ยอดหทัยพยัคฆ์ผู้กลายมาเป็นมังกร-มั่วโฉ่ว 1

โดย  pusshunkayan

ยอดหทัยพยัคฆ์ผู้กลายมาเป็นมังกร

มั่วโฉ่ว 1

“คุณหนู ของที่สั่งไว้ ช่างทำมาให้แล้วขอรับ” บ่าวรับใช้คนหนึ่งวางหีบใบใหญ่ไว้กลางลานกว้างหน้าเรือนของคุณชายฝาแฝด

“พี่รองนี่คืออะไรหรือขอรับ” หลี่เป่าหลินมองหีบขนาดใหญ่ด้วยความสนใจ

หลี่เป่าเหวินเดินอ้อม “ของพวกเราใช่หรือไม่ขอรับ”

“นี่ก็เที่ยงแล้ว กินข้าวก่อน ต้านโหลวพามู่หยางไปกินข้าวเช้า” หลี่ซูเมิ่งเดินนำทุกคนเข้าไปในห้องโถง

เด็กน้อยแม้จะสนใจของมาใหม่แต่ก็ไม่กล้าขัดคำพูดของพี่สาว พวกเขาจึงนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเชื่อฟัง

“พวกเจ้าไปกินข้าวได้แล้ว ที่เหลือข้าจัดการเอง” หลี่ซูเมิ่งสั่ง

บ่าวรับใช้ทุกคนประสานมือถอยออกไปหลังจากวางอาหารไว้บนโต๊ะเตรียมไว้ให้แล้ว

“เอ่อ.... มู่หยางไปกินข้าว...ขอรับ” ต้านโหลวเอ่ยชวน แต่ประโยคสุดท้ายพอถูกจ้องมองมาด้วยสายตาเฉียบคมเขาจึงไม่กล้าเทียบเคียง รีบเติมคำว่าขอรับลงท้ายอย่างรวดเร็ว

พอคิดว่าองครักษ์ไม่ใช่บ่าวรับใช้ธรรมดา ยกตัวอย่างเช่นท่านเถียนเหิงที่อยู่ข้างกายคุณหนูรองสิ ต้านโหลวและต้านเหลียวจึงเปลี่ยนคำพูดใหม่ “ท่านมู่หยางไปกินข้าวขอรับ”

เห็นชายหนุ่มยังมองเหล่าคุณหนูช่วยกันตักข้าวอย่างทุลักทุเล เขาจึงควรจะบอกคนมาใหม่สักประโยค “หากคุณหนูรองอยู่ด้วย จะไม่ชอบให้ใครยืนรับใช้อยู่ข้างโต๊ะอาหารขอรับ”

“คุณหนูรองบอกว่าเป็นเด็กผู้ชาย อายุเท่านี้ต้องหัดกินข้าวด้วยตัวเอง”

มู่หยางมองเห็นหญิงสาวตักอาหารให้น้องชายทั้งสองคน แล้วช่วยจัดตะเกียบและตักน้ำแกงแบ่งใส่ถ้วยให้คนละถ้วย เด็กน้อยแม้จะยังใช้ตะเกียบไม่ถนัดและอาจจะกินหกเลอะเทอะไปบ้าง แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคมากนัก

นางไม่ได้ช่วยน้องชายเช็ดออก บางครั้งเด็กชายยังหยิบอาหารขึ้นมาเล่น และคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่มีมารยาทบนโต๊ะอาหารแม้แต่น้อย

...แปลก...แต่ให้ความรู้สึกแปลกใหม่

ชายหนุ่มมองดูครู่หนึ่ง แต่เห็นบ่าวรับใช้กำลังมองเขาคล้ายรอคอย จึงเลือกเดินตามไปห้องครัวด้านหลังแทน อาหารของบ่าวรับใช้มีเนื้อและมีผัก มื้ออาหารชั้นดีไม่ต่างจากเจ้านาย มู่หยางกัดเนื้อชิ้นใหญ่ก่อนจะขมวดคิ้วไม่เข้าใจ

ขุนนางขั้น 5 จะเอาเงินมากมายมาเลี้ยงบ่าวรับใช้อยู่ดีกินดีอย่างนี้ได้อย่างไร

“คุณหนูรองบอกว่า บ่าวรับใช้ทำงานหนักอย่างน้อยมื้อหนึ่งต้องมีเนื้อชิ้นใหญ่ขอรับ” ต้านโหลวอธิบาย

“เนื้อชิ้นใหญ่ หมายความว่ามื้ออื่นก็มีเนื้ออีกหรือ” มู่หยางเงยหน้าถาม

ต้านเหลียวตอบแทน “ขอรับ แต่จะน้อยกว่านี้นิดหนึ่ง”

หลี่ซูเมิ่งไม่คิดว่าตัวเองเลี้ยงบ่าวรับใช้ดีจนเกินไป จนในสายตาคนเหล่านี้เห็นว่าการกินเนื้อในแต่ละมื้อเป็นเรื่องที่ปกติแล้ว

“ท่านมู่หยางไม่ต้องลำบาก คุณหนูรองบอกว่าทุกคนมีหน้าที่ของตัวเอง กินเสร็จแล้วก็วางไว้เลยขอรับ เดี๋ยวพ่อครัวจะมาทำความสะอาดเอง”

“คุณหนูรองบอกว่า อย่าแย่งงานกันทำขอรับ”

ในเรือนมีบ่าวรับใช้อย่างน้อยสี่หน้าที่ หนึ่งบ่าวข้างกาย สองบ่าวทำความสะอาดดูแลเรือน สามบ่าวในห้องครัว สี่บ่าวในห้องซักล้าง เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ทุกคนต่างดูแลหน้าที่ของตัวเองให้ดี

แม้ฟังว่าเยอะ แต่ความจริงข้างกายคุณชายน้อยกลับมีพวกเขาสองคนเท่านั้น ข้างกายคุณหนูก็มีเพียงเหลียนเอ๋อคนเดียว ทุกคนในจวนตระกูลหลี่ไม่มีใครมีสาวใช้ข้างกายเกินหนึ่งคน นี่เป็นกฎระเบียบที่คุณหนูรองสร้างขึ้นมา

“คุณหนูรอง” มู่หยางทวนคำ

เหมือนเขาอยู่ที่นี่มาหนึ่งวัน ทุกประโยคไม่พ้นคำว่าคุณหนูรองบอกว่า คุณหนูรองสั่งว่า คุณหนูรอง...และคุณหนูรอง ไม่มีใครพูดถึงหลี่เสียงซูและบุตรชายคนโตสักคน

“ขอรับ” ต้านโหลวและต้านเหลียวพยักหน้าตอบ

บุรุษกินข้าวเร็ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงคนที่เคยอยู่ในสนามรบ เขากินจนท้องอิ่มแล้วแต่เด็กน้อยสามคนยังกินได้ไม่ถึงครึ่งถ้วยเลย มู่หยางเห็นอย่างนั้นจึงเดินเข้าไปใกล้ และยืนหลังตรงอยู่หน้าห้องโถงเพียงพอที่เขาจะฟังบทสนทนาของทั้งสามคนได้

บางทีเขาอาจจะได้ข้อมูลบางอย่างที่สำคัญ

ไม่คิดว่า สิ่งที่พวกเขาทั้งสามพูด...จะไร้สาระไปสักหน่อย…

“พี่รอง เนื้อแกะกับเนื้อไก่ต่างกันอย่างไรขอรับ”

“เขียนไม่เหมือนกัน” หลี่ซูเมิ่งตอบ เพราะนางก็ทำอาหารไม่เป็น

“พี่รอง น้ำแกงถ้วยนี้อร่อยมาก แต่ชิ้นใหญ่เกินไป ข้าคีบไม่ได้ขอรับ”

“คีบไม่ได้ ก็ใช้มือ”

“อ้อ สะดวกจริงด้วยขอรับ”

ประโยคนี้ทำให้มู่หยางถึงกับหันหลังไปมอง เห็นหญิงสาวหยิบเนื้อขึ้นมากัดกิน เด็กชายเห็นพี่สาวใช้มือหยิบกินได้ ตัวเองก็หยิบขึ้นมากินเหมือนกัน

“อร่อยหรือไม่”

“อร่อยขอรับ” สองเสียงตอบพร้อมเพรียง

“จำไว้นะ เชื่อฟังพี่รองจะได้กินเนื้อ”

“ใช่ ๆ เชื่อฟังพี่รอง”

“เชื่อฟังท่านแม่ เจ้าจะได้กินแค่น้ำแกงเท่านั้น”

“ทำไมล่ะขอรับ”

“เพราะท่านแม่บอกว่าน้ำแกงมีประโยชน์ ดื่มมากหน่อย”

“ฮ่าๆๆ ท่านแม่พูดประโยคนี้เลยขอรับ”

“เชื่อฟังพี่ใหญ่ พวกเจ้าจะไม่ได้กินอะไรเลย”

“ไม่ใช่นี่นา พี่ใหญ่เคยชื่อขนมมาฝากพวกเราด้วยนะขอรับ”

“แต่พี่ใหญ่ชอบพูดว่า หากคัดอักษรไม่เสร็จ พวกเจ้าห้ามกิน”

“ฮ่าๆๆ จริงด้วย”

“เชื่อฟังท่านพ่อ......”

มู่หยางเอียงคอฟังว่าทั้งสามคนเริ่มพูดถึงหลี่เสียงซูแล้ว

“อืม...ช่างเถอะ”

“ใช่ๆ”

เด็กชายฝาแฝดรีบเออออตามอย่างรวดเร็ว

มู่หยางขมวดคิ้ว หรือว่าหลี่เสียงซูห้ามให้เด็กน้อยพูดถึงบิดาไม่ว่าจะเวลาไหนก็ตาม ระวังตัวจนเกินไปแล้ว ไหนเลยชายหนุ่มจะรู้ว่าในบ้านคนที่มีสิทธิ์มีเสียงน้อยที่สุดคือนายท่านตระกูลหลี่ต่างหาก

ทุกวันนี้ยังถูกบุตรสาวสั่งให้แอบนำข้อมูลเส้นทางคมนาคมของราชการมาบอกนางอยู่เลย ตอนแรกเขาไม่ยินยอม แต่พอบุตรสาวขมวดคิ้ว หลี่เสียงซูก็ร้องไห้ทั้งน้ำตา หน้าที่การงานของเขาไม่นับว่าเป็นความลับ เพราะหากมีการสร้างถนนสายใหม่ก็จะมีการเกณฑ์แรงงาน ดังนั้นเขาจึงบอกบุตรสาวว่าแต่ละครั้งทางการวางแผนจะทำถนนตรงไหนบ้าง

ดังนั้นในครอบครัวตระกูลหลี่ เขาหลี่เสียงซูไม่มีอำนาจที่สุด

ส่วนคนที่มีอำนาจที่สุดก็คือ...

“ดังนั้นคนที่พวกเจ้าต้องเชื่อฟังที่สุดคือใคร”

“พี่รองขอรับ!!!” หลี่เป่าหลินและหลี่เป่าเหวินตะโกนเสียงดังพร้อมกัน

มู่หยางขมวดคิ้วหันกลับไปมองเพียงครู่เดียว ในปากทั้งสามคนยังมีอาหารอยู่ด้วย หญิงสาวดีหน่อยที่กินข้าวระเบียบไม่สกปรก แต่เด็กน้อยฝาแฝดสามารถใช้คำว่าเปรอะเปื้อนมาบรรยายได้เลย ทั้งเสื้อผ้าทั้งมือและบนโต๊ะเต็มไปด้วยเศษอาหารมากมาย

ในนี่สุดมื้ออาหารเที่ยงก็จบลง หลี่ซูเมิ่งนั่งพิงเก้าอี้อย่างสบาย หันไปเห็นชายหนุ่มผิวคร้ามแดดยืนอยู่ตรงนั้นนานแล้ว จึงหันไปสั่งบ่าวรับใช้ข้าง ๆ ไปหยิบเอาเก้าอี้มาให้

“ท่านมู่หยางเชิญนั่ง” หลี่ซูเมิ่งเม้มปากยิ้มเชิญเขานั่ง เหมือนว่าต้านโหลวกับต้านเหลียวจะเรียกเขาว่าแบบนี้ ฟังแล้วเหมือนนายท่านที่อยู่ในโรงเตี๊ยมเลย

มู่หยางขมวดคิ้วไม่ตอบและไม่นั่ง

“อืม ไปเอาน้ำชามาให้องครักษ์มู่ด้วย ท่านเป็นองครักษ์ย่อมไม่ใช่บ่าวรับใช้ธรรมดา พวกเราตระกูลหลี่ไม่เอาเปรียบท่านแน่นอนเจ้าค่ะ”

นางไม่กล้าแสดงกิริยามารยาทร้ายกาจและให้เขาคิดว่าคนตระกูลหลี่แล้งน้ำใจเด็ดขาด “เชิญนั่งๆ” หญิงสาวเชิญอีกครั้ง

มู่หยางเห็นว่าปฏิเสธหญิงสาวไม่ได้จึงนั่งลงและรับชามาจิบ

“อย่างน้อยก็ต้องรอสักครึ่งชั่วยาม ตอนนี้ลูกหมาทั้งสองคนต้องอาบน้ำก่อน ดูแลพวกเขาไม่ยาก เช้ากินข้าว เที่ยงกินข้าวอาบน้ำ เย็นเข้านอน ไม่มีอะไรยากเลย ท่านก็คิดว่าเขาเป็นลูกหมาสองตัวก็พอ” หลี่ซูเมิ่งอธิบาย

น้องชายฝาแฝดเชื่อฟังนางที่สุด ไม่ว่าจะชาติภพไหนพวกเขาก็ชอบนางกว่าคนอื่น ดังนั้นในสายตาของนาง พวกเขาย่อมดีที่สุดอยู่แล้ว

บทสนทนาต่อจากนั้นก็ไม่มีอะไรเพิ่มเติม ทั้งสองต่างจิบชาเงียบ ๆ จมอยู่ในความคิดของตัวเองไม่ได้พูดคุยกันอีก จนเด็กน้อยเปลี่ยนชุดเสร็จและวิ่งออกมากอดขาของนางทั้งสองข้างอ้อนวอนอยากรู้ว่าหีบใบใหญ่กลางเรือนมันคืออะไร

หลี่ซูเมิ่งเพยิดหน้า “พวกเจ้าไปเปิดเองสิ”

เด็กสองคนได้รับอนุญาตก็รีบไปเปิดหีบออกอย่างรวดเร็ว แต่... “เปิดไม่ได้ขอรับ” แรงพวกเขาน้อย หีบสร้างจากไม้แข็งแรงพวกเขายกไม่ไหว

“เปิดไม่ได้ก็ให้องครักษ์ของพวกเจ้าไปเปิดให้” หลี่ซูเมิ่งหาทางออกให้

“ใช่ ๆ พี่มู่หยางมาเปิดให้หน่อยขอรับ”

มู่หยางมุมปากกระตุก ทั้งที่มีบ่าวรับใช้อีกหลายคนทำไมหญิงสาวคนนี้ต้องระบุชื่อเขาด้วย หลี่ซูเมิ่งยิ้มขำเห็นชายหนุ่มข้างกายยอมลุกจากเก้าอี้ไปช่วยสองคนเปิดหีบออก

หากข้าไม่ชวน ท่านจะสนิทกับคนของข้าได้อย่างไร

“เศษไม้” หลี่เป่าหลินขมวดคิ้วไม่พอใจ หยิบเอาไม้ท่อนเล็ก ๆ ขึ้นมาแล้ววิ่งกลับไปหาพี่สาว “พี่รองเอาเศษไม้มาทำไมขอรับ”

“ไม่ใช่ไม้ของข้า เป็นของเล่นของพวกเจ้าต่างหาก”

“ของเล่น” หลี่เป่าเหวินทวนคำ หยิบไม้มาโยนดู

ไม่สนุกเลย!

มู่หยางขมวดคิ้วมองของในหีบที่มีเพียงไม้รูปร่างสี่เหลี่ยมหลาย ๆ ชิ้นเท่านั้น อาจจะดูสวยดีที่แต่ละท่อนมีขนาดและรูปทรงเท่ากัน

สิ่งนี้จะเรียกว่าของเล่นได้อย่างไร

หลี่เป่าเหวินใช้มือแต่ละข้างหยิบไม้ขึ้นมาก่อนจะเอามากระทบกัน

ไม่น่าสนุก!

หลี่ซูเมิ่งถอนหายใจเดินเข้าไปร่วมเล่นด้วย “พวกเจ้าดูนะ นี่คือท่อนไม้ แต่ละชิ้นมีรูปร่างเป็นเหลี่ยม มีขนาดเท่ากัน”

นางลูบไม้ที่มีขนาดเท่าฝ่ามือด้วยความพอใจ นางสั่งช่างว่าขอให้ช่วยขัดไม้ให้ละเอียดจนถือแล้วลื่นมือ เหมาะสำหรับเด็กเล่นได้

ช่วงนั้นนางยุ่งจนไม่มีเวลามาเล่นกับพวกเขา จึงคิดของเล่นเสริมพัฒนาการสำหรับเด็กวัย 7 ขวบออกมา ไม่คิดว่านางจะตัดสินใจเชิญพระใหญ่เข้าจวนจนไม่สามารถไปไหนได้

ก็คงต้อง…เล่นกับเด็กทั้งสองไปจนกว่าจะเบื่อ

หรือเขาจะเบื่อและจากไปก่อน

“แล้วเล่นอย่างไรขอรับ” หลี่เป่าหลินเห็นพี่สาวเหม่อลอยจึงถาม

หลี่ซูเมิ่งคลี่ยิ้มนึกสนุกเริ่มวางไม้ไว้ทั้งสองด้าน ก่อนจะต่อขึ้นมาเป็นชั้นหลาย ๆ ชั้น “นี่เขาเรียกว่า...อืม...เล่นสร้างบ้าน” นางไม่รู้จะอธิบายเกมบล็อกของเด็กน้อยอย่างไรดีจึงจัดเรียงเป็นรูปร่างสูงเหมือนบ้านหลายชั้น “พวกเจ้าสามารถนำไม้เหล่านี้มาต่อเป็นบ้านของตัวเอง ออกแบบตามที่ต้องการ หรือจะสร้างเป็นอะไรก็ได้ที่พวกเจ้าอยากจะสร้าง”

หลี่เป่าหลินกับหลี่เป่าเหวินอ้าปากค้างมองพี่สาวจับไม้วางต่อกันเป็นชั้น ๆ ก็ทำให้มันตัวสูงเท่าเขาแล้ว นอกจากนี้มันยังไม่ล้มอีกด้วย

น่าสนุก!

เด็กทั้งสองคนรีบต่อบ้านของตัวเองอย่างรวดเร็ว “บ้านของข้ามีหลายชั้นเลย”

“ข้าจะช่วยเสี่ยวหลินสร้างแข่งกับพี่รอง” หลี่เป่าเหวินรีบวางไม้ลงต่อ ๆ กันให้เป็นหลายชั้น

หลี่ซูเมิ่งสังเกตน้องชายแล้วพยักหน้าด้วยความพอใจ พวกเขาสามารถจัดระเบียบน้ำหนักของไม้ได้ดีเยี่ยม เป็นต้นกล้าที่เหมาะกับการฝึกฝนจริง ๆ

“องครักษ์ ดูแลพวกเขาด้วย ไม้แต่ละชิ้นมีน้ำหนักไม่น้อย ระวังอย่าให้ล้ม”

มู่หยางมุมปากกระตุก แต่เห็นของเล่นชิ้นนี้น่าสนใจจึงคอยยืนระวังความปลอดภัยให้เด็กชายฝาแฝดอย่างตั้งใจ บางครั้งยังช่วยพวกเขาหยิบไม้มาวางไว้ตามตำแหน่งที่พวกเขาสั่งอีกด้วย

หลี่ซูเมิ่งเม้มปากยิ้ม ทำกิจกรรมด้วยกันบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ชินและผูกพันกันไปเอง

“พี่รองมาต่อช่วยกันขอรับ มันสูงแล้ว” หลี่เป่าหลินร้องเรียกให้พี่สาวมาช่วยเพราะตัวไม้มันสูงกว่าเขากับพี่ชายแล้ว หลี่ซูเมิ่งนึกสนุกเพราะตัวเองไม่ได้เล่นมานาน จึงช่วยเด็กน้อยต่อบ้านให้ใหญ่ด้วยเช่นกัน

“นี่เป็นเรือนของพี่ใหญ่ ของท่านพ่อท่านแม่ ของข้าสองคน อันนี้ของพี่รอง” หลี่เป่าเหวินชี้นิ้วอธิบายว่าแต่ละอันเป็นของใครบ้าง

หลี่ซูเมิ่งชี้เพราะยังเหลือเรือนเล็ก ๆ อีกหลายเรือน

“อันนี้ของต้านโหลวกับต้านเหลียว” เด็กน้อยทั้งสองคนเรียงชื่อบ่าวรับใช้ที่จำได้ ใครที่ไม่มีเรือนก็ใส่เอาไว้ด้วยกัน

หลี่ซูเมิ่งนึกสนุก “แล้วขององครักษ์มู่ล่ะ”

ชายหนุ่มที่ไม่คิดว่าตัวเองจะกลายเป็นบทสนทนาจึงหรี่ตาลงด้วยความไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก เขาไม่สนใจหรอกว่าตนเองจะมีเรือนหรือไม่ จวนที่เป็นชื่อของเขามีมากมาย ไม่สนใจเศษไม้เหล่านี้แน่นอน

แม้ในใจจะบอกตัวเองแบบนั้น แต่สายตากลับจ้องเด็กน้อยกดดันให้บอกว่าเรือนของตัวเองอยู่ที่ไหน

“อ๊ะ พวกเราลืมเลยขอรับ”

“อยู่ในเรือนของพวกเจ้าก็ได้ เพราะเรือนของพวกเจ้าสองคนหลังใหญ่ที่สุด” หลี่ซูเมิ่งหาบันไดลงให้น้องชาย เพราะกลัวว่าพวกเขาจะทำให้ชายหนุ่มใบหน้าดำคล้ำไม่พอใจมากกว่านี้

หลี่เป่าหลินรีบปฏิเสธ “ไม่ได้ ๆ เรือนของข้าอยู่สองคนแล้ว”

“อยู่กับพี่รองสิ เรือนของพี่รอง พวกเราสร้างให้หลังใหญ่ที่สุดเลยนะขอรับ อีกอย่างเรือนของพี่รองยังอาศัยอยู่คนเดียวด้วย” หลี่เป่าเหวินมองเรือนทั้งหมดก่อนจะชี้ไม้ที่อยู่เบื้องหน้าพี่สาวเพราะมันสูงที่สุด

หลี่ซูเมิ่งมุมปากกระตุก เป็นจังหวะเดียวกันกับที่มู่หยางก้มหน้าลงมามองเรือนของตัวเองเช่นกัน ดวงตาทั้งสองประสานกันครู่หนึ่ง ก่อนจะเสมองไปทางอื่นด้วยความกระอักกระอ่วน

“คุณหนูรองยังไม่ได้ออกเรือนเลยนะเจ้าคะ จะอยู่กับชายอื่นไม่ได้” เหลียนเอ๋อนั่งฟังสนุก รีบโพล่งขึ้นมาเพราะมันผิดขนบธรรมเนียม

เหมือนเด็กน้อยจะเพิ่งเข้าใจ จึงช่วยกันแบ่งไม้จากเรือนของพี่สาวไปสร้างใหม่ในพื้นที่ข้าง ๆ “อันนี้เป็นเรือนของพี่มู่หยาง ของพี่รองอยู่คนเดียวไม่ต้องเอาใหญ่หรอก แบ่งมาให้พี่มู่หยางด้วย”

“พี่มู่หยางชอบหรือไม่ขอรับ” หลี่เป่าเหวินเงยหน้าถาม

ชายหนุ่มมุมปากกระตุก เห็นเรือนของตัวเองยังอยู่ในกำแพงของหญิงสาวคนนั้นอยู่เลย นี่ไม่เท่ากับว่าตัวเองเป็นคนของนางหรอกหรือ

หลี่ซูเมิ่งก็คิดถึงปัญหาข้อนี้เช่นกัน นางจึงรีบใช้มือปัดพังเรือนของตัวเองทิ้งก่อนจะยืดตัวตรง “เย็นแล้ว ไปรอพี่ใหญ่หน้าเรือนดีกว่า”

เด็กน้อยทั้งสองคนเล่นจนเหนื่อยและเบื่อแล้วเช่นกันจึงไม่ได้สนทนากันต่อว่าเรือนไหนเป็นของใคร แต่ไม่ลืมหันมาขอร้องพี่สาวว่า “วันหน้าเรามาเล่นสร้างเรือนอีกนะขอรับ”

หลี่ซูเมิ่งยิ้มแห้ง “ไว้วันหลังพี่รองจะสั่งให้ช่างทำไม้มาเพิ่มให้ใหม่ ดีหรือไม่”

หากพวกเขาเอาใครมาไว้ในเรือนของนางอีกจะทำอย่างไร

ต้องสั่งให้ช่างทำมาเพิ่มเยอะ ๆ เยอะจนล้นเรือนเลย

มู่หยางซึ่งเดินตามมาได้ยินหญิงสาวบอกว่าจะให้ช่างทำไม้เพิ่มอีก มุมปากก็ยกขึ้นรู้สึกขำขันในใจ เป็นหญิงสาวที่คิดเล็กคิดน้อยจริง ๆ

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว