“ทำไม? ติดตามข้านานถึงเพียงนี้ ยังไม่รู้แม้กระทั่งว่าข้าใช่เจ้านายของเจ้าหรือไม่อย่างนั้นหรือ?” ลู่จือเหยาหัวเราะเบา ๆ ปรายตามองอวี่เตี๋ยพลางสั่งกำชับ “ข้าไม่เป็นไร หลับสักตื่นหนึ่งก็ดีขึ้นแล้ว เจ้าไปเฝ้านอกประตู หากข้าไม่ตื่นหรือไม่ได้ออกไป พวกเจ้าไม่ว่าใครก็ห้ามเข้ามาในห้องนี้แม้แต่ก้าวเดียว เข้าใจหรือไม่?”
“เข้าใจเจ้าค่ะ” อวี่เตี๋ยผงกศีรษะอย่างเชื่องช้า ใช้สายตามองส่งลู่จือเหยาเดินเข้าไปในห้อง พริบตาที่ประตูปิด อวี่เตี๋ยพลันร่างอ่อนระทวยและเอนร่างพิงผนัง นึกถึงทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่จวนองค์ชายแปด นางยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับลู่จือเหยาผู้นั้น นางไม่กล้าถามสิ่งใดและยืนเฝ้าประตูห้องอย่างสงบ อวี่เตี๋ยทำได้เพียงรอให้ลู่จือเหยานอนหลับและได้สติกลับคืนมาเล็กน้อยแล้วค่อยว่ากัน
หลังจากลู่จือเหยาจากไปแล้ว หลินอี้หนานแกว่งกาสุราที่ว่างเปล่ากานั้นพลางถอนหายใจด้วยความเสียดายอยู่บ้าง “ข้าดื่มไปแค่ไปกี่อึกเอง นางช่างกระเพาะใหญ่เสียเหลือเกิน”
หลิงอี้ยืนนิ่งเงียบโดยไม่ส่งเสียงสักแอะอยู่ด้านข้าง หลินอี้หนานผินหน้ามองเขา เข้าใจความรู้สึกของ หลิงอี้ได้หลายส่วน “ครั้งหน้ายังจะประลองอีกหรือไม่?”
“ประลอง ต้องประลองแน่นอนขอรับ!” หลิงอี้กัดฟันกรอด ตอบหลินอี้หนานด้วยความมั่นใจเป็นล้นพ้น
“ไปหาหลี่มู่เฉิน เขาน่าจะยังไม่ไปจากเมืองหลวง จงบอกเช่นนี้ ข้ายังต้องการ” หลินอี้หนานชี้กาสุรา จากนั้นจึงลุกขึ้นและพูดว่า “ลู่จือเหยาผู้นั้นมีความลับมากมายควรค่าให้พวกเราค้นหาจริง ๆ หากปราศจากของดีนี้คงไม่สำเร็จ”
ลู่จือเหยากลายสภาพเป็นเช่นนั้นเพราะการดื่มสุราจนเมามายทั้งสองครั้ง ด้วยเหตุนี้หลินอี้หนานจึงอยากรู้นักว่าลู่จือเหยาจะมีฝีมือหมดจดรวบรัดเช่นนั้นเฉพาะตอนเมาสุรา หรือว่ายามปกติก็เช่นกัน แค่เก็บงำไว้อย่างล้ำลึกเท่านั้นเอง เพียงแต่หลินอี้หนานไม่อยากถูกอีกบุคลิกหลังจากดื่มสุราจนเมามายของลู่จือเหยาเอารัดเอาเปรียบเป็นครั้งที่สอง
ลู่จือเหยานอนหลับจนฟ้ามืด นางตะกายร่างขึ้นมาด้วยอาการงัวเงีย มองดูสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย เคาะศีรษะที่ยังปวดเล็กน้อยและลุกขึ้นนั่ง จากนั้นจึงเอ่ยปากเรียกอวี่เตี๋ย ครั้นลู่จือเหยาเห็นอวี่เตี๋ยที่กำลังผลักประตูเข้ามาจึงถามว่า “พวกเรากลับมาเมื่อไหร่?”
“คุณหนู” อวี่เตี๋ยเดินเข้าใกล้ลู่จือเหยาอย่างระมัดระวัง พลางมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า หลังจากเพ่งพินิจนางอย่างละเอียดหลายรอบจึงถามว่า “ท่าน…หลับสบายดีนะเจ้าคะ?”
“ไร้สาระ ข้าถามเจ้าว่าพวกเรากลับมาเมื่อใดและกลับมาได้อย่างไร” ลู่จือเหยาไม่พอใจเล็กน้อยที่อวี่เตี๋ยผู้ฉลาดหัวไวเสมอมาถามคำถามเช่นนี้ ทว่าพออวี่เตี๋ยกล่าวจบ ลู่จือเหยาก็เงียบเสียง
“พวกเรากลับมานานแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูพาข้าเดินกลับมาจากจวนองค์ชายแปด ท่านหลับคราวนี้ปาไปสามสี่ชั่วยาม ท่านบอกให้ข้าเฝ้าอยู่นอกประตู หากท่านยังไม่ตื่นห้ามผู้ใดเข้าห้องท่านเด็ดขาด ส่วนข้ามิได้จากไปไหนเช่นกัน ยืนอยู่ตรงนั้นมาตลอดเจ้าค่ะ”
สิ่งที่อวี่เตี๋ยกล่าวมาทั้งหมด ลู่จือเหยาจำไม่ได้แม้แต่น้อย เช่นเดียวกับครั้งก่อน นางจำไม่ได้ด้วยซ้ำไปว่าตนกลับมาได้อย่างไร โชคดีที่ครั้งนี้พาคนไปด้วย
“นั่งคุยกัน” ลู่จือเหยานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงชี้ขอบเตียงและบอกให้อวี่เตี๋ยนั่งลง “บอกข้าที เกิดเรื่องอะไรที่จวนหลินอี้หนาน”
“คุณหนู ท่านจำอะไรไม่ได้เลยจริงหรือเจ้าคะ?”
สี่หน้าประหม่าของอวี่เตี๋ยทำให้ลู่จือเหยารู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล นางผงกศีรษะและถามด้วยสีหน้าหนักอึ้ง “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ รีบพูดมา”
อวี่เตี๋ยเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นแก่ลู่จือเหยาครบถ้วนไม่ตกหล่น แค่ชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อพูดถึงตอนที่ลู่จือเหยา“ลวนลาม” หลินอี้หนาน
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านไม่เพียงทำร้ายองครักษ์ขององค์ชายแปด ท่านยัง…ยัง…”
“ข้ายังอะไรอีก? รีบพูดมาสิ”
“ท่านยังจูบองค์ชายแปดด้วยเจ้าค่ะ”
ลู่จือเหยาได้ยินสิ่งที่อวี่เตี๋ยพูดก็สูดลมหายใจทันที จ้องมองอวี่เตี๋ยด้วยใบหน้าแข็งทื่อ จากนั้นจึงเริ่มรู้สึกเสียใจในภายหลังเป็นอย่างมาก กระทั่งยังนึกเสียใจเรื่องที่ตนตื่นขึ้นมาอีกด้วย
“ยังมีผู้อื่นรู้เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้อีกหรือไม่ ตอนพวกเรากลับมาพบผู้ใดหรือไม่” ลู่จือเหยาพยายามทำให้ตนสงบเยือกเย็น นางไม่มีวันดื่มจนขาดสติเป็นครั้งที่สามอีกแน่
“ตอนคุณหนูกลับมาปกติดีมากเจ้าค่ะ ดังนั้นต่อให้เจอบ่าวไพร่คนอื่นก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ข้าคิดว่าองค์ชายแปดทางนั้นคงพูดค่อนข้างลำบากแล้วล่ะเจ้าค่ะ”
เรื่องนี้ไม่ต้องให้อวี่เตี๋ยบอก ลู่จือเหยาก็รู้เช่นกัน คิดว่าครั้งก่อนก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นครั้งนี้หลินอี้หนานถึงให้นางดื่มสุราอีก เพียงแต่จะว่าไปแล้ว เหตุใดการเมาสุราทั้งสองครั้งถึงต่างจากเมื่อก่อนมากเหลือเกิน ในอดีตทุกครั้งที่นางเมาจะแค่หน้ามืดวิงเวียนร่างกายอ่อนระทวย วรยุทธ์ลดทอนไปเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนหน้านี้นางยังไม่อาจเอาชนะหลินอี้เสียงเสียด้วยซ้ำไป ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงองครักษ์ผู้มีวรยุทธ์สูงส่งข้างกายหลินอี้หนาน เหตุการณ์เช่นนี้มิเคยเกิดขึ้นมาก่อน นี่มันเรื่องอะไรกันแน่
ลู่จือเหยาครุ่นคิดอย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้นก็นึกถึงเหตุการณ์ในอดีตอันแสนจะยาวนาน ขณะที่นางยังเป็นเซี่ยเหยาเคยดื่มจนเมามายในงานวันเกิดเซี่ยเจิ้นคุนครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นดูเหมือนว่านางจะไม่ได้สติ หลังจากฟื้นขึ้นมา คนในครอบครัวล้วนแสดงสีหน้าแปลกพิกล ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น เพียงกล่าวเตือนนางว่าภายหลังห้ามแตะต้องสุราแม้แต่หยดเดียว หรือว่าเมื่อนางดื่มจนเมาขาดสติแล้วจะกลายร่างเป็นเช่นนั้น บัดนี้หลินอี้หนานล่วงรู้ความลับนี้เสียแล้ว เขาจะข่มขู่ตนหรือไม่ แต่หากนางไม่ดื่มเสียอย่าง เขาก็ทำอะไรนางไม่ได้เช่นกัน มิใช่หรือ
“ยืนอยู่ข้างนอกมาตลอดบ่าย คงยังไม่ได้กินข้าวสินะ? รีบกลับไปพักผ่อนเถิด ข้าไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องห่วง”
“คุณหนูยังไม่ได้กินอะไรเหมือนไม่ใช่หรือเจ้าคะ ข้าจะลองไปดูที่ห้องครัวว่าทำอะไรกินได้บ้าง หลายวันนี้ท่านแม่ข้าล้มป่วย วันนี้หวั่นเย่ว์ไม่อยู่จึงหวังพึ่งนางไม่ได้แล้ว คุณหนูกรุณารอข้าสักครู่ ข้าไปทำอะไรท่านกินแล้วจะกลับมาเจ้าค่ะ”
เนื่องจากฉางมั่นถิงเป็นหวัด และอวี่เตี๋ยกับหวั่นเย่ว์ปราศจากบิดา ดังนั้นเมื่อลู่จือเหยาทราบเรื่องจึงสั่งให้ผลัดกันกลับไปดูแลฉางมั่นถิง เมื่ออวี่เตี๋ยเดินออกจากห้อง ลู่จือเหยาลงจากเตียงและเดินไปถึงหน้าคันฉ่อง ส่องมองดวงหน้าซึ่งตนเริ่มคุ้นเคยทีละน้อยนี้ พร้อมกล่าวกับนางอย่างจริงจังว่า “ต่อไปหากกล้าดื่มสุราอีก ต้องยอมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นเอง”
อวี่เตี๋ยทำอาหารมาจำนวนเล็กน้อย เมื่อทั้งสองคนนั่งร่วมรับประทานอาหารเสร็จแล้ว อวี่เตี๋ยก็ขอตัวกลับไปก่อน ส่วนลู่จือเหยาซึ่งนอนหลับมาตลอดบ่ายกลับกระปรี้กระเปร่า ปราศจากความง่วงเหงาหาวนอนแม้แต่น้อย
ลู่จือเหยานึกถึงเรื่องที่อวี๋เตี๋ยเล่าให้ฟังว่านางจูบหลินอี้หนานขึ้นมาอย่างผิดเวลา นางรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง นาง…จะทำเรื่องพรรค์นั้นได้อย่างไร?!
ขณะที่ลู่จือเหยานั่งอยู่ริมหน้าต่างพลางมองออกไปภายนอกอย่างเหม่อลอย ทันใดนั้นเงาดำสายหนึ่งขยับวูบกลางอากาศผ่านครรลองจักษุนางอย่างรวดเร็ว ลู่จือเหยาหรี่ตามอง คนผู้นั้นปรากฏกายอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าสังเกตเห็นนางแล้ว
ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าลู่จือเหยาคือชายแปลกหน้าผู้หนึ่ง มิใช่หลินอี้หนาน และมิใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา แต่เป็นบุรุษที่นางไม่เคยพบมาก่อน นอกจากนี้ใบหน้ายังกอปรด้วยความชั่วร้าย
“ดึกดื่นป่านนี้แล้วแม่นางยังไม่พักผ่อน กำลังรอข้าอยู่หรือ?”
“รอเจ้า? เจ้าเป็นใครน่ะ?” ลู่จือเหยาถามอย่างเปิดเผยโดยไม่ขยับเขยื้อน ทว่าใจนั้นกลับผุดขึ้นมาคำตอบหนึ่ง
“ข้า?” ชายผู้นั้นหัวเราะเบา ๆ พลางเดินเข้าใกล้ลู่จือเหยาอีกสองก้าว จากนั้นจึงค้อมกายอย่างแช่มช้า ทอดสายตาอยู่ในระดับเดียวกับนาง กล่าวกระซิบขึ้นมาว่า “หากอยากรู้ว่าข้าเป็นใครจริง เช่นนั้นให้ข้าเข้าไปนั่งในห้องดีหรือไม่?”
ลู่จือเหยายิ้มเย็นชา โทสะซึ่งถูกหลินอี้หนานวางหลุมพรางยังไม่เลือนหาย คิดไม่ถึงว่านางจะเจอคนผู้นี้รวดเร็วถึงเพียงนี้ นางมองใบหน้าหล่อเหลาจนแทบจะเหมือนปีศาจของเขาพลางเบ้ปาก “หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าคงเป็นมหาโจรเด็ดบุปผาฉู่จื่อเชียนอะไรนั่นกระมัง?”
“คิดไม่ถึงว่าแม่นางเคยได้ยินชื่อของข้าน้อยเช่นกัน ขายหน้า ขายหน้าแล้ว” ฉู่จื่อเชียนยืนลำตัวเหยียดตรงและมิได้ปกปิดตัวตน “เช่นนั้นแม่นางยินดีที่จะร่วมอภิรมย์กับข้าคืนหนึ่งหรือไม่?”
“ได้ เข้ามาในห้องเถอะ” ท่าทีของลู่จือเหยาทำให้ฉู่จื่อเชียนเหนือความคาดหมาย “ประตูห้องอยู่ตรงนั้น เห็นหรือไม่? หรือชินกับการปีนเข้าหน้าต่าง?”
ลู่จือเหยาพูดพลางลุกขึ้นยืน ถอยไปด้านข้างหน้าต่างเพื่อเปิดทางให้ฉู่จื่อเชียน นางมองเขาด้วยสายตาเย็นชา วางแผนว่าขอเพียงเขาขวัญกล้าเข้ามาในห้องนี้ นางจะไม่ปล่อยให้เขาได้เดินออกไปอีก
พระพายยามราตรีพัดผ่าน ฉู่จื่อเชียนบีบจมูก พิงหน้าต่างมองลู่จือเหยาพลางยิ้มแย้ม “ดื่มมาหรือ?”
ลู่จือเหยาก้มหน้าดมชุดของนางตามสัญชาตญาณ พบว่ามีกลิ่นสุราเจือจางอย่างที่คิดไว้จริง ถึงแม้มิได้บาดจมูกรุนแรงเท่าสุรา แต่ก็ยังรู้ว่าเป็นกลิ่นสุราจริง ๆ
“สุราข้าวหมักเพียงจอกเดียวเอง หรือจะถึงขั้นทำให้มหาโจรเด็ดบุปผาผู้ยิ่งใหญ่ตกใจกลัวจนไม่กล้าเข้าห้องข้าเชียวหรือ?” ลู่จือเหยากล่าวประชด ถึงกระนั้นกลับมิได้ผลลัพธ์ตามที่นางต้องการ
ฉู่จื่อเชียนลูบคางหลังจากมองลู่จือเหยาด้วยความสนใจครู่หนึ่ง “ข้าถูกใจเจ้า เพียงแต่เผอิญว่าแม่นางช่างโชคไม่ดีเสียจริง ราตรีนี้ข้าจับจองผู้อื่นอยู่ก่อนแล้ว เจ้าจงรอไปก่อน ภายหน้าสุนัขป่าเช่นข้าจะต้องลิ้มลองเนื้ออ้วนพีอย่างเจ้าแน่”
ฉู่จื่อเชียนกล่าวจบก็หายไปต่อหน้าต่อตาลู่จือเหยาอย่างรวดเร็ว นางทอดสายตามองทิศทางที่ฉู่จื่อเชียนหายตัวไป ก่นด่าด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “คนชั้นต่ำ” จากนั้นจึงปิดบานหน้าต่างและล้มตัวนอนลงบนเตียง
คิดไม่ถึงว่าฉู่จื่อเชียนจะอยู่ที่เมืองหลวงจริง หลานรั่วหลินผู้นั้นร้ายกาจมากมิใช่หรือ ไฉนยังจับตัวเขาไม่ได้
ลู่จือเหยาคาดเดาต่าง ๆ นานาอยู่ภายในห้อง หารู้ไม่ว่าหลังจากปิดหน้าต่าง หลานรั่วหลินก็ปรากฏกาย และสะกดรอยตามฉู่จื่อเชียนต่อ ส่วนบทสนทนาที่นางคุยกับฉู่จื่อเชียนเมื่อสักครู่ ย่อมเข้าหูหลานรั่วหลินเป็นธรรมดา
หนึ่งราตรีผันผ่าน ลู่จือเหยามิได้ใส่ใจสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทว่าการมาเยือนอย่างกะทันหันของหลานรั่วหลินกลับทำให้นางจำต้องเผชิญหน้าอย่างจริงจัง
“มาตั้งแต่เช้าตรู่ มีเรื่องสำคัญอะไรอย่างนั้นหรือเจ้าคะ?” ลู่จือเหยายังคงซาบซึ้งต่อเหตุการณ์ที่หลานรั่วหลินช่วยให้ตนกุมจุดอ่อนของเย่เหลียนหรงไว้ได้
“อืม” หลานรั่วหลินผงกศีรษะ เมื่อเห็นในห้องปลอดคน จึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “มาครั้งนี้เพราะอยากขอความช่วยเหลือจากท่าน”
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว