ซุนไม่ได้เร่งร้อนกดดัน จงหยุน หากแต่นั่งจิบสุราด้วยความเรียบเฉย... ทั้งชายหนุ่มยังดีดนิ้วเบา ๆ สาวงามหลายคนก็เดินเข้ามาปรนนิบัติ จงหยุน ด้วยรอยยิ้ม ในมือของหญิงสาวคนหนึ่งยังถือกาสุราลวดลายวิจิตรสีทอง มองดูแล้วเลิศหรูยิ่งกว่าโรงเตี้ยมในเขตตีนเขาเสียอีก...
ที่น่าตกใจยิ่งกว่า หรือกลิ่นของสุราที่รินใส่จอก ความรุนแรงที่แฝงไว้ด้วยความนุ่มนวลสามารถเขย่าคลอนจิตใจของ จงหยุน ได้อย่างชะงักงัน นี่คือสุราลมปราณชั้นเลิศ!
ภายในยุทธภพมีการแสดงความมั่งคั่งออกมาได้หลายรูปแบบ ทั้งสัตว์อสูรพาหนะ ทั้งเครื่องประดับ ทั้งยุทธภัณฑ์อาภรณ์ หลายสิ่งหลายอย่างถูกนำออกมาเพิ่มบารมีให้ผู้ถือครอง เพื่อให้ผู้คนรอบกายมองเห็นถึงความมั่งคั่ง
ทว่าสิ่งเหล่านั้น ขอเพียงกัดฟันทุ่มเงินทองจับจ่ายสักครั้ง ก็สามารถสืบทอดไปได้หลายรุ่น ผู้ที่สายตาเฉียบคมจริง ๆ จะไม่ประเมินความร่ำรวยของคนผู้หนึ่งจากสิ่งของเหล่านั้น... ทว่า! การที่สามารถนำสิ่งของที่นับว่าสิ้นเปลืองเปล่าประโยชน์ดั่งเช่นสุราล้ำค่า มาให้บริการแขกเหรื่อเช่นนี้ต่างหาก ถึงจะเรียกว่ามั่งคั่งอย่างแท้จริง
สุราลมปราณชั้นเลิศหนึ่งไห อาจมีราคาสูงนับแสน หรืออาจจะนับล้านเหรียญทอง ทั้งยังเป็นของที่หมดไปอย่างไร้ความหมาย ดังนั้นผู้ที่สามารถนำสุราลมปราณชั้นเลิศมารับรองได้เช่นนี้ ย่อมมิอาจจินตนาการถึงความมั่งคั่งได้เลย
จงหยุน แอบดมพลางจิบสุราลมปราณชั้นเลิศนี้อยู่หลายที เขาไม่เคยลิ้มรสสุราที่มีลมปราณหนักแน่นเช่นนี้มาก่อน ราวกับว่าสุราสามารถฟื้นฟูร่างกายที่อ่อนล้าทั้งหมดได้ตั้งแต่การดื่มจอกแรก จนเขานั้นอดไม่ได้ที่จะต้องเอ่ยถามออกไป
“คะ...คุณชายเหยาซาน ไม่ทราบว่าสุราลมปราณนี้ มาจากที่แห่งใด?!”
ซุน หรี่ตาแคบลงน้อย ๆ “นั่นเป็นสุราสูตรเฉพาะของเขตมหาสมุทรกิเลนอัสนี มีนามว่า ‘สุราโลหิตอสูร’ ต้องใช้โลหิตของมังกรและอสรพิษทะเลเป็นองค์ประกอบในตำราการหมักบ่ม กรรมวิธีของผู้เชี่ยวชาญจึงสำคัญเทียบเทียมความลับสวรรค์... ข้าเป็นคนจุกจิกดื่มสุราจากที่อื่นไม่ค่อยได้เพราะรู้สึกบาดลำคอ จึงเลือกดื่มเฉพาะสุราชนิดนี้เพียงอย่างเดียว ไหหนึ่งก็ราว ๆ สิบล้านเหรียญทองเห็นจะได้...”
จงหยุน พอได้ยินราคาก็แทบจะสำลักสุราออกมา ทว่าด้วยใจที่นึกเสียดาย จึงรีบยกมือขึ้นมากุมปิดปากเอาไว้ ยอมที่จะกลืนมันลงคอไปทั้งน้ำตาที่คลอเบ้า... “สะ...สิบล้าน!!”
“สหายชาวยุทธจง ชอบมันงั้นหรือ?! เช่นนั้นก็แวะมาเยี่ยมเยือนกันบ่อย ๆ สิ ข้าใช้สุรานี้ในการรับรองแขกทุกคนอยู่แล้ว...” ซุน เอ่ยปากเนิบนาบด้วยสีหน้าไม่ยี่หระ ซึ่งจริง ๆ แล้วสุรานี้เป็นสุราตำรับที่ ซุน คิดค้นขึ้นมาเอง ต่อให้ไปเสาะหาจากทั่วยุทธภพก็ไม่มีทางหาเจอได้ ดังนั้นเมื่อกล่าวอ้างว่าเป็นสุราจากมหาสมุทรกิเลนอัสนี จงหยุน ก็ปักใจเชื่อในทันที
เมื่อมาถึงตอนนี้ ความเคลือบแคลงใจในตัวของ เซียนพนันพเนจร แทบจะไม่หลงเหลืออีกแล้ว จงหยุน เชื่อมั่นเต็มอกว่า เหยาซาน ผู้นี้ต้องเป็นนายน้อยที่มั่งคั่งจากเขตพื้นที่นอกยุทธภพจริง ๆ
ดวงตาของ จงหยุน บ่งบอกว่า ต่อให้ต้องแลกกับสิ่งใดก็ต้องให้นิกายมังกรทมิฬสร้างความสัมพันธ์อันดีกับชายหนุ่มคนนี้ ตัวเขาที่เป็นสะพานเชื่อมจะต้องได้รับความดีความชอบอย่างมหาศาลเป็นแน่แท้...
“เมื่อครู่คุณชายเหยาซาน เปรยกับข้าน้อยว่าอยากได้รับสิทธิพิเศษที่แตกต่างไปจากคนอื่นงั้นสินะขอรับ เช่นนั้นหากทางนิกายของเราเสนอยื่นสถานะแขกผู้ทรงเกียรติของนิกายให้กับท่าน ไม่ทราบว่าจะพอทำให้คุณชายเหยาซานพึงพอใจได้หรือไม่?!” จงหยุน เอ่ยปากแน่นหนัก
ซุน ขมวดคิ้วน้อย ๆ เพราะเขายังไม่เข้าใจนัก
“สถานะแขกผู้ทรงเกียรติงั้นหรือ?!”
“ขอรับ... เป็นสถานะที่มีเพียงตระกูลระดับชนชั้นพิเศษตั้งแต่ป้ายทองแดงขึ้นไปเท่านั้นจึงจะได้รับ ถือเป็นสถานะสูงสุดที่ทางนิกายเราจะมอบให้กับบุคคลภายนอกนิกายได้... ภายใต้การแสดงป้ายสถานะแขกผู้ทรงเกียรตินี้ แม้กระทั่งคนของนิกายก็ยังต้องให้ความเคารพ
ตัวข้าน้อยเอง ก็ไม่มีอำนาจเพียงพอจะส่งมอบสถานะนี้... แต่ขอรับปากว่าข้าน้อยจะพยายามอย่างถึงที่สุดในการเสนอเรื่องนี้แก่ทางเบื้องบน และจะนำป้ายแขกผู้ทรงเกียรติมามอบให้กับคุณชายเหยาซาน ภายในสามวัน” จงหยุน เอ่ยรับปากด้วยน้ำเสียงแน่นหนัก
ซุน ถึงกับใจเต้นรัวเร็ว หากแต่ใบหน้ากลับยังคงนิ่งเย็นชา มิได้แสดงอาการใด ๆ นอกเหนือจากพยักหน้าเบา ๆ “เช่นนั้นก็รบกวนสหายชาวยุทธจงด้วย หากท่านมอบสถานะที่พิเศษเช่นนั้นให้กับข้า ตัวข้าเองก็จะตอบสนองความคาดหวังของทางนิกายเช่นเดียวกัน...”
เมื่อการพูดคุยจบสิ้นลง หวู่หวาน ก็ไปส่ง จงหยุน ที่ด้านนอก... ตลอดทาง จงหยุน ยังเอ่ยปากพูดคุยอย่างเกรงอกเกรงใจต่อ หวู่หนาน อีกด้วย ไหว้วานให้ช่วยผลักดันคุณชายเหยาซาน ก้าวไปสู่เขตตีนเขาอีกแรง...
หลังไปส่งถึงหน้าหอนางโลมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หวู่หนาน ก็กลับขึ้นมายังเรือนรับรองแขกอีกครั้ง สายตาของ หวู่หนาน และ ซุน จดจ้องกันชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่คนทั้งสองจะแผดเสียงหัวเราะเสียงดังออกมา...
“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! สุดยอดไปเลยคุณชายเหยา เจ้าจงหยุนคนนั้นมันเชื่อท่านเสียสนิทใจเลย!! กระทั่งข้าเองยังแอบหลงเชื่อท่านไปด้วย จากทักษะการแสดงที่น่าเกรงขามนั่น!!”
“หึหึ... พี่หวู่ กล่าวหนักไปแล้ว ต้องชมว่าท่านแทรกแซงบทพูดได้ตรงจังหวะยิ่งนัก ทำให้ข้าสานต่อได้ง่ายขึ้น อีกสามวันหากได้ป้ายแขกผู้ทรงเกียรติมา ทั้งยังมีป้ายอนุมัตินี่อีก เท่านี้พวกเราสองคนก็เข้าไปยังเขตตีนเขาได้ทั้งคู่...”
หวู่หนาน ถอนหายใจทั้งรอยยิ้ม... “บอกตามตรงว่านี่เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้เสียอีก หลงนึกว่า จงหยุน จะให้สิทธิพิเศษอีกเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ที่ไหนได้กลับยอมยื่นเรื่องเสนอ มอบป้ายแขกผู้ทรงเกียรติให้กับท่านเช่นนี้ หากไม่ใช่ระดับเจ้าเมือง หรือผู้นำพรรคใหญ่ ๆ ในยุทธภพ ข้าไม่เคยเห็นผู้ใด มีโอกาสถือครองป้ายแขกผู้ทรงเกียรติมาก่อน”
“พิเศษถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?!”
“ขอรับ... สถานะแขกผู้ทรงเกียรติ ไม่ว่าจะไปยังสถานที่ใดในเขตตีนเขา ก็ล้วนได้รับการดูแลอย่างดีในพื้นที่พิเศษเฉพาะ ถูกจัดให้แยกออกจากกลุ่มคนทั่วไปอย่างชัดเจน!! อีกทั้งหากขาดเหลือสิ่งใด ยังสามารถร้องขอจากทางนิกายได้อีกด้วย” ขณะที่กล่าวออกมา หวู่หนาน ยังเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
“งั้นหรือ?! น่าสนใจไม่เลว...” ซุน เผยรอยยิ้มที่มืดดำ
สามวันต่อมา จงหยุน ก็ได้เดินทางกลับมาอีกครั้งเพื่อมอบป้ายแขกผู้ทรงเกียรติ ตามที่ได้รับปากเอาไว้... แน่นอนว่าสีหน้าอิดโรยที่เขาแสดงออกมา สามารถบอกได้ว่าเจ้าต้องวิ่งเต้นอย่างกระตือรือร้นเพียงใดเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งนี้ นี่มิใช่สิ่งของที่ทางนิกายจะยอมมอบให้กับผู้ใดง่าย ๆ
ซุน ยังคงต้อนรับขับสู้ จงหยุน เป็นอย่างดีเช่นเคย เอ่ยปากชื่นชมเล็กน้อยตามสมควร... ภายในค่ำคืนนั้น ซุน ได้เก็บตัวเข้าฌานอย่างจริงจังเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อเตรียมความพร้อม เขาตระหนักดีว่าภารกิจครั้งนี้อันตรายและยากเย็นเพียงใด
ซุน หยิบเอาม้วนหนังสัตว์ที่ได้มาจากราชันย์ยาจก พิจารณาอีกครั้งอย่างละเอียด... เขาจดจำใบหน้าของ องค์รัชทายาทลำดับที่ 8 จูเชว่ลู่ซือ จนอยู่ในระดับที่แม้จะเห็นเพียงหางตาก็จำได้ในทันที หากแต่สิ่งที่ทำให้ ซุน ต้องวิตกกังวลย่อมมิใช่ตัวขององค์ชายเจ้าสำราญผู้นี้ แต่เป็นทหารองครักษ์ที่คุ้มกันเขาต่างหาก...
จูเชว่ลู่ซือ ถึงแม้จะเป็นองค์ชายเจ้าสำราญที่ไม่เอาไหน แต่ด้วยความที่เขานั้นเป็นบุตรซึ่งเกิดจากองค์ราชินี จึงกลายเป็นบุตรชายที่ถูกทะนุถนอมและรักยิ่งขององค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์จูเชว่... ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่ จูเชว่ลู่ซือ ออกมานอกวังหลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางมายัง เขตนอกด่านเงาทมิฬ ที่แสนอันตราย องค์จักรพรรดิ จึงมียอดฝีมือระดับสูงสุดของทวีปติดตามมาด้วยเสมอ...
เทพปรมาจารย์ลำดับที่ 3 แห่งทวีปหงสาเพลิง
หัตถ์เปลวเพลิง จูเชว่หยวน ลมปราณสีส้มขั้นที่ 7
ภายใต้การคุ้มกันของ จูเชว่หยวน ใต้หล้ายุทธภพนี้คงมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถทำอันตรายต่อ จูเชว่ลู่ชิง ได้... นี่ต่างหากคือภัยอันตรายที่สุดของภารกิจครั้งในนี้สำหรับ ซุน และนอกเหนือจากเทพปรมาจารย์แล้ว ก็ยังมีทหารองครักษ์ชนชั้นราชันย์อีกสามคน ซึ่งแน่นอนว่าพลังในการสู้รบต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่า เกาเจี่ย และ เหลียงซี อย่างเทียบกันไม่ได้...
“เป้าหมายของภารกิจคือการช่วงชิงป้ายทองคำเชื้อพระวงศ์ หากตระเตรียมแผนการที่แยบยลและรัดกุมเพียงพอ ก็น่าจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับ เทพปรมาจารย์ และทหารองครักษ์เหล่านั้นได้อยู่...” ซุน เผยแววตาเด็ดเดียวมุ่งมั่น
เช้าวันรุ่งขึ้น...
ซุน และ หวู่หนาน เดินทางมุ่งหน้าสู่เขตตีนเขา... ตลอดเส้นทางในย่านทิศเหนือ ล้วนแล้วแต่มีผู้คนโค้งคำนับให้กับ ซุน จากอิทธิพลที่เริ่มกล่าวขวัญกันไปทั่ว... หากแต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะมีความกังวลแฝงเร้นอยู่พอสมควร กระทั่ง หวู่หนาน ก็ยังรู้สึกได้
ไม่นานก็มาถึงประตูทางเข้าไปยังเขตตีนเขาราชันย์มังกร จุดนี้มีคนของนิกายคอยตรวจสอบ... ซุน มิได้สนใจคนเหล่านั้นเท่าที่ควร แต่เขานั้นสนใจที่ม่านพลังเสียมากกว่า ซุน รู้สึกว่าโชคเข้าข้างเขายิ่งนักที่รอบ ๆ ตีนเขาเป็นม่านพลังปิดล้อม ไม่ได้เป็นสิ่งปลูกสร้างถาวรขนาดใหญ่จำพวกกำแพงสูง อย่างน้อย ๆ ในสถานการณ์ฉุกเฉินเวลาหลบหนี เขาก็ยังสามารถใช้ เขี้ยวหมูตัน ตัดผ่านม่านพลังออกมาได้...
เพียงป้ายแขกผู้ทรงเกียรติถูกนำออกมาแสดง คนเฝ้าประตูก็พลันสูดลมหายใจดังเฮือก รีบโค้งเคารพอย่างสุภาพ ทั้งยังคิดที่จะจัดหาคนมานำทาง... แต่ ซุน นั้นปฏิเสธเพราะเขามากับ หวู่หนาน ที่เป็นอดีตสมาชิกนิกายอยู่แล้ว พื้นที่ภายในนั้น หวู่หนาน ย่อมทราบถึงรายละเอียดเป็นอย่างดี...
“คุณชายเหยา เขตตีนเขานี้มีอาณาบริเวณเล็กกว่าย่านทิศเหนือก็จริง หากแต่เพราะมีการจัดวางสถานที่อย่างเป็นระเบียบแบบแผน และรวมเอาความหรูหรามั่งคั่งเอาไว้ในจุดเดียว จึงเกิดเป็นความศิวิไลซ์ ที่ไม่อาจเสาะหาได้จากเขตเชิงเขาทั้งหมด... ไม่ทราบว่าเหตุผลที่คุณชายเหยาต้องการมาที่นี่ มีจุดหมาย ณ สถานที่แห่งใด?”
ซุน นิ่งขรึมพร้อมกันทอดสายตามองไปด้านบน... “บ่อนพนัน ข้าต้องการไปยังบ่อนพนันที่ใหญ่ที่สุดของ เขตนอกด่านเงาทมิฬ...”
หวู่หวาน ประสานมือรับ “เช่นนั้นก็มีเพียงแค่แห่งเดียว บ่อนพนันที่เรียกได้ว่าใหญ่ที่สุดในยุทธภพแล้ว ‘บ่อนแดนมังกร’ สถานที่แห่งนี้คือศูนย์รวมของเหล่าเซียนพนันอย่างแท้จริง สถานที่ซึ่งนับตั้งแต่อดีตต่างก็มีเซียนพนันชื่อดังหลายคนมาเสาะแสวงหาตื่นเต้น การเดิมพันของที่นั้นอยู่เหนือขอบเขตความเข้าใจของคนปกติอย่างเรา ๆ เซียนพนันบางคนแสวงหาความพ่ายแพ้ สุดท้ายก็ต้องมาปราชัยในบ่อนแห่งนี้กันนับไม่ถ้วน...”
ซุน ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วฉับในทันที... “มีการวางเงินเดิมพันที่มหาศาลมากเลยงั้นหรือ?!”
หวู่หนาน หันมองมาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม... “มันยิ่งกว่านั้นอีกคุณชายเหยา เซียนพนันบางคนในอดีตร่ำรวยจนเงินทองไร้ความหมาย การต่อสู้ระหว่างเซียนพนันจึงเดินพันกันด้วยศักดิ์ศรีและเกียรติยศเป็นหลัก ในบางครั้งจึงต้องนำสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดออกมาเดิมพัน เพื่อแสวงหาความตื่นเต้นและอรรถรสแห่งจิตวิญญาณเซียนพนัน...”
“สิ่งที่ล้ำค่ายิ่งกว่าเงินทอง?!” ซุน รู้สึกใจหวิว ๆ เมื่อได้ยิน
“ชีวิตยังไงล่ะ... การพนันที่ใช้ชีวิตของเซียนพนันเป็นเดิมพัน...”
................................................
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว