ไม่อาจเอื้อม มีebook

ตอนที่ 13 ถวิลหา

แม้ยุทธภพรอบด้านจะสะท้านสะเทือน ไปกับข่าวที่แพร่สะพัด... หากแต่ชายหนุ่มผู้เป็นต้นเหตุทั้งหมด ในเวลานี้กลับมิได้สนใจอะไรกับเรื่องราวเหล่านั้นเลย หลังจากที่ใช้บริการกิจการสาขาพรรคมังกรฟ้า เดินทางกลับไปยังทวีปพยัคฆ์ขาวด้วยประตูเคลื่อนย้ายระยะไกล เขาก็ยังไม่ได้เร่งร้อนกลับพรรคมังกรฟ้าในทันที...


สาเหตุเป็นเพราะ เล้งซุน อดใจรอไม่ไหว ที่จะรับความรู้แจ้งในแก่นแท้แห่งเจตจำนงเปลวเพลิง... เคล็ดวิชาเปลวเพลิงเก้าสุริยันที่ลอยวนในหัว มันเย้ายวนชายหนุ่มให้ฝึกฝนมากยิ่งนัก จนใกล้จะฟุ้งซ่าน หากเขารอให้กลับไปถึงพรรคมังกรฟ้าเสียก่อนล่ะก็ คงมีคนมากมายเข้ามาหาเขาจนมิอาจหาความสงบในการเรียนรู้


อีกทั้ง กังเฉิง และ เล้งหยุนฟง ก็ไม่ได้อยู่ที่พรรคมังกรฟ้าในเวลานี้ เนื่องด้วยต้องไปเข้าร่วมพิธีศพของ ราชครูต้วน อาจารย์ของ กังเฉิง ที่เพิ่งจะสิ้นอายุขัยไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ณ พระราชวังไป๋หู่ เขาจึงใช้ช่วงเวลาเจ็ดวันก่อนจะครบกำหนดนัดหมายกับ ผู้เฒ่าลำดับที่ 8 ดูดซับความรู้แจ้งเพื่อตนเอง...


เล้งซุน เลือกถ้ำสถิตร้างแห่งหนึ่งบริเวณหุบเขาในป่าลึก หลังจากวางขอบค่ายอาคมต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัยแล้ว เขาก็หยิบเอาขนนกวิหคเพลิงขึ้นมาไว้ในมือ ก่อนจะทำการชักนำมันเข้าสู่ความรู้แจ้ง...


เส้นใยเปลวเพลิงแผ่ขยายออกมาจากขนนก ก่อนจะไหลเวียนเข้าไปในร่างของ เล้งซุน อย่างต่อเนื่อง... สายธารแห่งความรู้แจ้งแตกฉาน ถูกสลักลงในห้วงสำนึกของเขาอย่างต่อเนื่อง มันมิใช่เคล็ดวิชา! แต่เป็นความเข้าใจต่อเปลวเพลิงที่ลึกซึ้ง ชนิดที่ว่าหากเขาต้องศึกษาเรียนรู้มันด้วยตนเอง คงใช้เวลาหลายต่อหลายปี


รากฐานปราณอัคคีที่ เล้งซุน เคยเรียนรู้มานั้น เทียบมิได้แม้แต่เศษเสี้ยวจากความรู้แจ้งที่ ราชันย์หงสาเพลิง ได้มอบให้เขา... ใช้เวลาแค่เพียงช่วงสั้น ๆ ในการกลั่นกรองสิ่งเหล่านั้น จากพื้นฐานที่ตื้นเขินดั้งเดิม ชายหนุ่มก็แปรเปลี่ยนเป็นความเชี่ยวชาญในศาสตร์เปลวเพลิงในทันที


จิตใจของชายหนุ่มสะท้านสะเทือน ความฮึกเหิมพลันก่อตัวอย่างบ้าคลั่งดุจดังเปลวเพลิงในห้วงสำนึก... จากก่อนหน้านี้ที่แม้จะมีเคล็ดวิชาเปลวเพลิงเก้าสุริยันครบถ้วนทั้งหมด หากแต่เขาก็ไม่อาจทำความเข้าใจกับเคล็ดวิชาเหล่านั้นได้แม้แต่นิดเดียว


ทว่าในเวลานี้ ราวกับวิถีแห่งเปลวเพลิงของเขา ได้ก้าวสู่ครรลองแห่งความถูกต้องที่พิเศษบางอย่าง การเรียนรู้และเข้าใจไม่มีสะดุดติดขัด การขับขานก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว...


“เปลวเพลิงเก้าสุริยัน... แตกแขนงออกเป็นวิชาปราณอัคคีเก้ารูปแบบที่ใช้งานแตกต่างกัน สร้างดวงตะวันย่อส่วนเหนือศีรษะที่ด้านหลัง เสมือนตะวันทั้งเก้าที่ปกคลุมเรือนกายผู้ใช้ มีพลังอำนาจแผดเผาท้องฟ้า ชำระพื้นดิน ดับล้างสวรรค์ ยึดมั่นอเวจี!!


สุริยันอัสดง , สุริยันอุทัย , สุริยันพันแสง เป็นดวงตะวันสามขั้นแรก... ดูเหมือนว่า เจียงหนิงหลง ผู้นำนิกายมังกรทมิฬ ที่ได้รับการชี้แนะจะสำเร็จแค่เฉพาะในระดับขั้นนี้ หากแต่เจ้านั่นใช้วิธีการแตกย่อยและดัดแปลงวิชา จากที่ควรจะมีดวงตะวันเพียงแค่สามดวงปรากฏ กลับกลายเป็นฝืนสร้างตะวันทั้งเก้าเพื่อให้ดูน่าเกรงขาม แต่ไม่อาจใช้งานได้จริง...


สุริยันก่อกำเนิด , สุริยันดับสูญ , สุริยันมั่นคง เป็นตะวันสามขั้นกลาง พลานุภาพมากกว่าขั้นแรกหลายเท่า อีกทั้งยังมีรูปแบบที่สูงล้ำเหมาะกับการใช้งานมากยิ่งกว่า ข้าไม่ได้เชี่ยวชาญปราณอัคคีมาตั้งแต่พื้นฐาน เพิ่งจะมารู้ได้ไม่นาน จึงอาจจะใช้เวลามากกว่าที่คิดว่าจะฝึกสำเร็จ...


สุริยันวิญญาณ , สุริยันเทวะ และ สุริยันอนันต์ คือเส้นชัยแห่งการฝึกฝนอย่างแท้จริง เป็นตะวันสามขั้นสุดท้ายที่ใกล้เคียงกับภาพมายาที่ยากจะบรรลุ แต่ด้วยความรู้แจ้งเปลวเพลิงแห่งเจตจำนง เชื่อว่าคงไม่เกินขอบเขตความสามารถ ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น...”


เล้งซุน พึมพำกับตนเองผ่านการวิเคราะห์ใคร่ครวญ เขาที่มีประสบการณ์ฝึกยุทธมามากมายหลายแขนง จึงพอที่จะประเมินความยากง่ายของเคล็ดวิชาต่าง ๆ โดยใช้ประสบการณ์ของตนเองเป็นบรรทัดฐาน...


เขาหมายมั่นว่าจะฝึกให้สำเร็จในดวงตะวันสามขั้นแรกภายในเจ็ดวันนี้ อย่างน้อยก็มากพอจะนำไปใช้ต่อกรกับ ลู่เหรินฮ่าว ภายใต้การทดสอบ ก่อนเข้าไปในเขตมหาสมุทรกิเลนอัสนี...


หลังจากตั้งสมาธิจมจ่อมสักระยะ เขาก็เริ่มโคจรลมปราณทั่วร่าง รีดเค้นเปลวเพลิงออกมาโดยอาศัยลมปราณเป็นดั่งเชื้อไฟ... วินาทีนั้นเอง ดวงตะวันดวงที่หนึ่ง สุริยันอัสดง ก็พลันปรากฏลอยเด่นออกมา


“หืม?!” เล้งซุน เบิกตาโพรงพร้อมกับแค่นเสียงยาว...

“บะ...บ้าน่า! มันไม่น่าจะง่ายขนาดนี้นี่?!”


ดวงตาของเขาเผยความสับสนออกมาในทันที แน่นอนว่าจากความยากลำบากของการฝึกฝน ที่พอประเมินจากลำดับขั้นตอนที่ละเอียดและซับซ้อน ไม่มีใครสามารถเรียกดวงตะวันดวงแรกออกมาได้ในชั่วพริบตา ตั้งแต่การฝึกฝนครั้งแรก


แม้แต่ เจียงหนิงหลง ยังติดอยู่ในขั้นนี้ร่วมห้าปี!!


“หรือข้าทำผิดไป?!” เล้งซุน ขมวดคิ้วมุ่น แต่มองขึ้นไปยังดวงตะวันขนาดย่อมเหนือศีรษะของเขา ก็คล้ายว่านี่จะเป็น สุริยันอัสดง ตรง ๆ อย่างไม่ผิดเพี้ยน “หรือเป็นเพราะข้ายอดเยี่ยมเกินไป?!” เขาแอบเข้าข้างตนเองในใจ ก่อนจะลองขับขานตะวันดวงที่สอง


สุริยันอุทัย ก็ลอยเด่นชัดขึ้นมาเป็นดวงที่สองเหนือศีรษะของเขาในชั่วพริบตาเช่นกัน... เล้งซุน มองเซ่อออกมาแล้วจริง ๆ ต่อให้มีความรู้แจ้งที่ ราชันย์หงสาเพลิง มอบให้ ก็ไม่น่าที่เขาจะสำเร็จเทพวิชาของราชันย์มังกรทมิฬ ได้ง่ายดายถึงเพียงนี้


เขาจึงตั้งสติและไตร่ตรอง รีดเค้นสิ่งที่แอบซ่อนอยู่ภายในห้วงสำนึกของตนเองออกมา มองลึกเข้าไปใจจิตสำนึก มองลึกเข้าไปในห้วงความทรงจำแห่งจิตวิญญาณ ก่อนที่ เล้งซุน จะพบเจอกับภาพที่น่าตื่นตะลึง


เป็นภาพของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่บรรลุของเขตแห่งวิชาเปลวเพลิงเก้าสุริยันในระดับสูงสุด อีกทั้งยังเป็นต้นแบบที่ถ่ายทอดมายัง ราชันย์มังกรทมิฬ เสียด้วยซ้ำ... และภาพภายในห้วงความทรงจำนั้นก็คือ... เล้งซาน!


เล้งซุน ตระหนักได้ในทันที ว่าเพราะอะไรเขาถึงสามารถสำเร็จวิชาเปลวเพลิงเก้าสุริยันได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ทั้งหมดเกิดจากที่ดวงวิญญาณของเขา มีเศษเสี้ยวความทรงจำในชาติภพก่อนที่หลั่งไหลออกมาขณะการฝึกฝน


เล้งซาน คือผู้ที่สำเร็จวิชานี้เป็นคนแรก... ก่อนจะถ่ายทอดมาให้กับ ราชันย์มังกรทมิฬ ในเวลาต่อมา... และ เล้งซุน ก็รับสืบทอดมาจากราชันย์มังกรทมิฬ ในอีกทอดหนึ่ง! ราวกับมันเป็นการสืบทอดที่วนเวียนกลับมาบรรจบยังจุดเริ่มต้น


เดิมที เล้งซุน ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับเรื่องที่ ราชันย์หงสาเพลิง ได้เล่าให้ฟัง ว่าเขานั้นเกิดจากดวงวิญญาณของ เล้งซาน เมื่อชาติภพก่อน... แต่พอมาถึงตอนนี้เขาเริ่มที่จะปฏิเสธความเชื่อนั่นได้ยากแล้ว หรืออย่างน้อย ๆ มันก็เพิ่มพูนความเชื่อขึ้นมาอีกส่วนหนึ่ง


ความรู้สึกหนึ่งก็ดีใจ... แต่อีกความรู้สึกหนึ่งก็สลดใจ! เพราะดูเหมือนว่าเขาจะไม่อาจปฏิเสธความเชื่อมโยงและความจริงในอดีตได้แล้วจริง ๆ


ห้าวันต่อมา...


เวลานี้ดวงตะวันทั้งเก้า ได้ลอยวนอยู่ด้านหลังของ เล้งซุน อย่างสมบูรณ์แบบ แผ่ซ่านความน่าเกรงขามมากกว่าตอนที่ เจียงหนิงหลง ใช้วิชานี้เสียอีก พลังอำนาจในการรบของชายหนุ่ม ถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น...


แม้จะเป็นทักษะที่แตกต่างกัน แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าเปลวเพลิงเก้าสุริยัน น่ากริ่งเกรงไม่ด้อยกว่าเพลงกระบี่รุ่งอรุณสีทองของเขาเลย ทั้งยังไร้ข้อถูกจำกัดในการใช้อาวุธเสียด้วยซ้ำ เหมาะที่จะเป็นเคล็ดวิชาลับที่เก็บซ่อนเป็นไม้ตายสำคัญ...


เมื่อขับขานไอความร้อนที่น่าครั่นคร้ามของสุริยันทั้งเก้า ระเบิดกระบวนท่าออกไปกลายเป็นเพลิงแผดเผาทำลายล้าง... เนินเขาขนาดย่อม ๆ ก็ถูก เล้งซุน ปัดเป่าจนไม่เหลือชิ้นดี หากแต่นั่นมันกลับไม่ได้ทำให้ เล้งซุน มีใบหน้าที่ยินดียินร้ายอะไรนัก


เพราะเขาในตอนนี้กำลังพบเจอกับกำแพงสูงชันในการฝึก...


“เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพรสายลมของร่างสถิตราชันย์พยัคฆ์ขาว หรือเปลวเพลิงเก้าสุริยันของราชันย์มังกรทมิฬ ข้าสามารถใช้พลังออกมาได้อย่างสมบูรณ์แล้ว... ทว่ากลับมิอาจผสานพลังของสองทักษะระดับสูงสุดเช่นนี้ ให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันได้!!”


เล้งซุน ตระหนักแล้วจริง ๆ ว่าเป็นขีดกำจัดของเขา พลังอำนาจที่แตกต่างของทั้งสองปราณธาตุ อยู่ในขอบเขตของทักษะระดับสูงสุดด้วยกันทั้งคู่ เขาได้ทำอย่างมากก็แต่เพียงใช้ร่วมกัน แต่มิอาจผสานมันให้เป็นหนึ่งเดียวกัน...


ในเศษเสี้ยวความทรงจำของ เล้งซาน ที่เขาได้เห็นนั้น เล้งซาน เคยผสานเปลวเพลิงเก้าสุริยันนี้ เข้ากับเปลวเพลิงสีฟ้าแห่งมังกรได้เป็นผลสำเร็จ... ทว่านั่นเกิดจากองค์ประกอบของเปลวเพลิงที่ใกล้เคียงกัน เป็นปราณธาตุชนิดเดียวกัน...


ทว่า เล้งซุน นั่นมีเอกลักษณ์เป็นปราณสายลม มิใช่เปลวเพลิง ดังนั้นการจะนำมาหลอมรวมจึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากยิ่งกว่าหลายเท่า... แต่ในขณะเดียวกัน หากเขาสามารถทำมันได้ล่ะก็ ปราณสายลมจะเป็นตัวช่วยให้เปลวเพลิงรุนแรงขึ้นอย่างมหาศาล มากพอจะกลายเป็นพายุเพลิงที่บดทำลายในทุกสรรพสิ่ง...


ชายหนุ่มอาจจะยอมแพ้ศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า อาจจะยอมแพ้ต่อภยันอันตรายที่ส่งผลถึงความเป็นตาย หากแต่เขามิใช่คนที่จะยอมแพ้กับการฝึกฝน!! ยิ่งชนกำแพงที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนเช่นนี้ ก็ยิ่งกระตุ้นความฮึกเหิมของเขาได้อย่างถึงที่สุด...


“คงต้องค่อย ๆ ทำความเข้าใจมันต่อไป...” เล้งซุน กำหมัดแน่นขึ้นพร้อมแววตาที่เด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น... ชายหนุ่มเลือกที่จะหยุดการฝึกฝนลงเพียงแค่นี้ เพราะใกล้ได้เวลานัดหมายของเขาของสมาพันฯ ที่พรรคมังกรฟ้าแล้ว


จื่อซีอี้ ระเบิดความเร็วด้วยความห้าวหาญ ขอเพียงมิใช่การไปเผชิญหน้าผู้แข็งแกร่ง ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ เจ้ากิ้งก่าตนนี้ก็หาได้เกรงกลัวไม่... เสียงครั่นครื้นของสายฟ้าที่ก้องกังวานอย่างจงใจ เพื่อให้ผู้คนเบื้องล่างพากันชำเลืองมองขึ้นมาด้วยความอกสั่นขวัญแขวน


เล้งซุน เองก็มิได้ห้ามปรามให้ จื่อซีอี้ หยุดการกระทำที่ไร้ประโยชน์เช่นนั้น ทั้งนายและบ่าวเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย ทั้งคู่ล้วนชื่นชอบการดื่มด่ำสายตาของผู้คนที่ตกตะลึง ยามพบเจอความน่าเกรงขามพวกตน เพราะมันทำให้ทั้งสองนายและบ่าว รู้สึกว่าตนเองยอมเยี่ยมเพียงใด...


ไม่นานชายหนุ่มก็มองเห็นประตูพรรคมังกรฟ้าจากที่ไกล ๆ ทั้งที่เขามิได้แจ้งให้ผู้ใดทราบถึงการกลับมา หากแต่ยังมีผู้คนจำนวนหลายพันคนมารวมตัวกันอย่างคับคั่ง! สาเหตุคงเป็นเพราะการมาถึงของ ผู้เฒ่าลำดับที่ 8 ก่อนหน้านี้ ย่อมเป็นสิ่งบ่งชี้ว่า เล้งซุน กำลังจะกลับมา...


โอวหยางเจี่ย ผู้นำตระกูลโอวหยาง ก็ได้ประจำการ ณ ที่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน เดิมทีเขานั้นเป็นองครักษ์ประจำตัวของ กุ่ยจือชิง หากแต่ได้รับคำสั่งพิเศษจาก กุ่ยจือชิง ให้ทำการปกป้อง เล้งซุน ในยามที่อยู่ในพรรคมังกรฟ้าเป็นการชั่วคราว เวลานี้จึงมีกองกำลังฝ่ายรักษาเขตแดนจำนวนมาก ควบคุมความสงบของพื้นที่โดยรอบ....


วินาทีที่เส้นแสงสีม่วงวาบผ่านมาจากที่ห่างไกล เสียงอึกทึกของกลุ่มคนทั้งหมดก็แตกฮือด้วยความตื่นเต้น เวลานี้ไม่มีใครไม่รู้จัก เล้งซุน อีกแล้ว ต่อให้เป็นคนที่เคยมีเรื่องเจ็บแค้นใจเพราะแมวสวรรค์ แต่เวลานี้ก็ยังต้องปั้นยิ้มด้วยความเคารพนบนอบ


เล้งซุน ที่เห็นว่ามีคนมากมายจดจ้องเขาอยู่ในเวลานี้ ดวงตาก็เปล่งวาบขึ้นมาด้วยความลำพองใจในทันที... “จื่อซีอี้ อย่าลืมทำตามแผนที่เตรียมไว้”


“ได้เลยนายท่าน! เรื่องเช่นนี้ข้านั้นเชี่ยวชาญเป็นที่สุด” จื่อซีอี้ เอ่ยตอบรับด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ


หนึ่งคน หนึ่งมังกร พุ่งดิ่งมาพร้อมอัสนีที่แผ่ขยายเต็มท้องฟ้า น่าตกใจตรงที่เพดานบินของ จื่อซีอี้ ไม่มีทีท่าว่าจะลดต่ำลงมายังเบื้องล่าง ให้ทำให้ทุกคนที่เฝ้ามองดู ต่างก็เต็มไปด้วยความตื่นตะลึงระคนประหลาดใจ


ไม่นาน... ชายหนุ่ม ที่สวมอาภรณ์สีขาวเฉกเช่นนักพรต สายลมที่ผ่านพัดก็มากพอจะทำให้อาภรณ์และเส้นผมสีขาวยาวสยายของเขาปลิวโบกสะบัดไปมาท่ามกลางอัสนีที่แผ่ขยายปกคลุมท้องฟ้า สิ่งที่เขาทำคือการโดดลงมาจากความสูงมากกว่าหนึ่งพันจั้ง!!


ใครที่พบเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ต่างก็สำลักลมหายใจหวาดผวาไปตามกัน ๆ นี่ถือเป็นความสูงที่แม้แต่ชนชั้นราชันย์ยังจัดว่าเป็นวิกฤตอันตราย... ชายหนุ่มกางแขนร่อนทิ้งตัวด้วยความห้าวหาญ แววตาเผยความเด็ดเดี่ยวที่คมกล้าออกมา...


จวบจนเหลือเพียงไม่กี่ร้อยจั้งจะถึงพื้นดิน... สายลมสีส้มระลอกหนึ่งก็หมุนวนอย่างรุนแรงที่ฝ่าเท้าทั้งสองข้าง หยุดสภาวะการร่วงหล่นอย่างน่าอัศจรรย์! เล้งซุน ที่ยืนอยู่ตรงนั้น มั่นคงเหนือความว่างเปล่า กำลังทอดสายตาเย็นชามองต่ำด้วยความสง่างามโดดเด่น ท่ามกลางดวงตาที่เบิกกว้างนับพันคู่ที่มิอาจละสายตาไปจากเขาได้


เขาลดความเร็วลงอย่างช้า ๆ สะบัดชายแขนเสื้อ วาดมือสองข้างไพล่ที่ตรงหลัง ประหนึ่งผู้อาวุโสชราที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน ชั่วพริบตาที่เท้าของเขาแตะสัมผัสยังพื้นดินแผ่วเบา ก็ประจวบเหมาะกับที่ จื่อซีอี้ ทิ้งน้ำหนักตัวลงมาอย่างมหาศาล ลงมายังพื้นดินจนสะท้านสะเทือน


มังกรม่วงขนาดตัวมหึมา ยืนที่ด้านหลังของ เล้งซุน อย่างเหมาะเจาะตามที่แอบนัดหมายกันไว้ ก่อนจะแผดคำรามเสียงดังกึกก้องด้วยความน่ายำเกรง มองเห็นเส้นอัสนีมากมายกระจายออกจากปากของมัน ส่งเสริมอำนาจบารมีให้กับผู้เป็นนายได้อย่างลงตัว...


เหล่าผู้คนนับพันแทบจะหยุดลมหายใจกันตรงนั้น จากภาพเหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยความอลังการโฉ่งฉ่างอย่างที่สุด ต่อให้เป็นการปรากฏตัวของยอดฝีมือชนชั้นเทวะ เกรงว่าก็ยังไม่เกรียวกราวสะดุดสายตา จนน่าดูชมมากถึงเพียงนี้...


เล้งซุน ทอดถอนหายใจด้วยความปลงอนิจจัง เอ่ยปากเนิบช้าด้วยท่าทีน่าเลื่อมใสถึงขีดสุด... “เหตุใดจึงออกมาต้อนรับกันเสียมากมาย? ตัวข้าแมวสวรรค์ผู้สมถะ หาได้ยินดียินร้ายกับความวุ่นวายเช่นนี้...” เขาโบกสะบัดชายแขนเสื้อเบา ๆ สายลมก็พัดหมุนวนรอบด้านด้วยความอัศจรรย์


ทั้งชายหนุ่มและมังกรคู่ใจ แม้สีหน้าจะนิ่งสงบ แต่ภายในใจของทั้งสองล้วนพากันอิ่มเอมปลื้มปริ่มอยู่ในส่วนลึก... ทั้งคู่รู้สึกว่าพวกตนนั้นช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ทั้งวาจาและท่าที ช่างเป็นการจัดระเบียบที่สมบูรณ์แบบในการเปิดตัว...


โอวหยางเจี่ย และ ผู้เฒ่าลำดับที่ 8 ซึ่งยืนอยู่ตรงนั้น... ทั้งสองผู้ชราพลันยิ้มเจื่อนหันมองหน้ากันเล็กน้อย ไหนเลยที่ทั้งคู่ซึ่งผ่านโลกมามากจะมองไม่ออกถึงเส้นสนกลใน ต่างก็ได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ ออกมาด้วยความปลดปลง...


.......................................................

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว