บทที่ 55 เธอไม่โสด เธอเป็นภรรยาผม
ฉือฮวนไม่รับรู้
ลู่ฉิงฉิงถามอย่างสงสัย “ทำไมสิงโตกับเสืออยู่ในกรงไม่ได้ล่ะคะ?”
เมื่อเห็นดวงตาคู่โตที่ฉายแววฉลาดของหนูน้อยตัวนุ่มนิ่ม ใจฉือฮวนพลันอ่อนยวบ อดพูดหยอกไม่ได้ “หนูลองเดาดูสิ?”
ลู่ฉิงฉิงกลอกตาคิดจริงจัง ไม่นานก็ได้คำตอบแล้วปรบมืออ้วนป้อม “อ๋อ! หนูรู้แล้ว เพราะคนให้อาหารลืมปิดกรงใช่ไหมคะ?”
ฉือฮวนผ่อนลมหายใจยาว พูดอย่างโล่งอก “ถูกจ้ะ”
พูดจบเธอก็มองลู่เช่อเฟิง “เป็นอย่างนั้นแหละค่ะ กรงสัตว์ร้ายมันอันตราย พวกคุณเลยไปไม่ได้”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ เธอก็หมุนตัวไปกรงสัตว์ร้าย
ในหัวลู่เช่อเฟิงเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามแล้วรีบตามไป “เดี๋ยวก่อน สหายฉือ คุณไม่ให้พวกเราไป แต่คุณจะไปเองทำไม ไม่อันตรายเหรอครับ?”
ฉือฮวนรีบพูด “ฉันจะไปพูดกับเจ้าหน้าที่สวนสัตว์น่ะค่ะ”
เพราะกลัวเสือจะพุ่งพรวดออกมา ฉือฮวนจึงรีบวิ่งไป
ลู่เช่อเฟิงมองแผ่นหลังของฉือฮวน มุมปากยกยิ้มขึ้นมา ‘เป็นคนน่าสนใจจริง ๆ’
เขาอดไม่ได้ที่จะสาวเท้าตามไป
ความเยียบเย็นแผ่ไปทั่วร่างของสืออวี่ไป๋ ม่านตาเขาหดเล็ก อุ้มเสี่ยวเยี่ยนตามไป
สือเยี่ยนมุ่ยปาก “พ่อเข้าใจแม่ผิดแล้วครับ”
สืออวี่ไป๋ส่งเสียงในลำคอ มองแผ่นหลังของลู่เช่อเฟิงที่กำลังวิ่งตามไปพลางหรี่ตา
หลังจากฉือฮวนมาถึงกรงสัตว์ร้าย เธอก็คว้าตัวพนักงานที่กำลังขายตั๋วไว้
“เดี๋ยวก่อน หยุดขายตั๋วเข้าชมสัตว์ก่อนค่ะ”
พนักงานเอ็ดอย่างโมโห “คุณเป็นใคร? จะมาก่อความวุ่นวายในสวนสัตว์ใช่ไหม?”
“สหาย อย่ามาก่อกวนการทำงานของผมสิ ถ้าทำอย่างนี้อีก ผมจะเรียกคนมาไล่คุณออกไปนะ”
ฉือฮวนที่วิ่งมาตลอดทางหอบหนัก เธอผ่อนลมหายใจแล้วพูดว่า “ฉันเห็นดาลประตูตรงกรงเสือเคลื่อนออกมาค่ะ”
“พวกคุณรีบไปตรวจเถอะค่ะ!”
ลุงคนขายตั๋วเบิกตาโพลง กวาดสายตาขึ้นลงประเมินฉือฮวนแล้วกลืนน้ำลายอย่างประหม่า “คุณอย่ามาล้อเล่นนะ เรื่องนี้เกี่ยวพันกับชีวิตคนเลยนะ!”
“ฉันไม่ได้ล้อเล่นค่ะ คุณรีบไปตรวจสอบเร็วเข้า แต่ก่อนอื่น ห้ามขายตั๋วไปกรงเสือเด็ดขาด! ไม่อย่างนั้นก็เหมือนส่งคนไปตาย”
ลุงคนนั้นเห็นว่าฉือฮวนไม่มีความล้อเล่นสักนิดก็ไม่กล้าล่าช้า รีบวิ่งไปติดต่อคนให้อาหาร
พอลุงคนนั้นจากไป ลู่เช่อเฟิงที่อุ้มลู่ฉิงฉิงก็วิ่งตามมาทัน
เมื่อฉือฮวนเห็นเขาก็ตกใจ พลันพ่นคำพูดออกมา “พวกคุณมาทำไมคะ? ที่นี่อันตรายมาก! รีบออกไปเร็วเข้า!”
ลู่เช่อเฟิงมองฉือฮวนอย่างสงสัย “สหายฉือ เหมือนคุณจะเป็นห่วงความปลอดภัยของพวกเราสองพ่อลูกนะ? เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า?”
ฉือฮวนส่ายหน้า
วินาทีต่อมา เสียงเย็นชาและกราดเกรี้ยวดังขึ้นจากมุมหนึ่ง
“ก่อนจะจีบใครก็ดูให้ดีก่อน เธอไม่ได้โสด เธอเป็นภรรยาผม!”
ฉือฮวนเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง แต่กลับประสานสายตากับโทสะที่ล้นทะลักออกมา
สืออวี่ไป๋ยกยิ้มหยัน มองลู่เช่อเฟิงด้วยใบหน้าเคลือบน้ำแข็ง
ซวยแล้ว ๆ แค่ฉือฮวนมองก็รู้ว่าผู้ชายคนนี้ไหน้ำส้มแตก*[1] แล้ว
เมื่อครู่เธอวุ่นกับการวิ่งมาหยุดยั้งเหตุการณ์โศกนาฏกรรม จึงไม่ทันปลอบไหน้ำส้มใบใหญ่ที่กำลังร้าว
เธอลนลานครู่หนึ่งแล้วกลับมาสงบอีกครั้ง
เธอคล้องแขนสืออวี่ไป๋อย่างไร้กังวล โดยมองเมินรังสีความเย็นชาของเขา แล้วแนะนำเขาแก่ลู่เช่อเฟิงอย่างเป็นธรรมชาติ
“คุณลู่ ลืมแนะนำเลย นี่คือสามีฉัน สืออวี่ไป๋ค่ะ ส่วนนี่ก็ลูกชายเรา สือเยี่ยนค่ะ”
เมื่อได้ยินที่เธอแนะนำ ความเครียดเกร็งของสืออวี่ไป๋ก็ผ่อนคลายลง
ทว่าเวลามองลู่เช่อเฟิง ความเป็นอริในสายตาก็ยังไม่ลบเลือน
ลู่เช่อเฟิงมีนิสัยเจิดจ้าดุจพระอาทิตย์ เมื่อได้ยินดังนั้นก็ยื่นมือที่แห้งสะอาดไปทางสืออวี่ไป๋
“ลู่เช่อเฟิงครับ นี่ลูกสาวผมลู่ฉิงฉิง”
สืออวี่ไป๋กวาดตามองมือของลู่เช่อเฟิง ไม่ยื่นมือไปจับ แต่แนะนำตัวสั้น ๆ “สืออวี่ไป๋”
มุมปากเขาโค้งขึ้น “อุ้มเด็กอยู่น่ะ ไม่สะดวก”
ลู่เช่อเฟิงไม่รู้สึกกระอักกระอ่วน เขามองใบหน้าไม่รับแขกของสืออวี่ไป๋ ไม่ช้าก็เข้าใจอะไรบางอย่าง เขายิ้ม “คุณสือ คุณเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ?”
เข้าใจเขาผิดไม่เป็นไร แต่ถ้าเข้าใจภรรยาตัวเองผิดอาจกระทบความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาได้
นัยน์ตาของสืออวี่ไป๋เยียบเย็นขึ้นไปอีก “เข้าใจอะไรผิดเหรอครับ?”
ตอนนี้ลู่เช่อเฟิงมั่นใจแล้วว่าสืออวี่ไป๋ชังหน้าตนไม่น้อย
บรรยากาศเต็มไปด้วยความประดักประเดิด
ฉือฮวนอดไม่ได้ที่จะกระตุกแขนของสืออวี่ไป๋ ส่งสัญญาณไม่ให้เขาทำตัวเย็นชาเกินไป
ว่าแล้วก็แปลก ตอนที่ฉือฮวนกระตุกแขนเขา ลู่เช่อเฟิงสัมผัสได้ชัดว่ารังสีเย็นรอบกายสืออวี่ไป๋สลายหายไปเกือบครึ่ง
แปลกจริง ๆ
ลู่เช่อเฟิงมองสองสามีภรรยาอย่างอดไม่ได้
ตอนนี้เองที่ลุงคนขายตั๋วรีบกลับมาพร้อมคนให้อาหารซึ่งสวมชุดทำงาน เห็นได้ชัดว่าคนให้อาหารกำลังนอนกลางวันอยู่ ดวงตาง่วงงุน ลูกกุญแจพวงใหญ่ตรงเอวสะบัดตามการก้าวเดินของเขา
เมื่อเห็นหน้าคนให้อาหาร ฉือฮวนก็ตกตะลึง
เป็นคนให้อาหารคนนี้แหละ คนที่อยู่ในรายงาน เนื่องจากละเลยหน้าที่จึงถูกสวนสัตว์ไล่ออก หลังถูกบังคับออกจากงาน เขาก็คิดสั้นกระโดดตึกฆ่าตัวตายเพราะไม่รู้จะเลี้ยงดูทั้งครอบครัวยังไง
ตอนที่เห็นข่าวนี้ ฉือฮวนก็สะท้อนใจไม่น้อย
“ระวัง!”
ตอนที่คนให้อาหารเปิดประตู ฉือฮวนพลันกำชับ
ลุงคนนั้นพูด “คุณผู้หญิงคนนี้เป็นคนบอกว่าดาลประตูเคลื่อนน่ะ”
คนให้อาหารเหลือบมองแวบหนึ่ง ปากก็งึมงำอย่างไม่ยี่หระ “หาเรื่องชัด ๆ ตอนออกมาฉันลั่นดาลแน่นแล้วแท้ ๆ!”
“คุณผู้หญิง จุ้นจ้านมากเดี๋ยวแก่เร็วนะ”
คนให้อาหารพูดเสียดสีแล้วหมุนตัวกลับ
ฉือฮวนไม่มีปฏิกิริยาอะไร เพราะเธอรู้ถึงความเสี่ยงของการที่ดาลประตูเคลื่อนดี
เพียงกำจัดอันตรายได้ ถูกคนด่าสักประโยคสองประโยคก็ไม่เป็นไรหรอก
แต่ชายที่เธอคล้องแขนอยู่กลับไม่คิดอย่างนั้น กล้ามเนื้อของเขาเครียดขึงด้วยโทสะ เธอเห็นสืออวี่ไป๋กำลังผละออกไป
ความเกรี้ยวกราดในตาลุกโชน ชายหนุ่มก้าวขาไปทางคนให้อาหาร
ในวินาทีแห่งความเป็นความตาย ฉือฮวนกลับคว้าเขาไว้
“สืออวี่ไป๋!”
เธอเรียกเสียงแผ่ว ตอนที่สืออวี่ไป๋หันกลับมา ฉือฮวนก็ส่ายหน้าเบา ๆ
ริมฝีปากของสืออวี่ไป๋เม้มเป็นเส้นตรง ต่อให้เย็นเยียบไปทั้งร่างก็แพ้คำปลอบโยนของเธอ
ตอนนี้เองที่เสียงของลู่เช่อเฟิงดังขึ้น
“สหายฉือ ผมมีเรื่องอยากถามครับ”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าดาลประตูกรงเสือเคลื่อน”
พอถามแบบนี้ หูหลายคู่ก็กางผึง ทยอยมองเธออย่างใคร่รู้
โดยเฉพาะสืออวี่ไป๋ เธอรู้สึกร้อนราวกับถูกลวก ยามเขามองเธอชัด ๆ เช่นนี้
เธอกระแอมคอ “ความลับค่ะ เรามาดูกันก่อนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นดีกว่าค่ะ”
ขณะครุ่นคิด ทุกคนก็เห็นสีหน้าซีดขาวของคนให้อาหารที่เดินออกมาจากกรงสัตว์ดุร้าย
หลังจากเดินออกมา เขาก็คว้าข้อมือของฉือฮวนอย่างตระหนก
“ขอบคุณสหายท่านนี้มาก!”
“ไม่คิดเลยว่าดาลกรงเสือจะเคลื่อนจริง!”
“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ คงเกิดเรื่องกับกรงสัตว์ร้าย ผมคงรักษางานนี้ไว้ไม่ได้ ขอบคุณจริง ๆ ครับ!”
[1] น้ำส้มสายชู เป็นคำแสลง หมายถึง ความหึงหวง
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว