ไม่อาจเอื้อม มีebook

บทนำ

ท่ามกลางสายฝนที่พัดโหมกระหน่ำลงมาปะทะกับหลังคาสีเข้มของคฤหาสน์หลังใหญ่ประจำตระกูลเกรซนั้นไม่อาจบดบังแสงสว่างที่ลอดมาจากห้องชั้นบนแต่อย่างใด

ณ ชั้นบนสุดของคฤหาสน์ภายในห้องนอนสีเขียวเข้มอันโอ่อ่านั้นแม้ว่าจะมีแสงสว่างจากตะเกียงอันสว่างสไวที่สาดส่องอยู่ทั่วทั้งห้องแต่กระนั้นแล้วกลับไม่อาจทำลายบรรยากาศอึมครึมภายในห้องเลยแม้แต่น้อย

บนเตียงนอนหลังใหญ่อันหรูหรานั้นมีร่างของชายวัยสี่สิบปลายๆ นอนอยู่ ใบหน้าของชายผู้นั้นซีดเซียวและร่างกายของเขาสั่นเทาเพราะอาการเจ็บป่วยแต่กระนั้นแล้วแววตาของเขากลับเปล่งประกายราวกับตนได้รับพรอันยิ่งใหญ่จากพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ปาน

"พบเขาแล้วเหรอ" เขาเอ่ยด้วยสุ้มเสียงที่ไร้เรี่ยวแรงแม้ว่าในยามนี้หัวใจของเขาจะปิติยินดีมากเพียงใดก็ตาม

…ในที่สุดเขาก็หาลูกชายที่พลัดพรากไปกว่ายี่สิบปีพบแล้ว

เขารู้ดีว่าร่างกายไม่อาจทานทนต่อโรคร้ายไปจนถึงเวลาเที่ยงคืนของวันนี้ได้ ตัวเขานั้นนอนติดเตียงมากว่าสามเดือนด้วยโรคเนื้องอกที่ไม่อาจรักษาให้หายขาด เขาพยายามอย่างถึงที่สุดแล้วที่จะให้คณะแพทย์ที่ดีที่สุดยื้อชีวิตของเขาเอาไว้ แต่น่าเสียดายที่ในที่สุดการรักษาอันยาวนานกำลังจะจบลงในอีกไม่กี่อึกใจต่อจากนี้

เขารู้ดีว่าคงไม่ได้พบหน้าลูกชายคนเดียวของตนเป็นแน่ แต่ความยินดีที่อย่างน้อยลูกชายของเขาสามารถกลับมาสู่บ้านยังคงเบ่งบานอยู่ในหัวใจที่เหนื่อยล้าจากการแบกรับความเจ็บปวดภายนอกเหล่านั้น

"ครับท่าน ตอนนี้คุณชายอยู่ที่บ้านตระกูลเมลล็อตครับ ส่วนที่ว่าเขาเป็นอยู่อย่างไรนั้น" ทนายประจำตระกูลไม่รู้ว่าตนควรจะเอ่ยเช่นไรเพื่อไม่ให้ถ้อยคำเหล่านั้นของตนส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้ป่วยระยะสุดท้ายบนเตียงนอนอันหรูหรา

"ไม่เป็นไร แค่นี้ก็ดีแล้วนายจัดการตามจดหมายฉบับนั้นก็พอ" เพียงแค่รับรู้ว่าลูกชายเพียงคนเดียวของเขายังมีชีวิตอยู่ก็เพียงพอแล้ว

ขอเพียงแค่เนลสันต์จัดการทุกอย่างตามจดหมายเขาก็มั่นใจได้ว่าคู่ครองของลูกชายจะต้องไม่ได้มาจากตระกูลที่หวังเพียงทรัพย์สินของตระกูลเกรซเป็นแน่

แม้ว่าเขาจะไม่เคยทำสิ่งใดให้ลูกเลยแต่อย่างน้อยเขาก็ขอเป็นผู้มอบคู่ชีวิตให้กับลูกชาย ในฐานะของพ่อคนหนึ่งขอเพียงแค่ได้ลูกสะใภ้ที่ไม่ได้เข้าหาลูกชายเพียงเพราะเห็นแก่ทรัพย์สินก็ทำให้เขาตายตาหลับแล้ว

ตัวเขาในคราแรกเฝ้าหวังว่าจะได้พบหน้าลูกชาย เขาอยากจะรู้ว่าลูกมีหน้าตาเช่นไรและจะมีนิสัยใจคอแบบไหน แต่มายามนี้…ยามที่โรคร้ายรุมเร้าเขาจนไม่อาจไปเสาะแสดงหาอีกฝ่ายจากหนใดได้อีกนอกจากนอนอยู่บนเตียงหนาวเหน็บหลังนี้ตามลำพัง

สิ่งที่เขาเฝ้าฝันมาตลอดยี่สิบปีกำลังจะจมดิ่งไปพร้อมกับลมหายใจที่ใกล้จะหมดลง

"ผมจะพาเขามาให้เร็วที่สุด" ทนายประจำตระกูลกลัวว่าอีกไม่นานชายผู้มีวิสัยทัศน์จะไม่หลงเหลือลมหายใจอีกต่อไป เพียงแค่สบตากับอีกฝ่ายเขาก็ทราบได้ในทันทีว่าภายในดวงตาสีน้ำตาลหม่นอันเปล่งประกายที่แสนจะว่างเปล่านั้นมีจิตวิญญาณที่กำลังจะมอดดับไปตลอดกาล

เขารู้ว่าคุณเกรซกำลังจะหมดลมหายใจแต่เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะจากไปในอีกไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น

"หาเขาพบ….เป็นข่าวดีที่สุดแล้วล่ะ" เขาไม่อาจไขว่คว้าความหวังเหล่านั้นได้อีกแล้ว ต่อจากนี้ขอเพียงแค่ลูกได้มีชีวิตที่ดีก็เพียงพอสำหรับเขา

เพียงแค่ได้เอ่ยประโยคนั้นอย่างยินดีจากนั้นความรู้สึกต่างๆ ของเขาก็ค่อยๆ ด้านชา ภาพเบื้องหน้าพร่ามัวไม่หลงเหลือใบหน้าของทนายประตระกูลที่กำลังสนทนากับเขาอีกต่อไป

เบื้องหน้าของเขาในยามนี้เปลี่ยนเป็นแสงสว่างอันเจิดจ้าที่ค่อยๆ ก่อตัวกันเป็นร่างร่างหนึ่งกลางลำแสงอันเจิดจ้าที่สุดแสนจะพร่ามัวนั้น และแล้วร่างของหญิงสาวที่เขารักสุดหัวใจก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า เธอยื่นฝ่ามืออันงดงามราวกับเทวีบนสรวงสวรรค์มาหาเขาเฝ้ารอเพียงให้เขาตอบตกลง

เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยอันใดเพียงแค่คลี่ยิ้มออกมาบางๆ หลังจากนั้นทุกสิ่งก็พร่าเบลอและดับลงในที่สุด

"คุณเกรซ" เมื่อพบว่าชายที่นอนอยู่บนเตียงแน่นิ่งไปแล้วทนายจึงพยายามเรียกสติของเจ้านายคืนมา แต่น่าเสียดายในยามนี้ลมหายใจของชายบนเตียงนั้นได้หมดลงแล้ว

คณะแพทย์ที่ยืนอยู่ใกล้กันนั้นรีบเข้าไปดูอาการของผู้ป่วยเมื่อพบว่าคนไข้ของพวกเขาได้จากไปแล้วหัวหน้าคณะแพทย์จึงหันมาส่ายหน้าน้อยๆ ให้กับทนายประจำตระกูล

"เขาไปแล้ว" หัวหน้าคณะแพทย์เอ่ยกับทนายความด้วยน้ำเสียงอันสงบนิ่งเหมือนกับใบหน้าของเขา

ทนายความประจำตระกูลหันมาพยักหน้าแล้วจึงเดินออกไปจากห้องนอนไปด้วยใบหน้าอันโศกเศร้าปล่อยให้พ่อบ้านและคณะแพทย์จัดการเรื่องที่เหลือต่อไป

ในยามนี้หน้าที่ของเขามีเพียงอย่างเดียวก็คือพาทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเกรซกลับมายังบ้านของเขาตามความต้องการก่อนจากไปของคุณเกรซผู้ล่วงลับ


บ้านตระกูลเมลล็อต

หนึ่งในแมนชั่นหลังใหญ่ที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นของตระกูลผู้ลากมากดีในแวดวงชั้นสูงของเมืองนาฟรี่ย์ ในแวดวงชั้นสูงนั้นย่อมนับตระกูลเมลล็อตอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน

ณ ชั้นล่างสุดของแมนชั่นหรือก็คือชั้นใต้ดินของบ้านตระกูลเมลล็อตคือที่ทำงานของเหล่าคนงาน ในยามนี้ภายในห้องครัวค่อนข้างอลม่านเนื่องจากเป็นเวลาประกอบมื้อเช้าให้กับมาดามเมลล็อตและลูกชายของเธอ

"เราทำเสร็จแล้ว อย่าลืมนะว่าต้องเสิร์ฟตอนยังอุ่น" ชายหนุ่มหน้าคมนามว่าสตีฟเอ่ยกับผู้ช่วยพ่อบ้านด้วยสุ้มเสียงที่จริงจังแต่กระนั้นแล้วกลับเป็นมิตรอยู่ไม่น้อย

"ได้ๆ เสิร์ฟตอนยังร้อน" พ่อบ้านหนุ่มน้อยพยักหน้างึกงักแล้วจึงรีบจัดวางอาหารใส่บนถาดเงินอันหรูหราขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว

"เอ็ดก้าคงต้องทำเผื่อเมลเบิร์ตไปอีกพักใหญ่ จนกว่าเมลเบิร์ตจะหายดีนายก็ย้ำเขาบ่อยๆ ล่ะ" ออโดว์เชฟประจำตระกูลหันมาเอ่ยกับผู้ช่วยหน้าคมของตนอย่างขบขัน พลางเริ่มลงมือจัดแจงกับเครื่องครัวที่สกปรกของตนโดยมีสตีฟคอยช่วย

"เขาก็แค่ตื่นเต้นมากเกินไปเท่านั้น" สตีฟเอ่ยพลางนำเครื่องครัวไปที่อ่างแล้วลงมือล้างเครื่องครัวเหล่านั้นด้วยความเคยชิน

"ถูกของนายเพราะฉะนั้นเราจะต้องคอยเตือนเขา" แม่บ้านหันมายิ้มแล้วจึงเริ่มจัดโต๊ะอาหารเตรียมทานมื้อเช้าหลังจากวุ่นวายกับเจ้านายมาตั้งแต่เช้าตรู่ตามกิจวัตรของเธอ

"ว่าแต่สตีฟ ฉันเห็นนายกับเมย์ธ่า พวกเธอสองคนยังไงกันคบกันแล้วเหรอ" ออโดว์หันมาถามผู้ช่วยพ่อครัวของตน เขามองออกว่าอีกไม่นานเจ้าหนุ่มคนนี้จะต้องหน้าตาหล่อเหลามากเสียจนผู้ชายประเภทนั้นกับสาวๆ จะต้องวิ่งมาจีบชายหนุ่มเป็นแน่

"ยังครับ" ...แต่ก็ใกล้แล้ว

สตีฟหันมายิ้มบางๆ ให้กับออโดว์ที่ไปนั่งพักอยู่ที่โต๊ะอาหาร เขาชวนเมย์ธาแม่บ้านของบ้านข้างๆ ออกไปเที่ยวเล่นด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง ด้วยเวลาที่พวกเขาใช้ร่วมกันทำให้เขาพบว่าเขาเข้ากับเธอได้ดีอย่างไม่น่าเหลือเชื่อ

"นายต้องไม่เชื่อแน่ว่าฉันเจอใครมาเมื่อวาน" เดซี่แม่บ้านสาวผมบลร์นเดินลงมาจากบันไดพร้อมตะกร้าดอกไม้ที่ภายในมีแต่ดอกไม้เหี่ยวๆ เหล่านั้น

ดูเหมือนว่าเธอจะเปลี่ยนดอกไม้ในห้องรับแขกเสร็จแล้ว

"เธอไปเจอหนุ่มหล่อที่ไหนมาล่ะ" ออโดว์ถามหลานสาวสุดที่รักของตนพลางหยิบผ้าเช็ดโต๊ะใกล้ๆ มาเช็ดโต๊ะให้สะอาดอีกรอบ

"คุณโรเบิร์ตกับคุณวิลเลียม" ในยามที่เอ่ยถึงนามของคนหลังนั้นดวงตาของเดซี่เป็นประกายขึ้นมา

ใครๆ ต่างก็รู้จัก วิลเลียม ฟลอรัลน์ ชายรูปงามแห่งยุคเขาเป็นจุดสนใจของคนในทุกแวดวงสังคม ไม่ว่าจะเป็นผู้ดีจนไปถึงคนไร้บ้านตามตรอกต่างก็รู้จักเขา

เรื่องที่ว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษที่เพียบพร้อมที่สุดเท่าที่เมืองนาฟรีย์เคยมีมานั้นย่อมเป็นเรื่องที่กทุคนต่างก็กล่าวถึง ทุกครั้งที่เขาเข้าร่วมงานเลี้ยงการกุศลงานใดก็ตามต่างก็มีเสียงซุบซิบฮือฮาถึงความสง่างามของเขาอยู่เสมอ

"หืม พ่อหนุ่มผู้สูงศักดิ์คนนั้นน่ะเหรอ" สตีฟหันมาเอ่ยกับเดซี่เสียงสูง สำหรับเขาแล้วเรื่องของผู้ดีชั้นบนกับตัวเขานั้นช่างห่างไกลกันเหลือเกิน หากจะให้เปรียบก็คงจะเหมือนอยู่กันคนละโลกกระมัง

ไม่ใช่ว่าเขาต่อต้านผู้มีอันจะกินเหล่านั้นเพียงแค่ว่าเขารู้ว่าตนอยู่จุดใดของสังคมเท่านั้นเอง

"ใช่ จริงๆ แล้วฉันไม่ได้เจอเขาบนถนนหรอก ฉันเห็นพวกเขาดื่มกาแฟด้วยกันในคาเฟ่ใกล้ๆ" เดซี่เดินไปยังอ่างล้างจานแล้วหยิบแก้วเล็กใบหนึ่งมารองน้ำจากก็อก

"พวกเขาคบหากันเหรอ" สตีฟหันมาหยิบผ้าแล้วเช็ดมือสองสามทีเมื่อพบว่ามือแห้งแล้วเขาจึงเดินมานั่งใกล้ๆ กับออโดว์

"ฉันก็ไม่รู้ แต่ว่าใครๆ ต่างก็อยากแต่งงานกับคุณวิลเลียมทั้งนั้น" หากจะให้เธอเดาคุณโรเบิร์ตคนนั้นก็คงจะไม่ต่างกัน คุณวิลเลียมมีชื่อเสียงที่ดีงามใครจะไม่อยากได้เขาเป็นแม่ของลูกกัน

"เขาอาจจะดื่มกาแฟด้วยกันเฉยๆ ก็ได้นะ" บางทีการนัดพบกันของชายทั้งสองอาจเป็นเพียงการนัดดื่มกาแฟยามเช้าเพียงเท่านั้น อีกทั้งพวกสุภาพบุรุษผู้มีอันจะกินเหล่านั้นก็ดื่มกาแฟยามสายด้วยกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วจึงไม่นับว่าเป็นเรื่องเสียหายอันใดสำหรับชายหนุ่มชื่อดังทั้งสองคน

ข้อสรุปของสตีฟกลับไม่มีผู้ใดเห็นด้วยนัก สำหรับเดซี่แล้วเธอมองว่าเพื่อนร่วมบ้านของเธอด่วนสรุปมากเกินไป ชายหนุ่มทั้งสองคนดื่มกาแฟที่คาเฟ่ด้วยกันสองต่อสอง พวกเขาจะมีความสัมพันธ์เช่นไรได้อีกนอกจากกำลังออกเดทกัน

"ใครเขาจะดื่มกาแฟยามบ่ายกันล่ะสตีฟ ฉันว่าพวกเขาคบกันแน่ๆ" เธอส่ายหัวเบาๆ กับความไร้เดียงสาของผู้ช่วยพ่อครัวเพียงคนเดียวภายในห้องนี้ เธอรู้ดีว่าสตีฟไม่ใช่คนซับซ้อนดังนั้นการนัดพบกันเช่นนี้ชายหนุ่มจึงไม่เข้าใจ

คนอะไรหน้าตาก็ดีเสียอย่างเดียวที่บื้อไปหน่อยเธอบ่นกับตัวเองในใจ

"ไหนทีแรกเธอว่าไม่แน่ใจ" ออโดว์ลุกขึ้นไปเคี่ยวซุปสำหรับมื้อเที่ยงที่เขาเตรียมเอาไว้ตั้งแต่ทำมื้อเช้าเสร็จต่อ ขณะที่สมาธิของเขาก็ให้ความสนใจกับเรื่องซุบซิบนี้ด้วยเช่นกัน

"ก็ดูเหมือนพวกเขาจะสนิทสนมกัน" เดซี่พยายามนึกถึงภาพที่อยู่ในความทรงจำเมื่อวาน แม้ว่าจะดูไม่สนิทสนมกันมากนักแต่ท่าทีของพวกเขาก็ดูไม่ใช่เพื่อนธรรมดา

"อันที่จริง ดูเหมือนว่าคุณวิลเลียมจะเลือกคุณโรเบิร์ตนะ" เมื่อนึกถึงเรื่องที่เมย์ธาเล่าให้ฟังเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าช่วงนี้มีข่าวลือเกี่ยวกับการควงกันของคุณชายผู้สูงศักดิ์ทั้งสอง พาให้สตีฟเล่าสิ่งที่ตนได้ยินมาจากเมย์ธาให้ทุกคนฟังไปตามน้ำ

"อะไรกันสตีฟนายรู้อยู่แล้วทำไมไม่เล่าให้ฉันฟังบ้างเลย" เดซี่กลั้วหัวเราะออกมา การที่สตีฟจะรู้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะบ้านที่เมย์ธ่าทำงานอยู่นั้นค่อนข้างจะคุ้นเคยกับบ้านตระกูลฟลอรัลน์

ไม่รู้ว่ายามนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะก้าวหน้าไปเช่นไรบ้าง หากเป็นในอดีตก่อนที่เธอจะออกเดทกับเด็กส่งไปรษณีย์เธอคงจะอิจฉาเมย์ธาที่ได้ออกเดทกับพ่อหนุ่มหน้าคมผู้นี้

"ไม่มีใครชอบเรื่องซุบซิบหรอกเดซี่ เล่ามาสิว่าเมย์ธ่าเล่าอะไรให้ฟัง" ออโดว์ปิดฝาหม้อลงแล้วหันมาเอ่ยกับหลานสาวด้วยความสนอกสนใจ

แม้เขาจะเอ่ยไปเช่นนั้นแต่อันที่จริงแล้วเขาชอบเรื่องบันเทิงเช่นนี้อยู่เหมือนกัน

"เมย์ธ่าแค่เล่าให้ผมฟังว่าพวกเขาเดทกันได้ระยะหนึ่งแล้ว เธอบอกว่าใครๆ ก็รู้กัน" เมย์ธ่าไม่ได้เล่าให้เขาฟังละเอียดนัก เธอบอกกับเขาเพียงว่าระยะนี้พวกเขาออกเดทกันค่อนข้างบ่อยเนื่องจากทุกสัปดาห์ที่เธอออกไปซื้อของเป็นเพื่อนคุณหนูข้างบ้านนั้นเธอมักจะเห็นชายหนุ่มทั้งสองไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่บ่อยครั้งในสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา

เธอบอกว่าบางทีทั้งสองอาจตกลงปลงใจกันแล้ว

"อืม ถ้าพูดถึงข่าวลือก็ใช่" คุณป้าแม่บ้านหันมาเอ่ยกับพวกเขาทั้งสองหลังจากให้ความสนใจกับการทำความสะอาดแก้วมาสักระยะหนึ่งแล้ว แม้ว่าเธอจะทำเป็นไม่สนใจว่าพวกเขาสนทนาอันใดกันก็ตาม แต่จริงๆ แล้วเธอฟังพวกเขาสนทนากันมาโดยตลอด

"คุณก็รู้เหรอ" อันที่จริงแล้วออโดว์ไม่แปลกใจนักที่ป้าแม่บ้านจะรู้เรื่องนี้เนื่องจากเธอได้รับความไว้วางใจจากมาดามชั้นบนมากพอสมควร

"มันเป็นแค่ข่าวซุบซิบของมาดามชั้นบน ฉันก็เลยไม่อยากเล่า" ไม่ใช่ว่าเธออยากจะปิดบังเพียงแต่ว่าเรื่องของผู้ลากมากดีเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอันใดสำหรับเธอเพียงเท่านั้น

"แบบนี้พวกเขาคงจะเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบมากแน่ๆ" เดซี่ประสานฝ่ามือเข้าด้วยกันในขณะที่ภายในหัวของเธอกำลังนึกถึงภาพงานแต่งงานอันหรูหราของชายหนุ่มทั้งสองอย่างเพ้อฝัน

"เอ่อ สตีฟ" เอ็ดก้าเดินลงมาหยุดอยู่ที่ตรงกลางบันไดแล้วเอ่ยเรียกสตีฟที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่พวกเขาใช้นั่งกันประจำ

"มีอะไรเหรอเอ็ดก้า" สตีฟเงยหน้าขึ้นไปถามผู้ช่วยพ่อบ้านที่อายุน้อยกว่าเขาหนึ่งปีด้วยความรู้สึกประหลากใจที่อยู่ๆ อีกฝ่ายก็เรียกเขาในระหว่างการดูแลมื้อเช้าของมาดามเมลล็อต

เอ็ดก้าคงจะไม่ได้ทำสิ่งใดผิดพลาดจนทำให้คุณชายทั้งสองไม่พอใจกระมัง สตีฟภาวนาอยู่ในใจ

"ที่ชั้นบนมีคนมาหานายน่ะ" เมื่อนึกถึงชายผู้ทรงภูมิที่มาเยือนมาดามอย่างกระทันหันอีกทั้งพวกเขายังสนทนากันอยู่นาน มาดามจึงให้เขาตามตัวสตีฟขึ้นไปพบ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องใดคงจะต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมากพอที่จะทำให้มาดามบอกให้ลูกๆ ทานมื้อเช้ากันไปก่อนโดยไม่ต้องรอเธอเป็นแน่

"เขาเป็นใครเหรอ" ปกติแล้วไม่ค่อยมีแขกมาพบคนงานในบ้านจากประตูชั้นบนมากนัก นอกจากจะมีข่าวร้ายจากครอบครัวที่พวกเขาจากมาเพียงเท่านั้น

อีกทั้งสตีฟเองก็เป็นเด็กกำพร้าที่สูญเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเด็กดังนั้นเขาจึงประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่มีคนมาพบเขาเช่นนี้

"ไม่รู้เหมือนกัน มาดามแค่บอกให้ฉันมาเรียกนาย" เอ็ดก้าไม่รู้รายละเอียดมากนัก เขารู้เพียงว่ามาดามให้เขามาเรียกสตีฟขึ้นไป ส่วนเป็นเพราะเหตุใดจึงต้องตามตัวสตีฟขึ้นไปนั้นตัวเขาก็ไม่อาจทราบได้เช่นกัน

บางทีอาจเป็นเรื่องของครอบครัวที่พลัดหลงกันไปเมื่อนานมาแล้วก็เป็นได้

"ขอบใจมากเอ็ดก้า" สตีฟก้าวเท้าขึ้นบันไดตามเอ็ดก้าไปยังชั้นบนอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตาอันฉงนของทุกคนที่อยู่ภายในห้องชั้นล่าง

ชายหนุ่มเดินตามเอ็ดก้าไปตามโถงทางเดินอันหรูหราและเก่าแก่อันเป็นเขตที่อยู่อาศัยของตระกูลเมลล็อต ไม่นานเอ็ดก้าก็หยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องรับแขกส่วนหน้าจากนั้นเขาก็เคาะประตูสามทีแล้วค่อยๆ ดึงบานประตูออกพร้อมส่งสายตาให้สตีฟเดินเข้าไป ในยามที่บานประตูถูกแง้มเปิดนั้นมีเสียงสนทนาของคนทั้งสองดังแว่วออกมา

"มันเป็นเรื่องที่สะเทือนใจมากจริงๆ" พวกเขาไม่รู้ว่าทั้งสองพูดคุยอันใดกัน พวกเขาทราบเพียงว่าคงจะมีข่าวร้ายอันใดสักอย่างที่ทำให้มาดามเมลล็อตสะเทือนใจ

ก้วยความว่ากลัวจะเป็นข่าวร้ายเอ็ดก้าจึงตบไหล่สตีฟหนึ่งที ขณะที่สตีฟส่งสายขอบคุณในน้ำใจของอีกฝ่ายแล้วก้าวเท้าเข้าไปในห้องโดยมีเสียงปิดประตูอันแผ่วเบาดังไล่หลังมา

ในยามที่ชายหนุ่มเดินเข้ามาภายในห้องนั้นทำให้ทั้งสองหันมามองผู้มาใหม่ด้วยสายตาอันยินดีอย่างเปิดเผย โดยเฉพาะสายตาอันยินดีของทนายความประจำตระกูลเกรซ ใบหน้าของสตีฟนั้นคมคายเหมือนกับคุณเกรซผู้ล่วงลับมากอีกทั้งยังมีเรือนผมสีดำสนิทและดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหมือนกับเฮเซลนัทที่เหมือนกับคุณผู้หญิงด้วยเช่นกัน

หากคุณเฟรเดอริคส์ได้เห็นว่าลูกชายเหมือนเขามากเพียงใดคงจะดีไม่น้อยเลย

อา…พวกเขาใช้เวลาไปกับการตามหาคุณชายผู้สูญหายผู้นี้เนิ่นนานเหลือเกิน

"คนที่คุณตามหา อยู่ตรงนี้แล้ว" มาดามเมลล็อตส่งยิ้มให้กับทนายความประจำตระกูลเกรซ เธอผายมือให้ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้นวมที่อยู่ระหว่างกลางระหว่างเธอกับคุณทนายความอย่างเป็นกันเอง

สตีฟค่อนข้างตกใจที่ถูกเชิญให้นั่งลงบนเก้าอี้นวมสีม่วงเข้มปักลายงดงามนั้น เขาค่อยๆ โค้งขอบคุณมาดามแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้นอย่างเกรงอกเกรงใจ

"ขอบคุณครับ" ชายหนุ่มเอ่ยพลางทิ้งน้ำหนักตัวลงบนขาทั้งสองข้าง เขากลัวเหลือเกินว่าเศษฝุ่นจากเสื้อผ้าของเขาจะทำให้เก้าอี้ของมาดามเป็นรอย ด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกที่จะไม่หย่อนก้นนั่งลงไปบนเก้าอี้อันงดงามนั้นทั้งหมด

"ผมต้องของคุณที่คุณดูแลเขาเป็นอย่างดี" ด้วยความที่ว่าเขาไม่อยากให้เจ้านายในอนาคตอับอาย คุณทนายความจึงกล่าวของคุณมาดามเมลล็อตเป็นการใหญ่

"แหม จะว่าอย่างนั้นก็คงไม่ได้ แต่ฉันก็ยินดีที่ได้ช่วยนะคะ" เธอปัดมือไปมาคล้ายกับไม่ได้ติดใจอันใด แต่เดิมเธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงใจแคบอยู่แล้วดังนั้นเรื่องการดูแลคนงานภายในบ้านของเธอจึงไม่ได้เคร่งครัดมากนัก

ด้วยการนี้เธอจึงไม่ได้รู้สึกติดค้างอันใดกับว่าที่ผู้นำตระกูลเกรซคนถัดไป

"เอ่อ อะไรเหรอครับ" สตีฟไม่เข้าใจว่าทั้งสองกำลังสนทนาอันใดกัน ชายหนุ่มรู้เพียงว่าสุภาพบุรุษวัยกลางคนท่านนี้คงจะมีข่าวมาแจ้งเขาเป็นแน่

ส่วนเรื่องที่ว่าจะเป็นข่าวอันใดนั้นชายหนุ่มเองก็ไม่ทราบเช่นกัน

"ฉันว่าให้ฉันบอกเขาเถอะค่ะ" เมื่อเห็นว่าผู้ช่วยพ่อครัวหนุ่มไม่ทราบความเป็นมาของตนเอง มาดามเมลล็อตจึงอาสาที่จะบอกข่าวดีนี้กับชายหนุ่มด้วยตัวเอง

เรื่องนี้เธอคิดว่าเธอคงจะจัดการได้ดีกว่าคุณทนายแน่นอน

"ครับ" ด้วยความที่มาดามเมลล็อตใช้เวลาทั้งชีวิตของเธอไปกับการร่วมงานต่างๆ ในแวดวงผู้ดีในเมืองนาฟรี่ย์แห่งนี้จึงทำให้เขามั่นใจว่าเธอจะสามารถเอ่ยเรื่องละเอียดอ่อนนี้ ให้ชายหนุ่มเข้าใจได้อย่างนุ่มนวลมากกว่าตนเป็นแน่

"สตีฟคนคนนี้คือคนที่พ่อของเธอส่งมารับเธอ ตอนนี้ครอบครัวของเธอหาเธอเจอแล้วและเขาประสงค์ให้เธอกลับไปกับคุณเนลสันต์ ฉันดีใจกับเธอมากจริงๆ นะที่ในที่สุดเธอก็พบครอบครัวของเธอเสียที" มาดามเมลล็อตไม่รู้ความเป็นมาของสตีฟมากนัก เธอรู้เพียงว่าผู้ช่วยพ่อครัวคนนี้มาสมัครงานกับเธอเมื่อสิบปีที่แล้ว เธอเคยถามว่าเด็กชายมีพ่อแม่หรือไม่และเธอจดจำคำตอบของเด็กชายในยามนั้นได้

เขาบอกว่าแม่ของเขาเสียตั้งแต่ตอนที่เขาอายุเพียงหนึ่งขวบเท่านั้น ส่วนเวลาก่อนหน้านั้นเธอถามเด็กชายว่ากินอยู่อย่างไร เด็กชายสตีฟตอบเธอเพียงว่าเขาอาศัยอยู่ในตรอกกับเด็กไร้บ้านคนอื่นๆ แต่เมื่อตำรวจเริ่มตามจับเพื่อนๆ ของเขาไปยังศูนย์เลี้ยงดูเด็กไร้บ้าน ด้วยความหวาดกลัวเด็กๆ เหล่านั้นจึงแยกย้ายกันไป หลายคนไปสมัครงานที่โรงงานหลายคนออกเดินทางไปชนบทและหลายคนตระเวนไปสมัครงานไปตามบ้านของผู้มีฐานะเช่นเดียวกับเขา ด้วยความที่เธอสงสารเด็กชายจึงได้ตัดสินใจรับเขาเอาไว้

ไม่คิดเลยว่าเด็กคนนั้นจะเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเกรซ

"ครอบครัวของผม" สตีฟนิ่งไปครู่หนึ่ง ครอบครัวของเขามีเพียงคุณแม่ผู้ล่วงลับในยามที่เขาอายุเพียงหนึ่งขวบผู้นั้นเพียงคนเดียว เหตุใดมายามนี้เขาจึงมีครอบครัวเพิ่มขึ้นมาอีกเล่า

ในยามนี้สมองของสตีฟมึนไปหมด เขานึกไม่ออกจริงๆ ว่าตนมีครอบครัวที่ใดอีก

"ส่วนที่เหลือคุณเนลสันต์จะเล่ารายจะเอียดให้เธอฟังเอง เอาล่ะกลับไปเก็บกระเป๋าเถอะ" มาดามเมลล็อตส่งยิ้มให้เขาบางๆ แล้วจึงคะยั้นคะยอให้เขาลงไปเก็บข้าวของของตน

"เอ่อครับ" สตีฟพยักหน้าไปมาแล้วจึงลุกขึ้นโค้งให้คนทั้งสองอย่างพะว้าพะวงก่อนที่จะเร่งฝีเท้าออกไปจากห้องรับแขกอันหรูหราแห่งนั้น

"ขอบคุณมากครับมาดามเมลล็อต" เนลสันต์มองตามร่างของชายหนุ่มแล้วจึงหันมาเอ่ยขอบคุณอรกฝ่ายที่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์อันประดัดประเดิดนี้ได้อย่างนุ่มนวล

หากจะให้เขาเอ่ยกับชายหนุ่มเอง เขาก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะต้องเริ่มเล่าจากจุดใดก่อนดี

"มองเขาแล้วฉันก็อดสงสารไม่ได้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าลูกชายคนเดียวของคุณเกรซ จะอยู่ที่บ้านของฉัน" เธอส่ายหน้าไปมาหลายทีเมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาของทายาทตระกูลเกรซจะต้องประสบในฐานะคนงาน

แม้ว่าเธอไม่ใช่นายจ้างที่โหดร้ายแต่งานของคนงานนั้นย่อมไม่มีเกียร์ติสำหรับผู้มีฐานะมั่งคั่งเช่นพวกเธอ

เมื่อนึกถึงชีวิตตลอดยี่สิบปีของเด็กหนุ่มก็ทำให้มาดามเมลล็อตถอนหายใจออกมาเบาๆ เด็กคนนี้แม้จะเกิดมาอย่างไม่ถูกต้องแต่กระนั้นแล้วเรื่องราวเหล่านั้นจะไปสำคัญอันใดในยามที่เขาได้เป็นถึงผู้นำตระกูลเกรซ ส่วนที่ว่าเขาจะทำหน้าที่นี้ได้ดีหรือไม่นั้นคงจะต้องพึ่งพาความสามารถของของคนรอบข้างที่ต้องช่วยผลักดันเขาอีกที

"ครับ บางทีชะตาก็เล่นตลก" เมื่อนึกถึงสภาพของผู้นำตระกูลเกรซที่แม้แต่นั่งก็ยังเกร็งตัวถึงเพียงนั้น คุณทนายจึงอดที่จะทอดถอนใจไม่ได้

ทายาทตระกูลเกรซคือคนงานที่อาศัยอยู่ชั้นล่างของบ้านตระกูลเมลล็อต เมื่อนึกมาถึงจุดนี้เนลสันต์ก็อดที่จะเวทนาชายหนุ่มไม่ได้

"แหม เล่นแบบนี้ก็แรงไปนะคะ" เมื่อนึกถึงชะตาชีวิตที่น่าสงสารของทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเกรซพาให้นายหญิงเมลล็อตรู้สึกสะเทือนใจตามไปด้วย

หากชีวิตของคนคนหนึ่งจะต้องถูกทำลายเพียงเพราะโชคชะตาที่ไม่ยุติธรรมเช่นนี้ เธอก็ขออวยพรให้จากนี้ต่อไปชายหนุ่มได้พบเจอกับสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตเพื่อชดเชยกับโอกาสมากมายที่เขาสูญเสียไปในวัยเด็กในฐานะทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลอันมั่งคั่ง


ย้อนไปเมื่อเช้าตรู่ของวันนั้น ณ คฤหาสน์ตระกูลฟลอรัลน์

ชายผู้มีฐานะเป็นผู้นำตระกูลฟลอรัลน์ขย้ำจดหมายที่ประทับตราสัญลักษณ์ของตระกูลเกรซอย่างโกรธเกรี้ยวเสียจนใบหน้าของเขาแดงก่ำราวกับเหล็กที่ถูกรนจนขึ้นสี

"ไอ้จิ้งจอกเฒ่า" เขาไม่นึกมาก่อนว่า เฟรเดอริคส์ เกรซ จะหลอกลวงกันเช่นนี้ ในอดีตเขาเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นสุภาพบุรุษที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้และตรงไปมาตรงมามากพอที่เขาจะทำสัญญาหยิบยืมเงินก้อนใหญ่โดยมีจุดประสงค์นำมาเข้าตลาดหุ้นเพื่อค้ำจุนกิจการของตระกูล

ใครเล่าจะรู้ว่าสัญญาที่อีกฝ่ายให้กับเขาไว้นั้นเป็นเพียงคำลวง เพราะตลอดมา เฟรเดอริคส์ เกรซ นำเงินเข้ามาค้ำจุนครอบครัวเขาโดยไม่เปลี่ยนชื่อเจ้าของหุ้นตามที่สัญญาเอาไว้ พาให้ในบัดนี้หุ้นเกือบทั้งหมดของกิจการครอบครัวฟลอรัลน์เป็นหุ้นของตระกูลเกรซทั้งสิ้น

การหลอกลวงเขาให้ติดกับเพื่อหลอกใช้กันเช่นนี้ทำให้เขาโกรธเสียจนอยากจะบุกเข้าไปทุบฝาโลงของคนสารเลวผู้นั้นให้ลุกขึ้นมาสนทนากันให้รู้เรื่องรู้ราว

ต่อหน้าเขาก็ทำเป็นเซ็นโอนหุ้นแต่ลับหลังกลับตลบตะแลงแอบวางแผนร้าย ช่างเป็นชายที่น่ารังเกียจเสียจริงๆ

"แบบนี้เราจะทำอย่างไรกันคะคุณ" เรื่องกิจการครอบครัวนั้นเธอผู้เป็นภรรยาย่อมรู้ดี อีกทั้งในวันที่เซ็นต์โอนหุ้น เฟรเดอริคส์ เกรซ ก็มาเซ็นต์ที่ห้องนั่งเล่นในบ้านของเธอพาให้เธอและลูกๆ ต่างก็เป็นประจักษ์พยานในการกู้ยืมเงินก้อนนั้นไปด้วย

"ผมจะทำอย่างไรได้อีกล่ะ ในจดหมายก็แจ้งไว้ชัดเจนว่าเขาจงใจไม่โอนหุ้นเป็นชื่อของผมตั้งแต่แรกแล้ว" อีกทั้งยังบังคับขู่เข็ญให้เขาขายลูกชายตัวเองเพื่อให้หุ้นเหล่านั้นตกเป็นของตระกูลฟลอรัลน์อย่างชอบธรรมอีกด้วย เงินที่พวกเขาติดตระกูลเกรซเหล่านั้นเขาก็นำไปใช้คืนหมดแล้วแต่ชายผู้นั้นกลับทำเช่นนี้ช่างเป็นคนหน้าไม่อายเสียจริงๆ

"แบบนี้มันบีบกันเกินไปแล้ว ทั้งที่ตอนนั้นเขารับปากกับเราว่าจะช่วยเราอย่างสุดความสามารถแต่กลับมาทำกันแบบนี้" เธอเอ่ยพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาอย่างอัดอั้นตันใจ เงินที่พวกเขาใช้คืนเหล่านั้นไม่เท่ากับเสียเปล่าหรอกหรือ

"ผมไม่น่าไว้ใจเขาเลยจริงๆ คิดแล้วก็แค้น" แน่นอนว่าในยามนี้ใจของเขาอัดแน่นไปด้วยโทสะเสียอยากจะผลุนผลันไปวางเพลิงคฤหาสน์ตระกูลเกรซเสียตอนนี้เลย

"เป็นแบบนี้วิลเลียมก็ต้องแต่งงานกับเด็กคนนั้นน่ะสิ" เมื่อนึกถึงเนื้อความของจดหมายพาให้มาดามฟลอรัลน์ถึงกับใจสั่น

คนในแวดวงต่างก็พึ่งจะทราบเรื่องทายาทที่สาบสูญของตระกูลเกรซ เรื่องที่ว่าเขามีบุตรนอกสมรสกับภรรยาก่อนที่จะแต่งงานกันนั้นแพร่สะพัดไปทั่วเมืองนาฟรี่ย์ อีกทั้งเด็กคนนั้นก็หายสาบสูญไปหลายปี พวกเขาต่างก็คาดเดากันไปต่างๆ นาๆ และรูปแบบต่างๆ ที่คนในแวดวงคาดเดากันนั้นไม่เป็นไปในทางที่ดีเลยแม้แต่น้อย

เด็กคนนั้นจะเหมาะสมกับดวงดาวที่อยู่เหนือดวงดาราทั้งมวลบนผืนฟ้าเมืองนาฟรีย์ดังเช่นวิลเลียมได้อย่างไรกัน

"จากจดหมายนั่นก็ต้องเป็นแบบนั้น ไม่อย่างนั้นพวกเราก็จะไม่เหลืออะไรเลย" หุ้นเหล่านั้นจะถูกดึงคืนไปจนหมดเมื่อถึงยามนั้นเกรงว่าความมั่งคั่งของตระกูลฟลอรัลน์ก็จะจบสิ้นไปด้วย แม้ว่าที่ผ่านมาพวกเขาจะกู้กิจการต่างๆ ให้กลับมาผลิดอกออกผลได้ดังเดิม แต่เมื่อนึกถึงสภาพการณ์ที่หุ้นเหล่านั้นถูกดึงกลับไปตามข้อความที่เจ้าคนสารเลวผู้นั้นบรรยายเอาไว้บนจดหมาย เกรงว่าแม้แต่บ้านหลังนี้พวกเขาก็คงจะขายเพื่อนำเงินมาใช้ยังชีพต่อไปอย่างอัตคัด

"วิลเลียมลูกจะแต่งงานกับเขาไหม" มาดามฟลอรัลน์หันมาจับมือลูกชายคนโตของเธอ ในยามนี้การตัดสินใจของวิลเลียมสำคัญมาก แม้ว่าเธอไม่ต้องการให้ลูกชายรับปากมากเพียงใดแต่เธอก็ไม่อยากให้อนาคตของตระกูลฟลอรัลน์จบสิ้นเพียงเท่านี้เช่นกัน

วิลเลียมสบสายตากับดวงตาอันสั่นไหวของผู้เป็นแม่ เขาจะทำใจปฏิเสธได้อย่างไร การปฏิเสธของเขาหมายถึงสถานะครอบครัวของพวกเขาที่จะพังทลายลง เมื่อถึงยามนั้นแม้แต่ที่ว่างในสังคมของพวกเศรษฐีใหม่ก็จะไม่มีพื้นที่ให้กับพวกเขา

"ครับ" เมื่อรู้ชะตาอยู่แล้วเขาจะหักใจปฏิเสธการแต่งงานที่มีผลกับความเป็นอยู่ของครอบครัวของเขาได้อย่างไร

"โถ่ วิลเลียมของแม่ไม่อยากให้ลูกไปแต่งงานกับเด็กคนนั้นเลย" หางตาของเธอในยามนี้เปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำตา หากไม่ใช่เพราะ เฟรเดอริคส์ เกรซ ผู้นั้นวิลเลียมของเธอคงจะไม่ต้องไปแต่งงานกับชายที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าผู้นั้น

"มาถึงขนาดนี้เราทำได้แค่ยอมรับเท่านั้นเอเรนอร์" ผู้เป็นสามีทำได้เพียงแค่โอบภรรยาเอาไว้อย่างหนักอกหนักใจ

ลูกชายของเขาคนนี้สามารถเลือกคู่ครองที่ดีกว่านี้ได้ หากไม่ใช่ว่าทายาทตระกูลเอริดอฟแต่งงานไปแล้ว พวกเขาอาจได้ดองกับครอบครัวที่มั่งคั่งที่สุดในเมืองนาฟรี่ย์และไม่ตกเป็นเบี้ยของตระกูลเกรซเช่นนี้

"หมอนั่นมีหัวนอนปลายเท้าหรือเปล่าก็ไม่รู้ จะปล่อยให้พี่แต่งงานได้อย่างไรครับพ่อ" เนื่องจากวิลสันอายุยังน้อย เขาจึงเอ่ยไปตามที่ตนคิดอย่างไร้เดียงสา

เขาไม่เคยรู้จัก สตีเฟ่น เกรซ และคนคนนี้ก็ไม่ได้อยู่ในแวดวงสังคมชั้นสูงดังนั้นเขาจึงไม่เห็นด้วยที่พี่ชายจะต้องไปแต่งงานกับชายคนนั้น

"เงียบน่าวิลสัน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นทายาทคนเดียวตระกูลเกรซ แกอย่าลืมเด็ดขาดว่าหุ้นทั้งหมดของเราในตอนนี้เป็นของตระกูลเกรซ" การเอ่ยถึงทายาทตระกูลเกรซในบ้านนั้นไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอันใด แต่เมื่อใดก็ตามที่ลูกชายเอ่ยถึงชายหนุ่มคนนั้นนอกบ้านมันคือการสร้างศรัตรูที่อยู่เหนือกว่าพวกเขา

ตระกูลเกรซนั้นเป็นเจ้าของธนาคารที่มีสาขามากที่สุดในประเทศพวกเขามีอำนาจเงินมากพอที่จะตีกลอบให้ตระกูลฟลอรัลน์เหลือแต่ตัวได้ อีกทั้งในยามนี้คงที่จะถืออำนาจนั้นก็คือทายาทเพียงคนเดียวที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าผู้นั้น

วิลเลียมเข้าใจความคิดของน้องชายดีในใจลึกๆ เขาพอใจที่วิลสันพูดเรื่องนี้แทนตน ตัวเขาเองก็หวาดหวั่นไม่แพ้กัน เขาประพฤติตัวดีมาตลอดเพื่อที่จะหาคู่ครองที่ดีให้กับตนเอง แต่มายามนี้ความพยายามของเขาทั้งหมดกลับสูญเปล่าเพียงเพราะเล่ห์กลของชายที่ไร้ลมหายใจผู้นั้น ใจของเขาไม่ยินยอมที่จะต้องแต่งงานกับคนผู้นั้นเป็นอย่างยิ่งแต่เขาจำยอมที่จะต้องทำเพื่อรักษาความมั่งคั่งของตระกูลฟลอรัลน์

ไม่ว่าเขาอยากจะปฏิเสธการแต่งงานนี้เช่นไรแต่ความจริงที่ว่าหุ้นทั้งหมดจะถูกโอนเป็นชื่อของตระกูลฟลอรัลน์ทันทีที่เขาเซ็นชื่อลงบนทะเบียนสมรสนั้นกลับเป็นหมุดที่ตอกอยู่บนหลังของเขา

ในยามนี้ตัวเขามีแค่สองทางเลือกเท่านั้น ทางหนึ่งคือปฏิเสธข้อเสนอนี้แล้วสถานะของครอบครัวจมลงสู่ก้นมหาสมุทร หรือตอบตกลงเพื่อให้ทุกอย่างกลับมาเข้าร่องเข้ารอยอีกครั้ง

หากว่าปฏิเสธการแต่งงานนี้เขาก็จะไม่สามารถมีจุดยืนในแวดวงและไร้ซึ่งอำนาจที่จะเลือกคู่ครองไปด้วย ตัวเขาไม่อาจผลักตนเองลงไปสู่หุบเหวนั้นได้แม้ว่าตัวเขาในยามนี้จะไม่อาจรักษาอำนาจที่จะเลือกคู่ชีวิตที่เหมาะสมให้กับตนเองได้ก็ตาม

"ที่ผมทำทั้งหมดก็เพื่อเราครับพ่อ" เขาไม่อยากจะให้ทุกคนในครอบครัวล่มสลายไปพร้อมกัน ยามน้องชายของเขาที่ถูกระบุว่าสามารถทำหน้าที่เป็นผู้นำตระกูลต่อจากพ่อได้นั้นยังเรียนมหาวิทยาลัยไม่จบ ตัวเขาจะลงมือทำลายอนาคตของวิลสันได้อย่างไรกัน

"ดี ลูกคิดได้แบบนั้นก็ดีส่วนทางตระกูลวิลสตันพ่อจะไปคุยกับพวกเขาเอง" เมื่อลูกชายตัดสินใจเช่นนี้ ในใจของเขาก็อดที่จะขื่นชมความเด็ดเดี่ยวของบุตรชายคนโตไม่ได้

สมแล้วที่ลูกของเขาคนนี้ถูกยกให้เป็นดวงดาวที่อยู่เหนือดาราทั้งมวลของเมืองนาฟรี่ย์

"แต่ว่าตระกูลวิลสตันเป็นนักการเมืองจะไม่เป็นอะไรจริงๆ เหรอคะคุณ" เมื่อนึกถึง โรเบิร์ต วิลสตัน ชายผู้สมบูรณ์แบบผู้นั้นเธอก็อดที่จะเสียดายลูกเขยดีๆ เช่นนั้นไม่ได้

หากพวกเขาได้ดองกับตระกูลวิลสตันจริงๆ กิจการของพวกเขาก็คงจะรุ่งเรืองมากกว่านี้ น่าเสียดายที่ทุกอย่างพังไม่เป็นท่าเพราะแผนการณ์อันน่ารังเกียจของ เฟรเดอริคส์ เกรซ

"ไม่หรอก ผมพอจะรู้ว่าต้องทำอย่างไร" สำหรับเขาแล้วตระกูลวิลสตันไม่ได้รับมือยากถึงเพียงนั้น เนื่องจากตั้งแต่ต้นจนจบเด็กทั้งสองเพียงแค่ออกเดทกันเท่านั้นและยังไม่ได้มีสัญญาหมั้นหมายอันใด ดังนั้นหากเขามีเหตุผลที่ดีพอ ตระกูลวิลสตันย่อมต้องเข้าใจความลำบากใจของเขาเป็นแน่

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว