ่นเคือง ในเมื่อเป็นเช่นนั้นผู้อาวุโสรองก็ต้องมีเหตุผลอื่นที่ให้การยอมรับนางได้ยาก
เหตุผลคืออะไร เป็นเพียงเพราะไม่ชอบพอข้าหรือเหตุผลอื่นใด...
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ก็มีคนพูดขัดขึ้นมา
“ขอเสียมารยาท...ศิษย์น้องเสี่ยวโม่ ถ้าระดับการฝึกตนของเจ้าตกสู่ระดับบำรุงปราณขั้นหนึ่งจริง เหตุใดเจ้าจึงไม่แสดงอาการไม่สบายกายหรือใจเลย” ศิษย์ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ห่างไปไม่ไกลถามขึ้นด้วยความลังเล
นี่ยังไม่รวมถึงท่าทีเอาตนข่มและไหวพริบในการตอบกลับที่แสดงเมื่อครู่!
ศิษย์ชายคนนั้นพูดต่อในใจ
จวินเสี่ยวโม่หันมองศิษย์ผู้นั้นก่อนจะปรายตามองผู้คนในตำหนักลงทัณฑ์อีกครั้งด้วยสีหน้านิ่งเฉย ศิษย์หลายคนยังคงแสดงความสงสัยและกังขาอย่างชัดเจนบนใบหน้า
จวินเสี่ยวโม่หรี่ตาลง เชิดหน้าขึ้น และยกมุมปากพูดเสียงดังฟังชัดกับศิษย์ชายคนนั้น
“ข้าจำเป็นต้องแสดงอาการไม่สบายผ่านทางสีหน้าด้วยหรือ แสดงไปแล้วจะได้ประโยชน์อันใด เพื่อให้ผู้คนสงสารและเห็นอกเห็นใจข้าอย่างนั้นหรือ ความสงสาร ความเห็นใจ ความเมตตา จวินเสี่ยวโม่ผู้นี้หาได้ต้องการสิ่งเหล่านี้ไม่ เพราะข้าคือบุตรสาวของจวินหลินเซวียน ข้ามีศักดิ์ศรีมากพอ ขอพูดเพียงเท่านี้ เชิญพวกท่านตัดสินกันเอง”
พูดจบนางก็หันหนีไม่แม้แต่จะชายตามองผู้ใดราวกับกำลังโกรธเคือง
พวกเจ้าบอกว่าข้าเป็นคน ‘เกเร หัวรั้นและเอาแต่ใจ’ มิใช่หรือ เช่นนั้นข้าก็จะแสดง ‘ศักดิ์ศรี’ ของข้าให้ทุกคนเห็น!
จริงดังนั้น จวินเสี่ยวโม่ในขณะนี้เปี่ยมล้นไปด้วยความทะนงตน แต่ไม่ได้เป็นความทะนงตนที่มากล้นจนกลายเป็นความยโสโอหัง หากการหลั่งน้ำตาของหยูว่านโหร่วทำให้ผู้คนรู้สึกสงสาร ความเข้มแข็งของจวินเสี่ยวโม่ผู้กัดฟันทนความเจ็บปวดยิ่งจะทำให้คนรู้สึกสลดใจและอาจจะมองว่านาง...ดูน่ารักขึ้นนิดหน่อย
มีสัตว์ชนิดหนึ่งชื่อชะมดที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ แม้ยามได้รับบาดเจ็บมันก็ยังอวดเล็บคมอย่างสงบ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและใจที่ไม่ยอมแพ้ หลายคนที่เฝ้าดูเหตุการณ์คิดขึ้นเช่นนั้นรวมถึงฉินหลิงหยูและเยว่ซิวเหวิน แต่ไม่มีใครแสดงความคิดนี้ผ่านทางสีหน้า
ศิษย์ชายหลายคนเริ่มใจโน้มเอียงไปทางจวินเสี่ยวโม่ พวกเขาอดคิดขึ้นในใจไม่ได้ว่าสมแล้วที่เป็นบุตรสาวของอาจารย์จวินหลินเซวียน จิตใจแข็งแกร่งจริงๆ
เสียงระฆังเตือนภัยดังขึ้นในใจหยูว่านโหร่ว!
นางหันไปมองฉินหลิงหยูแล้วตระหนักว่าเขากำลังจับจ้องจวินเสี่ยวโม่ด้วยสีหน้าสลับซับซ้อน หัวใจของนางเจ็บปวดขึ้นมาขณะร่ำร้องในใจ
ไม่! ฉินหลิงหยูเป็นของข้า! จวินเสี่ยวโม่จะแย่งไปจากข้าไม่ได้!
ราวกับความเจ็บปวดในใจสะท้อนออกมา ความเจ็บปวดบริเวณหน้าอกของหยูว่านโหร่วก็รุนแรงขึ้นทำให้นางไออย่างควบคุมไม่ได้เหมือนดังว่าต้องไอจนกระอักหัวใจออกมา
จวินเสี่ยวโม่หันไปมองหยูว่านโหร่วที่กำลังไออยู่แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“มีอะไรหรือศิษย์น้องว่านโหร่ว เจ้ามีอะไรจะพูดไหม หรือ...เจ้ายังคิดว่าตัวข้าที่ระดับบำรุงปราณขั้นหนึ่งจะสามารถทำร้ายเจ้าที่เป็นผู้ฝึกตนระดับบำรุงปราณขั้นห้าได้”
“ข้าไม่...แค่กๆๆ...” หยูว่านโหร่วอยากบอกว่านางไม่ได้ไอเพื่อแสดงความหมายแฝงใดๆ แต่จวินเสี่ยวโม่ไม่เปิดโอกาสให้นางได้อธิบาย
“ไม่อะไร ไม่กล่าวหาข้าผิดๆ ต่อแล้วหรือ” ริมฝีปากของจวินเสี่ยวโม่ผุดยิ้มเย้ยหยัน นางจงใจตีความสิ่งที่หยูว่านโหร่วพยายามจะพูดไปผิดๆ “เช่นนั้นเชิญอธิบายให้ทุกคนเข้าใจว่าข้ารังแกเด็กสาวผู้น่าสงสารอย่างเจ้า ‘โดยไร้เหตุผล’ และทำตัวเป็น ‘อันธพาล’ ขู่ให้เจ้าเก็บเรื่องเงียบได้อย่างไร ช่วยอธิบายให้ละเอียดด้วย อย่าละเลยแม้แต่เรื่องเดียว”
หยูว่านโหร่วกัดริมฝีปากอย่างรุนแรง น้ำตาไหลออกมาอย่างช่วยไม่ได้
แต่น้ำตานี้ไม่ได้มาจากการเสแสร้ง หยูว่านโหร่วรู้สึกคับแค้นใจมาก นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดทุกครั้งที่พยายามนึกถึงรายละเอียดว่าจวินเสี่ยวโม่ทำร้ายนางอย่างไรความทรงจำของนางกลับพร่ามัว ราวกับว่าความทรงจำของนางโดนดัดแปลงหรือแทรกแซง!
จวินเสี่ยวโม่หรี่ตามองและสังเกตเห็นบางอย่างจากสีหน้าของหยูว่านโหร่ว
ดูเหมือนว่าหยูว่านโหร่วจะลืมเหตุการณ์ตอนที่นางเกือบจะโดนมารร้ายเข้าครอบงำ ถือเป็นเรื่องดีสำหรับนาง คงจะเกิดปัญหาถ้าหยูว่านโหร่วจำเรื่องราวนั้นได้
เมื่อสรุปได้เช่นนั้น นางก็เลิกกังวลเรื่องนี้ไปชั่วคราว
จวินเสี่ยวโม่เดินเข้าไปหาหยูว่านโหร่วช้าๆ จากนั้นก็ก้มมองใบหน้าเปรอะน้ำตาของอีกฝ่าย
“โธ่ สงสัยว่าข้าจะเป็น ‘อันธพาล’ จริงๆ ดูสิ นี่ข้าทำนางร้องไห้โดยไม่รู้ตัวเลยอย่างนั้นหรือ...สงสัยจริงว่าการเล่าลือว่าข้าเป็น ‘อันธพาลดื้อรั้นเอาแต่ใจ’ มีต้นสายปลายเหตุมาจากไหน หืม”
จวินเสี่ยวโม่จงใจเน้นบางคำ ถึงนางจะพูดไม่ดังมาก แต่เนื่องจากความเงียบงันที่ปกคลุมทั่วตำหนักลงทัณฑ์ ทุกคำที่ออกจากปากก็ได้ยินชัดเจนไปทั่วทั้งตำหนัก
ศิษย์ส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมการพิจารณาคดีเบิกตากว้างเมื่อตระหนักขึ้นมาได้ในทันที
จริงด้วย ภาพลักษณ์ดื้อรั้นเอาแต่ใจของจวินเสี่ยวโม่ในใจของพวกเขามาจำเสียงเล่าลือหมดเลยมิใช่หรือ หลายคนบอกว่าจวินเสี่ยวโม่ใช้ประโยชน์จากภูมิหลังทรงอำนาจในการกลั่นแกล้งศิษย์ร่วมสำนักผู้ไร้ซึ่งอำนาจดังเช่นหยูว่านโหร่ว
ถ้าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ถือเป็นหนึ่งใน ‘การกลั่นแกล้ง’ ตามที่เล่าอ้าง...เช่นนั้นข่าวลือก็เชื่อถือไม่ได้
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาพินิจพิเคราะห์ที่จ้องมองมา หยูว่านโหร่วก็หักห้ามไฟเกลียดชังในใจที่สั่งให้พุ่งไปฉีกกระชากรอยยิ้มบนใบหน้าของจวินเสี่ยวโม่เป็นชิ้นๆ แทบไม่ไหว
เป็นอินทรีมาทั้งชีวิต ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะถูกอินทรีจิกตาเอาได้!
ที่ผ่านมาหยูว่านโหร่วแสร้งทำตัวอ่อนแอเพื่อสร้างความลำบากให้จวินเสี่ยวโม่ แต่วันนี้นางได้ลิ้มรสชาติความขมขื่นนี้เสียเอง ความคับแค้นใจติดอยู่ในลำคอของนาง จะกลืนก็ไม่ลง จะสำรอกออกมาก็ไม่ได้
หยูว่านโหร่วกัดริมฝีปากล่างอีกครั้งแต่ตัดสินใจทุ่มสุดตัว มาไกลขนาดนี้แล้วถอยกลับไม่ได้อีก มิเช่นนั้นนางจะถูกตราหน้าว่าเป็น ‘จอมใส่ร้ายศิษย์ร่วมสำนัก’ ไปชั่วชีวิต
ในสำนักการใส่ร้ายศิษย์ร่วมสำนักถือเป็นความผิดร้ายแรงเช่นกัน เป็นไปไม่ได้ที่หยูว่านโหร่วจะไม่เกรงกลัวผลที่ตามมา
ตัดสินใจได้เช่นนั้นหยูว่านโหร่วก็ร่ำไห้ออกมาอีกครั้ง นางแค่นเสียงที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์พูด
“ศิษย์พี่เสี่ยวโม่ ไม่ใช่ว่าข้าตั้งใจจะใส่ร้ายท่าน แต่ความจริงคือคนที่ข้าเห็นในตอนนั้นคือท่านจริงๆ จะให้ข้าทำเช่นไร แท้จริงแล้วข้าไม่ได้อยากขุดคุ้ยเรื่องนี้ แต่ข้าก็ไม่อยากให้ความเข้าใจผิดระหว่างเราค้างคาอยู่เช่นนี้ต่อไป...แค่กๆๆ เรา...เราปล่อยให้เรื่องที่ผ่านมาแล้วให้แล้วผ่านไปได้หรือไม่ ข้าไม่สนใจแล้วว่าใครเป็นคนทำร้ายข้า...”
จวินเสี่ยวโม่ยืดหลังตรง นางหันไปมองหยูว่านโหร่วพักหนึ่งก่อนจะผุดยิ้มขึ้น
ดวงตาหยูว่านโหร่วส่องประกาย คิดว่าจวินเสี่ยวโม่จะยอมโอนอ่อนตามแต่นางหารู้ไม่...
“ไม่!” จวินเสี่ยวโม่พูดจากจุดยืนทางศีลธรรมของตนเองโดยเน้นย้ำทุกคำอย่างชัดเจน “ระหว่างเจ้ากับข้า เรื่องที่ผ่านมาแล้วให้แล้วผ่านไปไม่ได้ เพราะเจ้าเป็นคนหน้าซื่อใจคด”
หยูว่านโหร่วแทบสำลักกับการตอบกลับที่คาดไม่ถึงของจวินเสี่ยวโม่ นางจ้องมองจวินเสี่ยวโม่ด้วยแววตาว่างเปล่าจนลืมหลั่งน้ำตาไปชั่วครู่
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว