⋆ ˚。⋆୨୧˚ ˚୨୧⋆。˚ ⋆
หน้าจอสี่เหลี่ยมของสมาร์ตโฟนเครื่องบางปรากฏข้อความของหนึ่งหนุ่มโสด หนึ่งพ่อลูกสาม และหนึ่งว่าที่คุณพ่อ เพราะอยู่ๆ พี่ใหญ่อย่างชยางกูรก็ส่งข้อความมาถามว่าตนเองจะได้ลูกสาวหรือลูกชาย
แล้วในพวกเขามีใครเรียนหมอกันสักคนหรือไม่ ก็ไม่มี ถามเพื่อ?
ผู้จัดการร่ำเมรัยตอบ ‘เมียเพิ่งจะท้องได้สามสี่เดือน ไม่ต้องรีบก็ได้เฮีย’
‘ม้าบอกว่าอาการแพ้ของกูน่าจะเป็นลูกสาว อยู่ๆ เลยสงสัยน่ะ’
น้องเล็กที่มีลูกถึงสามคนได้ทีตอบบ้าง ‘ตอนผักกาดท้องน้องกิม อาการแพ้ท้องเหมือนของสองแฝดเลย บางทีมันน่าจะไม่ได้แม่นยำขนาดนั้นหรือเปล่าครับ หรือไม่ก็อาจจะแล้วแต่คน’
ดิฐากรแทรกขึ้น ‘แต่พูดก็พูด เรื่องที่เฮียแพ้ท้องแทนเมียนี่ พูดกี่ทีก็ขำว่ะ’
‘ขำไปเถอะ ไว้มีแล้วเจอแบบกูบ้างจะสมน้ำหน้าให้’
‘ไม่ดิ ผมบอกแล้วว่าอยากปิดจ๊อบ’
‘กูก็ไม่ได้บอกนี่ว่าระหว่างมึงกับไอ้อาร์มใครจะมีก่อน แค่บอกว่าถ้ามี มึงระวังเป็นแบบกูก็แล้วกัน’
‘ผัวที่แพ้ท้องแทนเมียน่ะ ได้เป็นแล้วจะรู้สึก’
ดิฐากรแค่นหัวเราะให้รุ่นพี่ เขาเห็นมาสักพักแล้วว่ามีคนอ่านครบสามคน ทว่าตลอดการสนทนา เพื่อนรักกลับไม่คิดตอบโต้อะไรเลยสักประโยค ค่อนข้างผิดวิสัย ซึ่งก็เป็นมาตั้งแต่กลับมาจากบ้านเกิดแล้ว เขาโมเมไปเองว่าอาจจะเพราะยังเสียใจเรื่องพ่อ จึงไม่ค่อยกล้าพูดอะไร แต่เห็นทีวันนี้ต้องพูดบ้าง
‘ไอ้อาร์ม อยู่คนเดียวเหงาไหม’
‘ยังไม่อยากมีเมีย’
หลังอ่านข้อความแรกที่เพื่อนตอบกลับมา เขาก็หัวเราะร่าอย่างนึกขบขัน
‘กูแค่กลัวมึงเหงาเลยจะชวนออกไปหาข้าวเที่ยงกิน ไอ้กร๊วกเอ๊ย’
อรัณย์บิดริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม ‘เห็นคุยเรื่องเมียกันอยู่’
‘แล้วเอาไง จะออกมากินข้าวกับกูไหม’
‘ใครไปบ้าง’
เป็นอีกครั้งที่ผู้จัดการร่ำเมรัยต้องเปิดปากหัวเราะ ‘ไอ้จัดกินที่เต็นท์ เฮียเฉื่อยกินกับก้าน ถามจริงว่านอกจากมึงกับกู จะมีใครอีก ก็มีกันอยู่แค่นี้’
‘ที่ไหน’
นัดแนะกันเสร็จสรรพ อรัณย์ก็หอบร่างไปหาเพื่อนสนิทอย่างไม่รอช้า เขารู้ซึ้งว่าการอยู่คนเดียวนั้นฟุ้งซ่านยิ่งกว่าอะไร ทว่าคนที่เพิ่งผ่านการสูญเสียบุคคลสำคัญอย่างผู้เป็นพ่อไปนั้น เหตุใดสิ่งที่รบกวนจิตใจกลับไม่ใช่บิดา แต่เป็น ‘คนอื่น’ ในชีวิต คนที่ไม่ได้รู้จักมักจี่ ไม่ได้สนิทสนม
ทำไมกัน
วันนี้เป็นวันที่สิบสามกุมภาพันธ์ พรุ่งนี้แล้วที่เธอต้องเข้าประตูวิวาห์กับคนที่ไม่ได้รัก
ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา ไม่เกี่ยว ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องสักนิด จำเอาไว้ ไม่เกี่ยว
อาร์ม อย่าแส่หาเรื่อง...ใช่ อย่าแส่ไม่เข้าเรื่องน่าพวก
“มึงยังเศร้าเรื่องพ่ออยู่เหรอ”
เขาผินหน้ามองเพื่อน ปฏิเสธด้วยการสั่นหน้า “เปล่า ทำใจได้แล้ว”
“แล้วทำไมดูอมทุกข์จังวะ”
“ก็” ลากเสียงอยู่ครู่สั้นๆ ถึงได้เปิดปากตอบ “มีเรื่องให้คิด”
“จะเล่าไหม กูก็พอจะว่างฟังอยู่นิดหนึ่งอะนะ”
เขาแค่นหัวเราะ ทอดถอนลมหายใจเฮือกใหญ่อย่างต้องการระบายความอัดอั้น มันคงจะดีหากเรื่องที่กวนใจเป็นเรื่องของตัวเอง เขาจะได้เห็นควรว่ามันถูกต้องแล้ว ที่คิดมากเช่นนี้ แต่พอเป็นเรื่องของคนอื่นก็อดโกรธตัวเองไม่ได้ ที่ทำตัวเป็นคนประเภทแกว่งเท้าหาเสี้ยน
ครั้นจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนฟังก็ดูมากความ สิ่งที่เขาเลือกทำคือการ ‘ขอคำปรึกษา’
อรัณย์เกริ่นด้วยการยิงคำถาม “มึงว่ากูเป็นคนดีไหม”
คำตอบที่ดิฐากรมอบให้นั้นไม่ใช่คำพูด แต่เป็นเสียงหัวเราะ หากไม่ต้องคอยเกรงอกเกรงใจโต๊ะข้างๆ ผู้จัดการหนุ่มคงระเบิดหัวเราะเสียงดังกว่านี้
คนถูกถามพยายามปรับอารมณ์ให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติ “โอเค คนดีก็คนดี”
ลมหายใจถูกผ่อนออกอย่างแรง “กูจริงจัง”
“จอมแก่นด้วยปะ”
“ไอ้ดิน”
พอเพื่อนทำเสียงเข้ม ดิฐากรก็รู้ว่าควรวางตัวเช่นไร เขาสลัดคราบคนขี้เล่นทิ้งเสีย แล้วจ้องตาเพื่อนสนิทราวค้นหาอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในนั้น
“ทำไมมึงถึงถาม”
“มึงมีหน้าที่ตอบ”
โดนเพื่อนหยั่งเชิง เขาก็ผายมืออย่างไม่ยี่หระ “ในมุมมองของกูนะ ก็เป็นคนดีคนหนึ่ง”
“กูจริงจัง”
ดิฐากรตั้งท่าจะประทานหมัดให้เพื่อนอย่างนึกโมโห ย้ำอยู่ได้ว่าจริงจัง พอเขาจริงจังกลับ มันก็ไม่เชื่อ “กูก็ไม่ได้ล้อเล่นไหมอาร์ม ในสายตากูมึงเป็นคนดีจริงๆ ไม่มีใครเทียบได้ ประเสริฐที่สุด”
อรัณย์แค่นหัวเราะ ตอนแรกว่าจะเชื่อ หลังๆ เริ่มเชื่อไม่ได้
“บางทีกูอาจจะไม่ใช่คนดีขนาดนั้น”
“มึงอย่าเอาแต่พล่ามคนดีคนไม่ดี เหมือนกูกำลังคุยกับคนที่ชั่งใจว่าจะละทางโลกแล้วไปบวชตลอดชีวิตดีไหมอะ เพราะงั้นช่วยบอกเหตุผลกูทีเถอะว่ามันทำไมนัก” ดิฐากรหรี่ตาแคบอย่างจับผิด “หรือมึงไปทำอะไรผิดมา กูสาบานว่าจะไม่ฟ้องนาย”
เขาไม่ได้ตอบ เลือกที่จะยิงคำถามใหม่ใส่อีกฝ่าย “ถ้ามีคนขอความช่วยเหลือแต่เราไม่ช่วย เราจะดูเป็นคนไม่ดีปะวะ”
คู่สนทนาไหวไหล่ “แล้วแต่กรณี มันไม่มีคำตอบตายตัว” ก่อนจะขยายความเมื่อเพื่อนเอาแต่เงียบ “ถ้าช่วยได้แต่ไม่ช่วย ก็อาจจะดูแล้งน้ำใจนิดหนึ่ง หรือถ้าช่วยมาหลายครั้งจนไม่อยากช่วยแล้ว ก็ไม่อะไร คิดซะว่าที่ผ่านๆ มาก็ช่วยมาเยอะแล้ว เพราะคนเราใครมันจะไปช่วยเหลือคนอื่นได้มากมายขนาดนั้น ภาระตัวเองก็เยอะแยะแล้วเปล่า”
อรัณย์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“แล้วของมึงเข้าเกณฑ์ไหน”
เขานิ่งไปเมื่อถูกจี้จุด “น่าจะช่วยได้แต่ไม่ช่วย”
“โห เลวว่ะ” ดิฐากรพูดติดตลก ทว่าคนโดนตอกหน้าว่าเลวกลับหน้าเจื่อนอย่างเห็นได้ชัด “ถ้าช่วยได้ก็แปลว่าไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงอะไรของมึงนิ มีเหตุผลอะไรที่ไม่ช่วยล่ะ”
“กูรู้สึกว่าเรื่องแบบนี้มันต้องเจอกับตัวเอง”
“แบบไหน”
อรัณย์ขออนุญาตพาดพิงเจ้านายและภรรยาอยู่ในใจ “ตอนนายเจอคุณอัส ค่อนข้างจะเป็นคนใจร้ายเลย ตอนเขามาสมัครงานก็พูดใส่หน้าหาว่าเป็นโจร ตอนที่เกิดอุบัติเหตุ กูกับเฮียโคตรเห็นใจเขา พยายามช่วยเขาทุกอย่าง ทั้งจัดการเรื่องซ่อมรถ พาไปโรงพยาบาล นู่นนี่นั่น แต่นายแม่ง เหมือนจะไม่แยแส กูยังแอบด่าอยู่ในใจว่าโคตรใจดำ คือมันสามารถช่วยได้อะ น้ำจงน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ให้คนอื่นไปมันคงไม่ทำให้ร่างกายขาดน้ำจนตายหรอก”
“อ่า แล้ว”
“แต่พวกเขาก็บังเอิญเจอกันเรื่อยๆ ไง พอนายเปิดใจช่วย ทุกวันนี้ก็อย่างที่เห็น แล้วตอนนั้นจะใจจืดใจดำกับเขาเพื่อ”
“ไม่ กูไม่ได้หมายถึงเรื่องของนายกับคุณอัส กูแค่สงสัยว่า ‘เรื่องแบบนี้’ ของมึง คือแบบไหน ยกเรื่องของนายมาพูดซะยาวเหยียด กูยังไม่เข้าใจว่าเกี่ยวกันยังไง”
“เพราะกูเริ่มเข้าใจนายแล้วว่าตอนนั้นจะใจจืดใจดำไปทำไม”
“เพราะ”
“เพราะมันไม่เกี่ยวอะไรกับชีวิตเขาไง เหมือนอย่างตอนนี้ ที่กูมั่นใจว่าตัวเองไม่ใช่คนดีแต่ก็ไม่ได้เลวร้าย กูมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นนะ แต่บางเรื่องมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับกูจริงๆ”
คนฟังพยักหน้าให้ พยายามสรุปอย่างรวบรัด “แปลว่ามึงจะไม่ช่วยเหลือเขา”
อรัณย์อ้อมแอ้มตอบ แม้แต่สบตาคู่สนทนายังไม่ทำ “น่าจะใช่...มั้ง”
“ทำไมมึงถึงลังเล”
เขาไม่มีคำตอบให้เพื่อนสนิท
“คนนั้นคือใคร”
“...”
ดิฐากรย้ำ “ใคร”
“น้องสาวเพื่อน”
ผู้จัดการร้านเหล้ายิ้มกริ่มหลังได้รับคำตอบ เขาเป็นเพื่อนสนิทกับอรัณย์มานาน รู้ดีว่าคนที่อยู่ในหัวใจของเพื่อนคือใคร ไม่ใช่ ‘น้องสาวเพื่อน’ อย่างแน่นอน งานนี้มีหวังกำแพงหัวใจที่ถูกสร้างโดยแฟนเก่าคงถูกกะเทาะจนพังไม่เป็นท่า
“น้องสาวเพื่อนทั้งคน มึงเมินได้เหรอ”
“ไม่ได้สนิท”
ใบหน้าของดิฐากรยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม “คุณโปรดช่วยคุณอัสก็ไม่ใช่เพราะสนิทเหมือนกัน” อรัณย์เพียงตวัดตามองเพื่อนโดยไม่คิดเอ่ยคำอันใดออกไป “หรือมึงกลัวจะมีเมียเป็นคนอื่นแทนที่จะเป็นแฟนเก่า”
“กูไม่ได้คิดอะไรกับเด็กนั่น”
“ไม่ได้คิดก็ไม่ต้องกลัว” เขาพูดอย่างสบายอารมณ์ ก่อนแนะนำ “มึงก็ช่วยๆ ไปเหอะ เห็นแก่เพื่อนมึงก็ได้”
“ประเด็นคือกูไม่ได้อยากช่วย มันยุ่งยาก”
“โอเค ถ้ามึงไม่อยากช่วยจริงๆ มึงก็ไม่ผิดอะไร แต่อย่าทำเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบทีเถอะ มันทำให้กูไม่ค่อยเชื่อว่ามึงสบายใจจริงๆ ที่ปฏิเสธเขา”
อรัณย์รับคำสั้นๆ “อือ”
ตลอดมื้ออาหาร เขาพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ และยึดความคิดของตัวเองเป็นที่ตั้ง เขาทำถูกแล้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความจำเป็นที่แม่นั่นพล่ามมันคืออะไร เหตุใดถึงจับพลัดจับผลูมาแต่งงานกับพศุตม์ได้ เธอไม่ได้เล่ารายละเอียดให้ฟังสักอย่าง หรือถึงเล่า เขาก็ไม่คิดว่าตนควรเอาตัวไปเกี่ยวกับปัญหาของคนอื่น
ณ เวลาที่คิดเช่นนี้ ห้วงความคิดกลับผุดภาพที่สาวน้อยช่างสักถูกดึงเข้าหาตัวของหนุ่มใหญ่แสนกำยำ แววตาของเธอที่มองสบกับเขาคล้ายจะไร้ประกายเหมือนคนไม่มีความรู้สึก แต่ก็โศกเศร้าแสนระทม ผสมปนเปกับความว่างเปล่าที่ใช้เวลามองแค่ครู่สั้นๆ ทว่ากลับติดตรึงอยู่ในใจไม่รู้ดับ
เขาพยายามสลัดมันออกอยู่นาน ทว่ายิ่งคิดลบทิ้ง กลับยิ่งเด่นชัด
ระหว่างเดินเข้าบ้าน สายตาก็หลุบต่ำมองเครื่องมือสื่อสารที่ปรากฏชื่อใครบางคนที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี
อรัณย์มีเวลาเหลือเฟือให้ตัดสินใจ ก่อนที่ชีวิตตัวเองจะเปลี่ยนไปอย่างมิอาจย้อนกลับ ทว่าเขากลับเลือกที่จะรอสายของเพื่อนวัยเด็กอยู่หลายวินาที
ทันทีที่ปลายสายกดรับ เสียงเข้มก็ถูกกรอกลงไป “ทำไมน้องมึงต้องแต่งงานกับเสี่ยคิด”
⋆ ˚。⋆୨୧˚ ˚୨୧⋆。˚ ⋆
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว