ไม่อาจเอื้อม มีebook

ตอนที่ 6 ที่ของเขา ?

เมืองนาฟรีย์

ตั้งแต่ลงรถไฟมาสตีฟก็เดินหาประกาศรับสมัครผู้ช่วยพ่อครัวตามบอร์ดไม้หางานที่อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟทันที ชายหนุ่มไม่ได้มีความคิดที่จะกลับไปทำงานกับบ้านหลังเดิมเลยแม้แต่น้อยเพราะลึกๆ แล้วเขากลัวว่ามาดาม เมลล็อตจะติดต่อไปหาบ้านตระกูลเกรซให้พาตัวเขากลับไป ดังนั้นวิธีการที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเขาจึงเป็นการไปสมัครทำงานกับบ้านหลังใหม่

แม้ว่าการทำงานกับบ้านหลังใหม่นั้นจะเป็นสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคยแต่อย่างน้อยก็ดีกว่าการสภาวะก่อนหน้าของตนมาก

ดวงตาสีน้ำตาลของเขากวาดมองไปยังประกาศต่างๆ ชายหนุ่มพอจะอ่านประโยคง่ายๆ เหล่านั้นออก ไม่นานเขาจึงเห็นประกาศหาคนงานของบ้านหลังหนึ่งที่อยู่บนถนนหมายเลขสิบสี่ ชายหนุ่มพยายามอ่านรายละเอียดเหล่านั้น แต่กระนั้นแล้วเขาก็ไม่เข้าใจเนื้อความมากนัก

ชายหนุ่มยอมรับว่าไม่ใช่คนงานทุกคนที่อ่านหนังสือไม่ออก เขาก็แค่โชคร้ายที่รู้หนังสือน้อยไปหน่อย แต่เมื่อนึกย้อนกลับไปในอดีตที่ผ่านมานั้นเขาเองก็ยุ่งง่วนแต่กับงานในครัวมาตั้งแต่อายุสิบห้าก่อนหน้านั้นเขาก็ทำงานจิปาถะดังเช่นทำความสะอาดครัวหรือไม่ก็ล้างจาน หากว่างจากสองงานนั้นเขาก็ต้องทำความสะอาดพื้นชั้นล่างเพื่อแบ่งเบาภาระของป้าโรสและในบางคราเขาก็ต้องไปดูแลสวนแทนคนสวนที่มักจะลางานอยู่เป็นประจำ ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะมาฝึกหัดการอ่านการเขียนอย่างจริงๆ จังๆ

ชีวิตคนงานเช่นเขาไม่ได้ง่ายนัก ดังนั้นการจะหาเวลาว่างมาหัดอ่านหนังสือเหมือนกับผู้มีอันจะกินเหล่านั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับสตีฟ

ชายหนุ่มมุ่งหน้าไปยังบ้านหลังนั้นทันที สตีฟเดินเตร่ไปตามท้องถนนท่ามกลางทิวทัศน์สองข้างทางที่เขาสุดแสนจะคุ้นเคย สตีฟเดินทะลุไปยังตรอกของคนไร้บ้านไปสู่ถนนหมายเลขสิบสามแล้วเดินลัดเลาะไปตามสวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยหมู่ไม้สีเขียวขจีไปยังถนนหมายเลขสิบสี่อย่างชำนาญเส้นทาง

ใช้เวลาราวยี่สิบนาทีชายหนุ่มก็เดินเท้ามาถึงแมนชั่นขนาดกลางหลังหนึ่ง

ชายหนุ่มเดินลงบันไดหินไปยังประตูชั้นล่างของแมนชั่นแล้วออกแรงเคาะเบาๆ ไม่นานประตูก็เปิดออกพร้อมกับร่างของพ่อบ้านวัยชรา

“ผมมาสมัครตำแหน่งผู้ช่วยพ่อครัวครับ” ในยามที่สบตากับอีกฝ่ายนั้นชายหนุ่มก็แจ้งจุดประสงค์ของตนเองทันที พ่อบ้านมองชายหนุ่มครู่หนึ่งแล้วพบว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าผู้นี้หน่วยกร้านดี ท่าทางเหมือนกับคนที่ทำงานในครัวมานานแล้วจึงพยักหน้ารับเล็กน้อย

ในที่สุดก็มีคนทำงานในครัวเป็นมาสมัครงานเสียที พ่อบ้านนึกอย่างพึงพอใจเนื่องจากสองสามวันมานี้คนที่มาสมัครงานกับเขานั้นส่วนมากมีแต่คนขัดพื้นเท่านั้น การมีคนที่ดูจะทำครัวเป็นเสียทีเช่นนี้มาสมัครงานจึงเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง

“ไหนล่ะจดหมายแนะนำตัวของนาย” พ่อบ้านยื่นมือขอจดหมายแนะนำของชายหนุ่ม หน่วยกร้านท่าทางดีเช่นนี้จะต้องมีคนเขียนแนะนำงานมาแน่ๆ ดังนั้นเขาจึงอยากดูเสียหน่อยว่าอีกฝ่ายทำอะไรเป็นบ้าง

อีกทั้งการสมัครงานในบ้านผู้ดีนั้นโดยส่วนมากจะต้องมีจดหมายแนะนำหรือไม่ก็จดหมายรับรอง ดังนั้นจึงเป็นหลักปฏิบัติโดยทั่วไปสำหรับการสมัครงาน ณ เมืองนาฟรี่ย์

“ไม่มีครับ แต่ผมจัดเตรียมวัตถุดิบเป็นและทำมื้อเช้ากับมื้อกลางวันได้ครับ” สตีฟพยายามเอ่ยกับอีกฝ่ายด้วยความร้อนรน เขาทราบดีว่าเขาจำเป็นจะต้องมีจดหมายเหล่านั้น แต่กระนั้นแล้วในสถานการณ์เช่นนี้ชายหนุ่มจะมีจดหมายเหล่านั้นได้อย่างไร

“ฟังนะเจ้าหนุ่ม ถ้านายไม่มีจดหมายแนะนำตัวฉันก็รับนายเอาไว้ไม่ได้” พ่อบ้านยกมือขึ้นมากอดอกไปพลางส่ายหน้าไปพลางด้วยความลำบากใจ แม้ท่าทางของเจ้าหนุ่มคนนี้จะเหมือนกับคนที่ทำงานในครัวจริงๆ แต่การรับอีกฝ่ายโดยไม่มีจดหมายแนะนำจากเจ้านายคนก่อนหน้านั้นก็เป็นเรื่องที่เขาไม่อาจทำได้

จดหมายแนะนำนั้นสำคัญมากเพราะอย่างน้อยก็เป็นการรับรองว่าอีกฝ่ายไม่ใช่พวกสิบแปดมงกุฎหรืออาชญากร

ทันใดชายร่างอ้วนผู้ที่สวมชุดพ่อครัวก็เดินมาสะกิดพ่อบ้านเพื่อให้ที่จะให้พ่อบ้านยอมอนุมัติรายการวัตถุดิบบางตัวของเขา

“คุณพ่อบ้านผมอยากจะได้เครื่องเทศอีกสองสามรายการ อ้าว สตีฟนายมาทำอะไรที่นี้” ในขณะที่เขากำลังเกริ่นกับกับอีกฝ่ายอยู่นั้น พ่อครัวกลับต้องชะงักค้างไปเมื่อพบคนคุ้นเคยที่ยืนอยู่เบื้องหน้า

นั่นสตีฟผู้ช่วยพ่อครัวจากบ้านเมลล็อตไม่ใช่เหรอ?

“ผมมาสมัครเป็นผู้ช่วยพ่อครัวครับ” สตีฟเอ่ยกับอีกฝ่ายไปตามตรงโดยไม่คิดจะปิดบังอันใดเนื่องจากเขารู้จักพ่อครัวร่างท้วมผู้นี้ดี หากจะให้เอ่ยถึงความสัมพันธ์ของเขากับพ่อครัวผู้นี้นับว่าดีเนื่องจากอีกฝ่ายเป็นเพื่อนกับออโดว์ ดังนั้นเขาจึงเคยสนทนากับอีกฝ่ายอยู่บ่อยครั้งในระหว่างออกไปเดินเลือกดูวัตุดิบที่ตลาดปลา

จะว่าโลกนั้นใบนี้แคบก็คงจะไม่ใช่ แต่หากจะเอ่ยว่าคนสายงานเดียวกันย่อมรู้จักกันนั้นก็ไม่นับว่าผิดนัก

“ฉันจำได้ว่าเพื่อนรักของฉัน โม้เรื่องของนายใหญ่เลย ได้ยินว่านายลากลับบ้านเกิดไป ว่าแต่นายกลับมาแล้วเหรอ” เมื่อสองวันที่แล้วเขาบังเอิญพบเจ้าเพื่อนรักในระหว่างที่กำลังเดินเตร่เพื่อหาวัตถุดิบดีๆ สำหรับเมนูใหม่ เขายังจดจำได้ดีว่าอีกฝ่ายบ่นกับเขาไม่หยุดว่าเจ้าหนุ่มนั่นไปแล้วจึงต้องมาเลือกดูวัตถุดิบเอง

นึกไปแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่เจ้าเพื่อนผู้น่ารำคาญนั้นเอ่ยถึงจะมายืนอยู่เบื้องหน้าตนในยามนี้

เขาไม่รู้สึกสะกิดใจแม้แต่น้อยว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงมาสมัครงานที่นี่ เขาเข้าใจเพียงว่าสตีฟอยากจะลองทำงานกับครัวอื่นๆ บ้างเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ หากจะถามว่าเหตุใดเขาจึงสรุปกับตนเองเช่นนั้นคงจะเป็นเพราะตัวเขาในอดีตก็เปลี่ยนครัวเป็นว่าเล่นเหมือนกัน จะทำอย่างไรได้สำหรับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานในครัวเพียงครัวเดียวจะไปพออะไร

“ครับ” สตีฟพยักหน้าเล็กน้อยในขณะที่พ่อบ้านแอบฟังพวกเขาสนทนากันอยู่นั้นก็หูผึ่งขึ้นมา หากทั้งสองคนรู้จักกันก็แสดงว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ไม่ใช่พวก สิบแปดมงกุฎหรืออาญกรเป็นแน่แท้

“ครัวของฉันยินดีต้อนรับ ว่าแต่ทำไมทำหน้าแบบนั้นเขาขาดคุณสมบัติอะไรเหรอครับพ่อบ้าน” พ่อครัวร่างท้วมมองพ่อบ้านอย่างไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงแสดงสีหน้าลำบากใจเช่นนี้ คงไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายกำลังติดใจว่าเจ้าหนุ่มนี้เข้าครัวไม่ได้กระมัง

“ก็นิดหน่อย เขาไม่มีหนังสือแนะนำ” พ่อบ้านเอ่ยถึงปัญหาที่เขาไม่สามารถรับเด็กหนุ่มผู้นี้ได้ ในขณะที่พ่อครัวหลิ่วตามองพ่อบ้านครู่หนึ่งจากนั้นก็ส่ายหัวแล้วจึงหัวเราะออกมาเสียงดัง

“เรื่องแค่นี้เอง เอาอย่างนี้ก็แล้วกันผมจะเขียนจดหมายแนะนำให้ถ้าคุณต้องการ เชื่อผมเถอะว่าเขาเป็นผู้ช่วยพ่อครัวชั้นยอดเพราะฉะนั้นแล้วคุณรับเขาไว้เถอะ” เรื่องหนังสือแนะนำนั้นง่ายจะตายไป ขอเพียงมีจดหมายแนะนำก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ อีกทั้งจดหมายแนะนำนั้นก็ใช่ว่าหัวหน้าคนเก่านั้นจะเขียนได้เพียงผู้เดียวเสียที่ไหน สำหรับการเขียนจดหมายแนะนำขอเพียงเป็นคนสายงานเดียวกันที่มีความน่าเชื่อถือเป็นผู้เขียนก็นับว่าใช้ได้เช่นกัน

ข้อเท็จจริงนี้ใครๆ ต่างก็รู้กันดี แต่กระนั้นแล้วก็ใช่ว่าจะมีใครเขียนจดหมายแนะนำให้กับคนที่พึ่งจะรู้จักกันได้ง่ายๆ เนื่องจากการเขียนจดหมายแนะนำนั้นก็เหมือนกับการนำชื่อเสียงของตัวเองมารับประกันให้กับผู้อื่น ดังนั้นการจะเขียนจดหมายแนะนำให้ผู้ใดนั้นจึงขึ้นอยู่กับความมั่นใจในตัวผู้ที่ถือจดหมายแนะนำทั้งสิ้น

ด้วยเหตุนี้จึงนับเป็นโชคดีของสตีฟที่พบคนรู้จักกันมานานมากพอที่จะเขียนจดหมายแนะนำเขาให้ทำงานได้

“ก็ได้ ในเมื่อพวกนายรู้จักกันก็แสดงว่าเจ้าหนุ่มคนนี้เข้าครัวได้จริงๆ” พ่อบ้านส่ายหัวกับความมุทะลุของพ่อครัวร่างท้วมแล้วจึงส่งสายตาให้ชายหนุ่มเข้ามาภายในตัวบ้าน

“ดีมาก มาเถอะสตีฟ ฉันจะพานายไปทัวร์ครัวของเรา” พ่อครัวหันมากวักมือเรียกชายหนุ่มหนึ่งทีพลางขยิบตาให้กับเขาด้วยความยินดีปรีดา

สตีฟพยักหน้าหนึ่งทีแล้วจึงเดินตามอีกฝ่ายไปยังห้องครัว ในใจเขาในยามนี้แม้จะรู้สึกยุ่งเหยิงอยู่บ้าง แต่กระนั้นแล้วก็รู้สึกโล่งขึ้นมาไม่น้อยที่อย่างน้อยก็ได้กลับมาทำสิ่งที่ตนคุ้นเคยเสียที

ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าเดินตามอีกฝ่ายไปด้วยใบหน้าอันกระตือรือร้น แม้ว่าในใจของเขาลึกๆ แล้วยังคงกังวลอยู่ไม่น้อยเลยก็ตาม


สตีฟทำงานในฐานะผู้ช่วยพ่อครัวอย่างราบรื่นมาตลอดสองวันที่ผ่านมา แม้ว่าตลอดสองคืนที่ผ่านมาชายหนุ่มจะนอนหลับไม่สนิทเลยแม้แต่คืนเดียวก็ตาม ทุกคราที่เขาหลับตาลงความรู้สึกหวาดกลัวภายในจิตใจก็ได้ก่อขึ้นพาให้เกิดความรู้สึกระแวดระวังราวกับสุนัขจนตรอกที่น่าเวทนา

สตีฟไม่รังเกียจที่จะยอมรับว่าตัวเขาน่าเวทนาราวกับหนูสกปรกตัวหนึ่งเหมือนดังที่แม่บ้านผู้นั้นเอ่ยกับเขา

เขารู้ตัวดีว่าตัวเขานั้นไม่มีวันเป็นที่คู่ควรกับสิ่งเหล่านั้นได้

เมื่อพวกเขาจัดแจงทำมื้อกลางเสร็จแล้ว พ่อครัวจึงหันมามอบหมายงานให้เขาออกไปดูวัตถุดิบใหม่ๆ ที่ตลาดสดที่อยู่อีกฟากหนึ่งของเมือง สตีฟตอบตกลงแต่โดยดีเนื่องจากตลาดสดที่ว่านั้นแต่เดิมก็เป็นตลาดที่เขาเคยไปอยู่บ่อยครั้ง

สตีฟหยิบกระดาษโน้ตและดินสอยัดใส่กระเป๋าอย่างลวกๆ แล้วจึงมุ่งหน้าไปยังจุดหมาย ชายหนุ่มใช้เวลาเดินเท้าราวครึ่งชั่วโมงมายังตลาดสดที่ตั้งอยู่ในย่านการค้า เนื่องจากช่วงบ่ายของวันนั้นมีผู้คนมาจับจ่ายไม่มากนักชายหนุ่มจึงใช้เวลาเดินดูวัตถุดิบใหม่ๆ ที่พึ่งจะลงเรือมาโดยไม่ต้องเบียดเสียดกับใคร ในขณะที่สตีฟกำลังเลือกดูสมุนไพรที่ถูกนำมาขายจากดินแดนที่อยู่โพ้นทะเลนั้นสุ้มเสียงอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง

“สตีฟ? นายมาทำอะไรที่นี่” สตีฟสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะหันกลับไป เขาหันมาส่งยิ้มแห้งๆ ให้กับออโดว์อย่างอับจน

เรื่องที่ว่าตระกูลเกรซมารับตัวชายหนุ่มกลับไปนั้นมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ และออโดว์เองแต่เดิมก็ไม่ได้อยู่ในขอบข่ายที่ได้มีสิทธิ์ทราบเรื่องนี้ แต่เป็นเพราะเขาแอบติดสินบนพ่อบ้านด้วยเหล้าราคาแพง อีกฝ่ายจึงยอมเล่าเรื่องราวเหล่านั้นให้เขาฟังทั้งหมด

เหตุผลที่ว่าเหตุใดพ่อจึงทราบเรื่องนี้เป็นเพราะเขาได้รับความไว้วางใจจากมาดามเมลล็อต

“ผมกลับมาได้สักพักแล้ว” สตีฟเอ่ยออกมาเรียบๆ ราวกับในใจของเขาไม่รู้สึกหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าเขาจะพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกเหล่านั้นได้ดีเพียงใด แต่กระนั้นแล้วฝ่ามือของเขากลับชื้นเหงื่อโดยไม่อาจปิดบังอีกฝ่ายได้

“ไม่ๆ ไอ้หนุ่ม ฉันรู้ว่านายเป็นใคร ตอบฉันมาว่านายมาทำอะไรที่นี่” ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลที่ร่ำรวยมาเดินเตร็ดเตร่อะไรในตลาดที่เต็มไปด้วยชนชั้นกลางและคนงานเช่นนี้ ในยามนี้ออโดว์ไม่ทราบว่าเจ้าหนุ่มเบื้องหน้ากำลังคิดเรื่องเหลวไหลอันใดอยู่

“ที่นั่นไม่ใช่ที่ของผม ที่ของผมคือที่นี่” สตีฟเดินเลี้ยวออกมาจากร้านขายสมุนไพรในขณะที่มีออโดว์เดินตามมาติดๆ อันที่จริงแล้วการที่สตีฟเดินเลี่ยงออกมานั้นไม่ใช่ต้องการจะหลบหนีอีกฝ่ายแต่อย่างใด เขาเพียงแค่อยากจะหลบหลีกสายตาอยากรู้อยากเห็นของเจ้าของร้านเพียงเท่านั้น

“ใต้ถุนบ้านน่ะนะ ถ้าฉันเป็นนาย ฉันไม่กลับมาแน่ไอ้หนู” ดูจากสภาพของชายหนุ่มในยามนี้เขาก็ทำได้แค่เพียงถอนหายใจ เขานึกว่าเจ้าหนุ่มที่ช่วยงานเขาในวันนั้นจะได้ใส่สูทนั่งดื่มบรั่นดีอยู่ในห้องทำงานหรูๆ ในคฤหาสน์ตระกูลเกรซ

แล้วเหตุใดชายหนุ่มผู้โชคดีผู้นั้นจึงมีสภาพเหมือนกับคนงานเช่นนี้?!

หากจะให้เดาเขาก็ย่อมเดาออกว่าอีกฝ่ายหนีออกจากบ้านมาแล้วสมัครเป็นคนงานที่บ้านหลังใดสักหลังในเมืองนี้

“ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าที่นั่นสำคัญกับผมอย่างไร ผมรู้เพียงแค่ว่าชีวิตของผมไม่ได้เป็นแบบนั้น” สตีฟก้มลงมองรองเท้าสีน้ำตาลอันมอซอของตน เมื่อสองวันที่แล้วเขาสวมรองเท้าหนังขัดเงาอันหรูหรา แต่สิ่งเหล่านั้นกลับทำให้ภายในใจของเขามืดหม่นและแปลกแยก

คฤหาสน์หลังนั้น ความร่ำรวยเหล่านั้น ผู้คนเหล่านั้น ทุกสิ่งล้วนไม่ใช่ที่ของเขา

ใบหน้าอันหม่นมองของชายหนุ่มเบื้องหน้าทำให้ออโดว์ถอนลมหายใจออกมา เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเผชิญกับเรื่องยุ่งยากอันใด แต่กระนั้นแล้วสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่สตีฟจะต้องเดินหน้าฝ่าฝันมันไปด้วยตนเอง ไม่ใช่หลบหนีออกมาอย่างขี้ขลาดเช่นนี้

“ฟังนะสตีฟ ชีวิตของนายก็ไม่ได้เป็นแบบนี้เหมือนกัน นายโชคดีกว่าใครทั้งหมดที่ฉันรู้จัก นายมีโอกาสที่คนธรรมดาอย่างพวกฉันไม่วันได้รับและนายจะมีโอกาสได้ทำในสิ่งที่คนธรรมดาอย่างพวกฉันทำไม่ได้” เขาไม่ได้มองว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าผู้นี้เป็นเพียงผู้ช่วยพ่อครัวอีกแล้ว ในยามนี้สตีฟในสายตาของเขาคือชายผู้ที่ได้โอกาสที่จะเป็นคนที่ดีพร้อมมากขึ้น

ในยามที่เขามองมายังชายหนุ่มเบื้องหน้า เขารู้สึกหนักใจกับการที่อีกฝ่ายเลือกที่จะหันหลังให้กับโอกาสครั้งใหญ่ในชีวิตของตนเอง ออโดว์เห็นเจ้าหนุ่มผู้นี้มาตั้งแต่อีกฝ่ายยังเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง เขาเป็นคนสอนให้อีกฝ่ายล้างผักผลไม้รวมไปถึงการใช้มีดเพื่อแล่เนื้อ การที่เขาได้เห็นเด็กน้อยผู้นั้นกลายเป็นชายผู้ขลาดเขลาเช่นนี้มันทำให้เขารู้สึกไม่ยินยอมกับสิ่งที่อีกฝ่ายเลือกในยามนี้

เขาเพียงแค่อยากให้สตีฟมีชีวิตที่ดี ไม่ใช่จมปลักอยู่กับความขลาดกลัวเหล่านั้น

“ผมไม่มั่นใจแล้ว ผมไม่รู้ว่ามันจะดำเนินไปแบบไหน แต่ถ้าผมอยู่ตรงนี้อย่างน้อยผมก็รู้ว่าชีวิตผมจะเดินไปข้างหน้าอย่างไร” หากการอยู่ในครัวไม่ใช่ที่ของเขาแล้วคฤหาสน์หลังนั้นจะใช่ที่ของเขาได้อย่างไร

สายตาดูถูกเหล่านั้นต่างมองมายังเขาจากทุกทิศทางจนเขามองไม่เห็นทางว่าเขาจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปในฐานะ สตีเฟ่น เกรซ ได้อย่างไร ผิดกันหากเขายังคงอยู่ในครัวเช่นนี้เขาก็รู้ดีแก่ใจว่าชีวิตเขาต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร เขาอาจจะเป็นผู้ช่วยพ่อครัวเช่นนี้ไปตลอดชีวิตหรือไม่ก็คงจะได้เลื่อนตำแหน่งในที่สุด

ตำแหน่งพ่อครัวสำหรับคนอย่างสตีฟก็ถือว่าถึงจุดสูงสุดของชีวิตแล้ว

“เรื่องแค่นี้น่ะเหรอที่นายกลัว มีคนมากมายที่ไม่มีหนทางข้างหน้าให้เดินในชีวิต อย่าได้เลือกหนทางสิ้นคิดแบบนี้” ออโดว์ส่ายหัวกับความคิดอันเหลวไหลของอีกฝ่าย ตัวเขานั้นผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากพอที่จะเคยเห็นขอทานที่อดตายอยู่ข้างถนนหรือคนที่ต้องประสบโชคร้ายเสียจนต้องจบชีวิตของตนเองในที่สุด

กลับกันชายหนุ่มเบื้องหน้าของเขาผู้นี้กลับไม่รู้เลยว่าตนเองนั้นโชคดีเพียงใด

“เรื่องนั้น…” สตีฟไม่อาจเอ่ยสิ่งใดออกมาได้เลย เขานั้นคิดสิ่งใดไม่ออกอีกแล้วเพราะทุกสิ่งต่างก็สับสนวุ่นวายเหมือนดั่งจิตใจอันหนักอึ้งราวกับมีเชือกมากมายผูกกันเป็นปมจนอึดอัดไปหมด

หากเขาไม่ใช่สตีฟ และ หากเขาไม่ใช่สตีเฟ่น เกรซ แล้วเขาจะเป็นใครได้อีก

หากเขาไม่อาจเข้าครัวได้ แล้วเขาจะอยู่ในบ้านหลังนั้นท่ามกลางสายตาเย้ยหยันจากคนที่อยู่รายล้อมได้อย่างไร

ตัวเขาในตอนนี้ไม่อาจเป็น สตีเฟ่น เกรซ ได้จริงๆ

“นายในตอนนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้วนะสตีฟ ตอนที่ฉันเห็นนายในครั้งแรกนายคือไอ้เด็กกำพร้าที่พยายามหาที่ซุกหัวนอนให้กับตัวเองและนายก็ทำสำเร็จ นายมีที่ซุกหัวนอนและตอนนี้นายทำอะไรได้มากมายเพื่อไม่ให้โลกมันโหดร้ายกับคนแบบนาย เพราะฉะนั้นอย่าทำลายโอกาสที่พระเจ้ามอบให้นายเลย” ในอดีตเพราะหวาดกลัวว่าจะถูกทางการจับเข้าบ้านเด็กกำพร้าจึงมาขอพึ่งพิงไม่ใช่หรือ มายามนี้เจ้าหนุ่มเบื้องหน้าของเขากลับหวาดกลัวการที่จะต้องก้าวไปทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เสียอย่างนั้น

หากเป็นผู้อื่นมาพบอีกฝ่ายในสภาพนี้คงจะปล่อยผ่านไป แต่กับเขาที่เคยใช้เวลาอยู่กับเจ้าเด็กมอซอคนนั้น เขาจะมองข้ามความปรารถนาดีที่ตนเองมีให้อีกฝ่ายได้อย่างไร เขาอยากให้อีกฝ่ายมีชีวิตที่ดีไม่ใช่จมปลักอยู่ในครัวเพราะไม่มีโอกาสในชีวิตเหมือนกับหนุ่มสาวคนอื่นๆ

เมื่อโอกาสดีๆ มาอยู่ตรงหน้าแล้วก็ต้องคว้าเอาไว้อย่าได้ปล่อยมือจากมันไปง่ายๆ

“เรื่องนั้นผมคงไม่มีความสามารถหรอกครับ ยินดีที่ได้พบนะครับออโดว์” คำเตือนสติเหล่านั้นของออโดว์ทำให้ใจของเขาเหนื่อยล้า ชายหนุ่มเลือกที่จะเอ่ยลาอีกฝ่ายเช่นนั้นเพื่อที่จะจบบทสนทนาอันน่าอึดอัดนี้

เขาไม่อยากจะให้ใครบอกว่าเขาจะต้องเป็นใครอีกแล้ว

“ยินดีที่ได้พบ” แม้ว่าเขาจะมีหลายสิ่งที่อยากเอ่ยกับอีกฝ่ายแต่ในที่สุดออโดว์ก็ยื่นมือออกไปให้ชายหนุ่มเบื้องหน้าสัมผัส สตีฟมองฝ่ามืออันคุ้นเคยที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นในอดีตเหล่านั้นของอีกฝ่ายแล้วออกแรงเขย่ามันเบาๆ สตีฟส่งยิ้มให้ออโดว์เป็นครั้งสุดท้ายจากนั้นเขาจึงเร่งฝีเท้าเดินไปยังทางออกที่อยู่ไม่ไกล

ในขณะที่เขาหันกายแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็วราวกับต้องการจะหลีกหนีความจริงเหล่านั้น กระดาษที่อยู่ในกระเป๋าก็หล่นลงบนพื้นตลาดเบาๆ ออโดว์มองตามชายหนุ่มที่เดินจากไปก่อนที่เขาจะเดินไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาเพ่งดูสัญลักษณ์ประจำตระกูลที่ประทับอยู่บริเวณมุมฝั่งซ้ายแล้วถอนหายใจออกมายาวๆ

ที่แท้เจ้าเด็กคนนั้นก็ไปทำงานกับเพื่อนรักของเขานี่เอง


เช้าวันต่อมา

ภายในห้องครัวที่พึ่งจะผ่านชั่วโมงอันสุดแสนจะวุ่นวายในช่วงมื้อเช้านั้นพ่อครัวจึงหันมาเอ่ยกับสตีฟว่าเขาจะออกไปเดินเล่นสูดอากาศเสียหน่อยจึงให้ชายหนุ่มอยู่จัดการความเรียบร้อยต่อ เนื่องจากหน้าที่การจัดเก็บครัวนั้นเป็นหน้าที่ของสตีฟอยู่แล้ว ชายหนุ่มจึงพยักหน้าให้กับอีกฝ่ายแล้วจึงหันมาทำความสะอาดเครื่องครัวที่อ้างล้างจาน

หลังจากทำความสะอาดเครื่องครัวเสร็จชายหนุ่มจึงเริ่มทำความสะอาดเคาน์เตอร์ที่สกปรกจากการประกอบมื้อเช้าไปตามหน้าที่ ขณะนั้นเองคนงานที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาก็เดินเข้ามาในครัว พวกเขาเดินมาหยิบขนมปังและหากาแฟกินกันเหมือนดังเช่นทุกเช้า

“ว้าว นายทำมื้อเช้าได้สุดยอดจริงๆ” ชายเจ้าของเส้นผมสีดำหม่นหันมาเอ่ยชมสตีฟแล้วจึงหันไปให้ความสนใจกับขนมปังที่อยู่ในมือของตนเองต่อ

“เดี๋ยวฉันจะทำไข่คนให้ พวกนายอยากได้ไหม” ตั้งแต่มาอยู่ที่บ้านหลังนี้สตีฟได้หน้าที่เพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่างนั่นก็คือการทำอาหารให้คนงานที่บ้านทาน ปกติแล้วหน้าที่นี้ไม่ได้ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนนัก แต่เมื่อทุกคนได้ลิ้มลองอาหารฝีมือของสตีฟพวกเขาก็มักจะแวะเวียนมาที่ห้องครัวอยู่บ่อยครั้งเพื่อให้ชายหนุ่มทำอาหารให้พวกเขาทาน ด้วยเหตุนี้สตีฟจึงกลายเป็นพ่อครัวของพวกเขาไปโดยปริยาย

“ก็ต้องอยากได้อยู่แล้ว ขอบใจมากนะสหาย” หนึ่งในนั้นที่เหน็บเอาหนังสือพิมพ์มาด้วยหันมาเอ่ยกับอีกฝ่ายอย่างเบิกบาน วันนี้เขาคิดไม่ผิดจริงๆ ที่รีบแวะมาตั้งแต่เช้าตรู่ หากมาช้ากว่านี้เกรงว่าอีกฝ่ายคงจะยุ่งง่วนกับการเตรียมมื้อสายเป็นแน่

ระหว่างที่กำลังรอมื้อเช้าจากสตีฟที่ยืนอยู่หน้าเตานั้น พวกเขาทั้งสามจึงหันมาสนทนากันโดยมีหนึ่งในนั้นสนทนาไปพลางอ่านหนังสือพิมพ์ไปพลาง ในขณะที่เพื่อนทั้งสองสนทนากันอย่างออกรสอยู่นั้น ชายที่อ่านหนังสือพิมพ์อยู่ก็ร้องขึ้นมาขัดจังหวะการสนทนาของพวกเขา

“ไม่น่าเลย” ไม่ว่าเปล่าเขาส่ายหัวไปมาราวกับไม่อยากจะเชื่อเนื้อหาของมัน ในบรรดาชายทั้งสามคนมีเพียงเขาที่มักจะอ่านหนังสือพิมพ์ไปพลางทานมื้อเช้าไปพลาง นั่นเป็นเพราะว่าเขาทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยพ่อบ้านด้วยเหตุนี้ทักษะพื้นฐานดังเช่นการอ่านและการเขียนจึงเป็นทักษะที่เขาจำเป็นจะต้องมีติดตัวเอาไว้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงมักจะขัดเกลาทักษะเหล่านั้นบ่อยๆ ด้วยการอ่านหนังสือพิมพ์ในทุกเช้า

“อะไรเหรอ” ชายอีกคนหันมาเอ่ยกับอีกฝ่ายเมื่อพบว่าเพื่อนของตนนั้นมีสีหน้าพิลึกพิลั่นน่าขบขันราวกับว่าอีกฝ่ายตกใจเสียจนเสียสติ ก็ไม่นับว่าเขากล่าวเกินจริงเลยแม้แต่น้อย

“นายจำทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเกรซได้ไหม เศรษฐีส้มหล่นคนนั้นน่ะ” ถ้อยคำเหล่านั้นทำให้เศรษฐีส้มหล่นที่อยู่หน้าเตาตัวแข็งทื่อขึ้นมา ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วจึงค่อยๆ ใช้มือที่แข็งทื่อของตนประกอบอาหารต่อไป

“จำได้สิ ไอ้หมอนั่นโชคดีมากเลยนะ ฉันล่ะอยากจะรวยแบบนั้นสักครั้ง” หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นมา สุ้มเสียงที่คล้ายกับอิจฉาและผิดหวังนั้นทำให้ดวงตาของสตีฟสั่นไหวไปมา ชายหนุ่มพยายามทำจิตใจให้สงบแม้ว่าเขาจะหวาดกลัวข่าวคราวของตนเองที่อยู่ในข่าวก็ตาม

“เขาหนีออกจากบ้านล่ะ นี่ไงประกาศหาตัวเขา” สิ้นคำพูดนั้นสตีฟแทบจะทำตะหลิวหล่นลงไปในกระทะ ในหัวของเขากลับมาว้าวุ่นอีกครั้งอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

พวกเขาออกประกาศตามหาตัวเขาแล้ว?!

ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อที่ผุดอยู่บนหน้าผาก เมื่อหน้าผากของเขาสัมผัสกับความเปียกชื้นอันเย็นเยียบของฝ่ามือจึงทำให้ชายหนุ่มทราบว่าในยามนี้ฝ่ามือของเขาก็ชื้นเหงื่อไม่แพ้กัน

“อะไรดลใจให้คนที่รวยขนาดนั้นหนีออกจากบ้านกัน ถ้าเป็นฉัน ฉันคงจะเสพสุขอยู่ที่นั่นไปจนตาย นายรู้หรือเปล่าว่าหมอนั่นแต่งงานแล้วด้วยนะ” ถ้อยคำเหล่านั้นทำให้มือที่จับตะหลิวของเขากระชับแน่นขึ้นกว่าเก่า

หากการเสพสุขมันง่ายเช่นนั้น เขาจะหลบหนีออกมาทำไมกัน คนพวกนี้ต่างก็ไม่ทราบสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหล่านั้น สตีฟเอ่ยกับตนเองในใจด้วยความรู้สึกหนักอึ้งราวกับเชือกที่ผูกกันภายในใจของเขาเหล่านั้นถูกขึงแน่นมากขึ้นเสียจนเขาเริ่มหายใจไม่ออก

“จริงน่ะเหรอ” พวกเขาทั้งสามต่างไม่ทราบว่าบทสนทนาของพวกเขานั้นเอ่ยถึงคนที่อยู่ใกล้ตัว ด้วยเหตุนี้พวกเขายังคงให้ความสนใจกับหัวข้อนี้ต่อไป

” ใช่ ที่น่าทึ่งก็คือภรรยาของเขาก็คือคุณวิลเลียม” ผู้ช่วยพ่อบ้านเอ่ยพลางพับหนังสือพิมพ์เก็บในขณะที่เพื่อนของเขาทั้งสองคนนั้นถึงกับตะลึงค้างกับสิ่งที่พวกเขาพึ่งจะทราบกันเมื่อครู่

“ฮะ คุณวิลเลียมคนนั้นน่ะนะ ฉันล่ะไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไอ้หมอนั่นมันจะต้องสิ้นคิดขนาดไหนถึงหนีออกมาแล้วยังทิ้งภรรยาดีๆ แบบนั้นไปได้ง่ายๆ” คนทั้งเมืองนาฟรีย์ต่างก็รู้จักดวงดาวที่อยู่เหนือดาราทั้งมวลผู้นั้น

คุณวิลเลียมผู้นั้นเป็นชายผู้สง่างามที่ใครๆ ต่างก็ปรารถนาที่จะแต่งงานกับเขา

…จะมีคนโง่คนไหนที่ตัดใจทิ้งคนที่ยอดเยี่ยมเช่นนั้นได้กันหนอ ในยามนี้พวกเขาทั้งสามต่างก็ถอนหายใจออกมาพร้อมๆ กันอย่างพร้อมเพรียง

“ให้ตายสิ หมอนั่นทิ้งชีวิตดีๆ แบบนั้นไปทำไมกัน สิ้นคิดชะมัด” มันจะมีคนบ้าที่ไหนที่บ้าพอที่จะทิ้งความมั่งคั่งเหล่านั้นและภรรยาที่เพียบพร้อมเช่นนั้นไปได้ง่ายๆ ชายผมสีดำหม่นอดที่จะก่นด่าเจ้าคนโง่ผู้นั้นไม่ได้

“เอิ่ม ขอโทษนะ นายช่วยไปเอาพริกไทยให้ฉันได้ไหม” สตีฟตัดสินใจหันมาขอความช่วยเหลือจากหนึ่งในสามคนนั้น แม้ในแววตาของเขานั้นจะไม่สั่นไหวแล้วก็ตาม แต่ภายในใจของเขากลับสั่นสะท้านราวกับถูกคนทั้งสามรู้ตัวตนของเขา

ถ้อยคำก่นด่าเหล่านั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขาราวกับว่าการอยู่ ณ ที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ของเขาอีกต่อไป กระนั้นแล้วสตีฟก็ยังตะโกนถามตนเองในใจว่า

มันจะไม่ใช่ที่ของเขาได้อย่างไร ในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นชีวิตของเขาก็อยู่ที่นี่มาโดยตลอด

“ได้สิ” ชายผมสีดำหม่นยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตรแล้วจึงลุกขึ้นมุ่งไปยังห้องเก็บวัตถุดิบที่อยู่ถัดไป

“ให้ตายสิ ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีคนโง่แบบนี้บนโลก นายว่าไหมสตีฟ” ผู้ช่วยพ่อบ้านไม่คิดจะจบสนทนาเกี่ยวกับหัวข้อนี้ง่ายๆ จึงหันมาเอ่ยกับสตีฟโดยไม่รู้ว่าผู้ที่พวกเขาเอ่ยถึงมาตลอดนั้นก็คือชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าเตาผู้นี้

“.....นั่นน่ะสินะ” ในน้ำเสียงของเขานั้นแม้จะไม่มีสิ่งใดผิดปกติแต่กลับแผ่วเบาลงราวกับว่าเขากำลังกล้ำกลืนความรู้สึกอันหนักอึ้งของตนเองลงไป

เขาคงจะโง่เหมือนดังที่ชายทั้งสามคนปรามาสกระมัง

หลังจากนั้นไม่นานสตีฟจึงตัดสินใจออกมาเดินสูดอากาศข้างนอก ชายหนุ่มเดินเตร็ดเตร่ไปตามทางเท้าสีเทาหม่นด้านนอกไปพลางมองทิวทัศน์ของแมกไม้ภายในสวนสาธารณะที่อยู่ไม่ไกลไปพลาง ในยามที่เขาสูดหายใจรับอากาศบริสุทธิ์ของธรรมชาติอันสดชื่นอยู่นั้น สุ้มเสียงอันคุ้นเคยพลันดังขึ้นมาจากเบื้องหลัง

“สตีฟ?” สุ้มเสียงเล็กๆ และสดใสนั้นจะเป็นสุ้มเสียงของใครไปได้อีกนอกจากสตรีที่เขาเคยออกไปเดินเล่นด้วยกันอยู่บ่อยครั้งในอดีต

“เมย์ธ่า” เมื่อเขาหันไปก็พบกับหญิงสาวที่มากับชายหนุ่มอีกคน พวกเขาหันไปกระซิบกันครู่หนึ่ง ก่อนที่ฝ่ายชายจะพยักหน้าทักเขาแล้วเดินห่างออกไปปล่อยให้พวกเขามีเวลาส่วนตัวสนทนากัน

“โอ้ สตีฟ ฉันได้ยินว่านายกลับบ้านเกิดไปแล้วเสียอีก” เธอเอ่ยพลางยกมือขึ้นมาทาบอกด้วยความยินดีที่ได้พบกับชายหนุ่มอีกครั้ง แม้ว่าเธอล้มเลิกความคิดที่จะคบหากับเขาไปแล้วเพราะชายหนุ่มเดินทางกลับบ้านเกิด แต่กระนั้นแล้วเธอก็อดที่จะดีใจที่ได้พบกับเพื่อนเก่าเช่นเขาไม่ได้

“อันที่จริงกลับมาแล้วน่ะ” สตีฟส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้กับเมย์ธ่า ในใจของเขาสับสนวุ่นวายไปหมดเสียจนไม่มีความรู้สึกยินดีในยามที่ได้พบหน้าหญิงสาวที่ในอดีตเกือบจะได้คบหากัน

“อ้อ อย่าโกรธนะ นายก็รู้ว่าเราแค่ออกไปเดินเล่นด้วยกันเท่านั้น” แววตาสันสนของสตีฟนั้นพาให้เมย์ธ่าเข้าใจชายหนุ่มผิดไป เธอเข้าใจว่าที่อีกฝ่ายมี สีหน้าอับจนนั้นเป็นเพราะเธอออกมาเดินเล่นกับผู้ชายคนอื่น

ในอดีตนั้นเมย์ธ่าเองก็อยากจะลองให้โอกาสสตีฟเช่นกัน เธอจึงยอมออกไปเดินเล่นกับเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่ออีกฝ่ายตัดสินใจลาออกแล้วกลับบ้านเกิดอย่างกระทันหันเช่นนั้นโดยไม่ล่ำลากันสักคำ เธอจึงเข้าใจว่าตัวเธอนั้นไม่ได้มีความสลักสำคัญอันใดต่อหัวใจของเขา

เมย์ธ่ายอมรับว่าเธอผิดหวังนิดๆ ที่อีกฝ่ายไม่ได้ชื่นชอบเธอมากพอที่จะให้เธอมีน้ำหนักในใจเขา ในขณะชายอีกคนหนึ่งผู้ที่คอยแอบมองเธอมาตลอดนั้นได้ใช้จังหวะที่สตีฟจากไปนั้นก้าวเข้ามาในชีวิตของเธอ เมย์ธ่าตัดสินใจที่จะเรียนรู้อีกฝ่ายในทันทีเนื่องจากชายผู้นี้มีความมั่นคงและสามารถมอบชีวิตที่ดีพอสำหรับแม่บ้านเช่นเธอได้

“ไม่หรอก ฉันดีใจเสียอีกที่มีคนพาเธอออกมาเดินเล่น” สตีฟไม่เข้าใจความในใจในส่วนนี้ของอีกฝ่าย ถึงแม้เขาจะมีความสับสนภายในใจมากเพียงใด แต่กระนั้นแล้วเขาก็รู้ตัวดีว่าตัวเขาในยามนี้ไม่อาจมีคนรักได้แล้ว

แม้เขาจะสับสนในตนเองแต่สิ่งที่คุณวิลเลียมเคยเอ่ยกับเขานั้น เขายังคงจำได้ขึ้นใจ

เขาจะต้องให้เกียร์ติอีกฝ่ายในฐานะภรรยาตามกฎหมายของเขา ด้วยประการนี้เองจึงทำให้สตีฟไม่อาจมีความสัมพันธ์เช่นนั้นกับใครได้อีก ตัวเขานั้นไร้ซึ่งคุณสมบัตินั้นเพราะคุณวิลเลียมได้นำอิสรภาพในส่วนนั้นของเขาไปแล้ว

เมื่อทุกสิ่งดำเนินมาถึงทางตัน เขาจะมีสิทธิ์อันใดที่จะหึงหวงเมย์ธ่า ชายหนุ่มจำต้องปล่อยเธอไปตามทางของเธอ เขาหวังว่าเธอจะพบคนดีและสามารถมอบความรักให้เธอได้อย่างเต็มหัวใจเพียงเท่านั้น

“ก็นะ เขาดีไม่น้อยไปกว่าเธอเลยแล้วก็เป็นผู้ช่วยพ่อบ้านด้วยนะ” เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายดีขึ้น เธอจึงทราบว่าชายหนุ่มไม่ได้กลัดกลุ้มอีกแล้ว เธอเลยเอ่ยกับอีกฝ่ายไปตามตรง เธอไม่ได้กำลังจะเอ่ยว่าสตีฟนั้นต่ำต้อยไปกว่าหนุ่มคนใหม่ เธอเพียงแค่กำลังจะสื่อว่าเธอให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ในครานี้มากเพียงใด

หากเป็นในอดีตที่ทั้งสองคนเข้ามาหาเธอพร้อมๆ กัน เธอคงจะตัดสินใจยากมากเพราะชายทั้งสองนั้นต่างก็เป็นชายหนุ่มที่ดีด้วยกันทั้งคู่ แต่เมื่อสตีฟไปแล้วและมีชายอีกคนที่ดีไม่แพ้กันเข้ามาเธอจึงตัดสินใจมอบโอกาสให้กับเขา

“อย่าให้เขาคลาดสายตารู้ไหม” สตีฟพ่นหัวเราะออกมาเล็กน้อย ได้ยินอีกฝ่ายบอกกับเขาเช่นนี้เขาก็เบาใจ เขาเชื่อว่าหากทั้งคู่ไปกันได้ดีเมย์ธ่าคงจะมีชีวิตแต่งงานที่ดีแน่นอน

“แน่นอนอยู่แล้ว แต่นายไม่โกรธกันใช่ไหม” เธออดที่จะถามอีกฝ่ายไม่ได้ เธอกลัวเหลือเกินว่าสตีฟจะยังคงติดใจเรื่องนี้เสียจนพาลโกรธเธอไปชั่วชีวิต

ถึงแม้พวกเขาจะเป็นคนรักกันไม่ได้ แต่เธอก็คาดหวังว่าเธอกับเขาจะยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้

“ไม่หรอก” เขาจะเอาอะไรไปโกรธเคืองอีกฝ่ายกันหนอ สตีฟไม่ใช่คนหน้าไม่อายเช่นนั้น ตัวเขารู้ดีว่าเขาอยู่จุดใดถึงแม้ว่าเขาจะยังคงสับสนในตนเองก็ตาม

“ถ้าอย่างนั้น ฉันก็สบายใจ ยินดีที่ได้พบนะสตีฟ” เมื่อได้ยินคำยืนยันจากปากของอีกฝ่ายแล้วเมย์ธ่าจึงเบาใจ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเธอก็สามารถเริ่มต้นใหม่กับผู้ช่วยพ่อบ้านโดยไม่ต้องเป็นกังวลกับสิ่งใดอีก

เมื่อโล่งใจแล้วเมธาร์จึงตัดสินใจบอกลาชายหนุ่มผู้ที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยใช้เวลาในช่วงเวลาพักออกมาเดินเล่นข้างนอกด้วยกันด้วยสุ้มเสียงอันสดใสมากกว่าในคราแรกอย่างเห็นได้ชัด

“ยินดีที่ได้พบเมย์ธ่า” สตีฟโบกมือลาหญิงสาวที่ในอดีตเขาเคยหลงนึกไปว่าจะได้ลงเอยกัน ชายหนุ่มเฝ้ามองเธอเดินจากเขาไปยังตำแหน่งของชายอีกคนที่นั่งรอพวกเขาอยู่ที่ม้านั่งข้างริมทางเท้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกดีๆ ที่มีให้เธอ

สุดท้ายแล้วเธอก็ยังคงเป็นเพื่อนที่เขาพูดคุยด้วยแล้วสบายใจที่สุดอยู่ดี

สตีฟใช้เวลาหลังจากนั้นไปกับการเดินเตร่อยู่ในสวนสาธารณะ จนกระทั่งใกล้ถึงเวลาเตรียมมื้อสายเขาจึงเดินกลับบ้านไปด้วยจิตใจอันปลอดโปร่งที่ได้ซึมซับกับอากาศบริสุทธิ์ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบและร่มรื่นของสวนสาธารณะ

ทันทีที่ชายหนุ่มเดินกลับเข้ามาภายในบ้านชายหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีดำหม่นจึงเดินมาทักเขาด้วยใบหน้าที่เป็นมิตร ขณะที่มือของเขานั้นยังคงถือไม้กวาดทางมะพร้าวสำหรับใช้ในการกวาดทางเท้าหน้าแมนชั่น

“นายมาพอดีเลย มีคนมารอพบนายอยู่ที่ห้องทำงานของพ่อบ้านน่ะ” ในยามที่สุ้มเสียงของอีกฝ่ายดังเข้ามาในโสตประสาทของเขานั้น จิตใจอันปลอดโปร่งของสตีฟก็พลันหนักอึ้งขึ้นมาทันที ชายหนุ่มขานรับอีกฝ่ายไปโดยที่ในยามนี้หูทั้งสองข้างของเขายังคงมีประโยคเมื่อครู่ดังก้องอยู่ในนั้น

สตีฟไม่อาจนึกสิ่งใดได้อีกนอกจากคำว่า แย่แล้ว! ที่ดังก้องอยู่ภายในหัว ชายหนุ่มพยายามสูดหายใจเข้าอย่างยากลำบาก ในขณะที่สองเท้าของเขานั้นก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ตรงไปยังห้องทำงานของหัวหน้าพ่อบ้านราวกับว่ามีตุ้มเหล็กอันหนักอึ้งคอยถ่วงเท้าทั้งสองของเขาเอาไว้

“ไงสตีฟ นายก็ไม่บอกว่านายมีญาติเป็นถึงพ่อบ้าน” ผู้ช่วยพ่อบ้านที่มาฝากท้องกับเขาในช่วงเช้านั้นเดินสวนมาพลางเอ่ยหยอกเขาไปเช่นนั้น แม้ว่าเขาจะคงทึ่งที่อีกฝ่ายมีญาติเป็นถึงพ่อบ้านก็ตาม

หากมีญาติเป็นถึงพ่อบ้านก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะลำบากลำบนมาทำงานที่นี่ทำไมกัน มุมมองที่เขามองสตีฟนั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเพียงแค่มองอย่างง่ายๆ ว่าด้วยความสามารถของสตีฟหากอีกฝ่ายอยากจะทำงานเป็นพ่อครัวก็ใช่ว่าจะเป็นไม่ได้ขอแค่เพียงให้ญาติผู้นั้นเขียนจดหมายแนะนำให้สักฉบับสตีฟจะต้องได้เป็นพ่อครัวแน่นอน

“นายมาแล้ว เข้าไปสิ เขาขอคุยกับนายลำพังเหมือนมีเรื่องสำคัญจะบอกนาย” หัวหน้าพ่อบ้านเดินออกมาจากห้องทำงานแล้วเอ่ยกับชายหนุ่มด้วยสุ้มเสียงที่มักจะเอ่ยกับคนงานภายในบ้าน ทำให้สตีฟค่อนข้างแน่ใจว่าพ่อบ้านตระกูลเกรซคงไม่ได้บอกตัวตนที่แท้จริงของเขากับคนในบ้านหลังนี้

“ขอบคุณครับคุณพ่อบ้าน” สตีฟเอ่ยกับอีกฝ่ายอย่างสุภาพแล้วจึงค่อยๆ จับลูกบิดประตูด้วยความรู้สึกอับจนหนทาง เขาอยากจะหนีจากตรงนี้ไปให้ไกลแต่ในความเป็นจริงแล้วเขาตัวเขากลับยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ ขาของเขาไม่อาจก้าวถอยหลังได้

....แม้ว่าเขาจะหวาดหวั่นต่อก้าวต่อไปมากเพียงใด

ผู้คนต่างก็บอกว่าตัวเขานั้นโง่เขลา แต่อันที่จริงแล้วตัวเขากลับต้องสู้กับความกลัวในใจที่ทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ เสียจนมันแทบจะกลืนกินตัวตนของเขาไป

ความหวาดกลัวเหล่านั้นทำให้เขาตัดสินใจทำสิ่งที่คนเหล่านั้นบอกว่ามันสิ้นคิด

ทว่าเวลาก็ไม่อาจหยุดนิ่งเพียงเพราะตัวเขายังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับพ่อบ้านชราผู้นั้น ทำให้สตีฟจำต้องสะกดกลั้นความรู้สึกด้านลบที่พรั่งพรูอยู่ในใจเหล่านั้น

แม้ว่าเขาจะหวาดกลัวมากเพียงใด แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องผลักประตูบานนั้นแล้วเดินเข้าไปให้ห้องอยู่ดี

“ได้เวลากลับบ้านแล้วครับคุณสตีเฟ่น”

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว