บทที่ 3
ท่านอาจารย์ของข้า
“ศิษย์ชั่ว เจ้าตั้งใจจะกระทำการใด?”
เฉียวเหมิงเตี๋ยมองเขา ดวงตาอันงดงามในตอนนี้เริ่มสั่นเทิ้ม
‘เขากล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร? เขากล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!?’
‘เขาไม่กลัวว่าภายหลังจะถูกข้าจัดการหรือ?’
ฉู่ซิวยืนอยู่ข้างบัลลังก์ดอกบัว ชูมือขวาเชยคางขาวนวลของเฉียวเหมิงเตี๋ย พลางเอ่ยวาจากับนาง
“แม้อายุของท่านจะเกือบพันปีแล้ว แต่ผิวพรรณยังเนียนนุ่มราวสาวน้อยวัยยี่สิบเลยนะ”
ร่างอันงดงามของเฉียวเหมิงเตี๋ยสั่น ดวงหน้างดงามนั้นปรากฏร่องรอยแดงก่ำด้วยความโกรธ
นางกัดฟันพลางกล่าวว่า “เจ้าลูกศิษย์ชั่ว จำคำข้าเอาไว้เลย! ข้าจะสังหารเจ้าแน่นอน จะสังหารเจ้าให้ได้!”
“หึ ๆ งั้นหรือ?”
“ท่านอาจารย์ ท่านมีแค่สองประโยคนี้หรือ? นี่คิดจะข่มข้าด้วยคำพูดแค่นี้หรือไงกัน?”
ฉู่ซิวหยิบผมงามของนางไว้ส่วนหนึ่ง นำมาดมที่จมูก กลิ่นหอมละมุนลอยเข้าจมูก เขาหัวเราะเยาะ “ท่านอาจารย์ ข้าบอกเรื่องที่ท่านถูกปิดกั้นพลังการบำเพ็ญให้หลิวเสวี่ยเจ้าขุนเขาเทียนเจี้ยนรู้ดีหรือไม่?”
“ท่านว่า นางจะคว้าดาบพุ่งขึ้นมายังยอดเขาอวิ๋นเซี่ย รีบเร่งมาฆ่าท่านอาจารย์หรือไม่?”
“ในอดีตนั้นเจ้าได้คร่าชีวิตของบิดานางด้วยคมดาบเดียว ถูกสังหารบิดาเช่นนี้ มีหรือจะไม่ตามมาแก้แค้น?”
ฝ่ายเฉียวเหมิงเตี๋ยในดวงตาค่อย ๆ หดแคบลงด้วยความตกใจ
กระแสความหนาวเย็นแผ่ซ่านทั่วทั้งร่าง
นางเชื่อมั่นว่าเมื่อหลิวเสวี่ยรู้ว่าการบำเพ็ญของนางถูกปิดกั้น มิอาจใช้พลังได้อีกต่อไป หลิวเสวี่ยจะมาฆ่านางแน่นอน หญิงนั้นเป็นบ้าอยู่แล้ว!
“เจ้าศิษย์ชั่ว! เจ้าต้องการอะไร?”
“สมบัติแห่งสวรรค์และโลก หรือทรัพยากรเพื่อการฝึกฝน อาจารย์ผู้นี้สามารถให้เจ้าได้ทั้งหมด!”
“ไม่พอ ไม่เพียงพอเลยสักนิด!” ฉู่ซิวสายหน้า ลูบไล้ผมนุ่มนวลของนาง เฉียวเหมิงเตี๋ยต้องการดิ้นรน แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้นางเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีทางหลุดพ้นจากเงื้อมมือปีศาจของฉู่ซิวได้แน่
“พูดมาสิ เจ้าต้องการอะไรกันแน่?”
“ศิษย์ต้องการท่านอาจารย์อย่างไรล่ะ…” ฉู่ซิวหัวเราะในลำคออย่างเจ้าเล่ห์
“ไม่! ไม่มีทาง! เจ้าอย่าได้คิดเชียว”
เมื่อได้ยินถ้อยคำอันหยาบคายของฉู่ซิว เฉียวเหมิงเตี๋ยกัดฟันแน่น หัวใจของนางบัดนี้พลุ่งพล่าน เต็มไปด้วยด้วยจิตสังหาร หวังจะฆ่าฟันเจ้าศิษย์ชั่วที่ต้องการกระทำการชั่วช้ากับนางผู้เป็นอาจารย์ คนชั่วเช่นนี้ต้องฆ่าสักแสนรอบ!
“ข้าเป็นถึงขอบเขตมหาศักดิ์สิทธิ์ จะไปมอบกายให้แมลงสาบเช่นเจ้าได้อย่างไร”
“เฮ้อ~”
ฉู่ซิวยิ้มแย้มอย่างสบายใจ
‘ข้ากับเจ้า ณ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่ซู่แห่งนี้ ไม่มีปัญหาใดๆ ไม่เคยบาดหมางอะไรกัน แต่เจ้ากลับมีส่วนร่วมในการไล่ล่าข้า? บัดนี้รู้สึกหวาดกลัวแล้วหรือ?’
“ท่านอาจารย์ ถือว่าข้าขอร้องเถิด!”
“ศิษย์มีคัมภีร์วิชาโบราณ จะเป็นประโยชน์แก่ท่านเช่นกัน ข้าจะให้ท่านได้ชมสักหน่อย…”
นิ้วมือซ้ายของชายหนุ่มแตะเบา ๆ ที่ตรงกลางระหว่างคิ้ว เฉียวเหมิงเตี๋ยสะดุ้ง จิตใจของนางเผยประกายความประหลาดใจ ในทันใดนั้นก็รู้สึกถึงสิ่งที่ไม่ธรรมดา ศิษย์คนนี้ได้วิชาสูงส่งเช่นนี้มาจากไหนกัน วิชานี้แม้จะดูดาษดื่น ทว่าแท้จริงแล้วลึกซึ้งยิ่ง
“เป็นอย่างไรบ้างล่ะท่านอาจารย์?”
“ไสหัวไปซะ!” เฉียวเหมิงเตี๋ยด่า
เสียงของเฉียวเหมิงเตี๋ยสั่นเครือ ในขณะฉู่ซิวยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“หึหึ…”
หลังจากผ่านไปหลายชั่วยาม
ฉู่ซิวลุกขึ้นยืน หันกลับไปมองยังบัลลังก์ดอกบัวที่อาจารย์ผู้บำเพ็ญหญิงนั้นกำลังคุกเข่าอยู่ด้วยร่างกายอันบอบบาง
“ท่านอาจารย์ ศิษย์ลา”
“เจ้า! ลูกศิษย์อกตัญญู”
ปีศาจฉู่เผยรอยยิ้มขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะจากไป
“เดี๋ยว!”
“...”
“เจ้าถอนตรานี่ให้ข้าได้หรือไม่?” เสียงของเฉียวเหมิงเตี๋ยไม่มีอาการทะนงตนเช่นแต่ก่อนอีกแล้ว กลับกลายเป็นน้ำเสียงอ่อนแรงและน่าสงสารยิ่งนัก
“ไม่ได้…”
“เจ้าศิษย์ชั่ว! เจ้าคิดจะทำให้อาจารย์ตนเองตายเลยหรือไร?”
“หึหึ หากท่านอาจารย์มิอยากให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าพลังของท่านถูกปิดกั้น ก็จงอยู่เงียบ ๆ เถิด!”
“สิ่งที่เจ้าถืออยู่ในมือนั้นมันคืออะไรกันแน่?” เฉียวเหมิงเตี๋ยกัดฟันกรอดจนส่งเสียงดังกระทบกัน นางจ้องมองลูกแก้วสุ่ยจิงที่ฉู่ซิวโยนขึ้นโยนลงในมือข้างขวาอย่างไม่วางตา
“หืม? ท่านถามว่าสิ่งนี้คืออะไรงั้นหรือ? ก็ผลึกที่ใช้บันทึกภาพไงล่ะ”
“อะไรนะ! เจ้ากล้าบันทึกภาพข้าหรือ?” เฉียวเหมิงเตี๋ยผู้เป็นเทพธิดา ใบหน้างดงามนั้นซีดเผือดไปกว่าเดิม
“อย่าตื่นตระหนกไปเลย ข้าเพียงแค่เก็บไว้เป็นที่ระลึกก็เท่านั้น!!”
ฉู่ซิวโบกแขนเสื้อ ก่อนจะเดินจากไปพลางกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ข้าหวังว่าท่านจะฟังคำเตือนจากลูกศิษย์ผู้นี้นะ อย่าได้คิดจะปลดปล่อยตนจากตรานั่นเด็ดขาด”
“ต่อให้ท่านมองไปทั่วทวีปต้าเทียนฉงนี้ ก็ไม่มีผู้ใดสามารถปลดปล่อยท่านจากตรานั่นได้ นอกเสียจากตัวตนของขอบเขตจักรพรรดิจะกลับมาเกิดใหม่”
“แต่น่าเสียดาย… ที่ในโลกนี้ไม่มีตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิอีกแล้ว”
“โอ้ ถึงกระนั้นก็เถอะ! ถือว่าเห็นแก่ความสนิทสนมที่มีต่อกันมาช้านาน ข้าจึงขอเตือนท่านอีกครั้ง! ในใต้หล้านี้ ผู้ที่สามารถปลดปล่อยพันธนาการของตรานั่นได้มีเพียงข้าเท่านั้น หากข้าตาย! ท่านก็จะเป็นคนธรรมดาไปตลอดชีวิตจนกว่าจะถึงวาระสุดท้ายของท่าน”
“หากท่านไม่เชื่อ จะลองดูก็ได้นะ”
“และนอกจากนี้! หากข้าตายขึ้นมา! ภาพที่บันทึกไว้ในผลึกนี่ก็จะแพร่กระจายไปทั่วดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่ซู่ แม้กระทั่งทั่วทวีปต้าเทียนฉง ท่านคงเข้าใจนะ… หึหึ!”
“เจ้าศิษย์ชั่ว… เจ้าจะต้องตายอย่างไม่สงบแน่!!”
“ไอ้เลวทราม ไอ้ไร้ยางอาย ไอ้ต่ำช้า!!”
[ติ๊ง พรสวรรค์ของนายท่านเพิ่มขึ้น 100]
[ติ๊ง พรสวรรค์ของนายท่านเพิ่มขึ้น 100]
[ติ๊ง พรสวรรค์ของนายท่านเพิ่มขึ้น 100]
[พรสวรรค์ของนายท่านบรรลุ 317 「ระดับฟ้า」 อัตราการบำเพ็ญเพิ่มขึ้นยี่สิบเท่า]
[ขั้นการบำเพ็ญของท่านเพิ่มขึ้น สร้างรากฐานระดับสอง สร้างรากฐานระดับสาม...สร้างรากฐานระดับแปด… สร้างรากฐานระดับเก้า]
ระหว่างทางลงภูเขา ระบบแจ้งเตือนก็ยังคงดังก้องอยู่ เมื่อขอบเขตการบำเพ็ญสูงขึ้น พลังทั่วร่างก็เพิ่มพูนขึ้นตามลำดับ ฉู่ซิวมิได้เผยสีหน้าอะไรออกมาแม้แต่น้อย
ในใจไร้ซึ่งความยินดีหรือเศร้าโศก
เขารู้ตั้งแต่ครั้งที่ทิ้งวิชาไว้ที่แดนศักดิ์สิทธิ์ไท่ซู่ในอดีตว่าเฉียวเหมิงเตี๋ยจะช่วยเพิ่มพรสวรรค์ในการฝึกในการบำเพ็ญให้แก่เขา
ส่วนการเพิ่มขอบเขตการบำเพ็ญ? สำหรับเขาตอนนี้ยังคงไร้ซึ่งความสนใจใด เพราะอย่างไรเสียเขาก็ต้องบำเพ็ญใหม่ตั้งแต่ต้นอยู่ดี ขอบเขตการบำเพ็ญเพียงเล็กน้อยนี้ไม่คู่ควรให้เขายินดี ขอบเขตสร้างรากฐานมีความสำคัญยิ่งสำหรับผู้บำเพ็ญ ถ้าเปรียบขอบเขตกงล้อสมุทรเป็นถังเก็บน้ำ ขอบเขตสร้างรากฐานก็เปรียบเสมือนกระบวนการสะสมไม้ไผ่
ยิ่งมีไม้ไผ่มากเท่าใด ขอบเขตกงล้อสมุทรที่สร้างขึ้นก็ยิ่งใหญ่และยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น สามารถบรรจุน้ำบริสุทธิ์ได้มากขึ้น รากฐานของการบำเพ็ญก็จะยิ่งมั่นคงแข็งแกร่ง เส้นทางการบำเพ็ญก็จะยาวไกลยิ่งขึ้น
แม้ก่อนหน้านี้ฉู่ซิวจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในขอบเขตการบำเพ็ญเดียวกัน แต่เขาก็ไม่อาจฆ่าล้างศัตรูที่ระดับสูงกว่าได้อย่างในนิยาย ในการต่อสู้โดยตรง สูงสุดเขาก็เพียงแค่ได้รับชัยชนะเสมอกับผู้ยิ่งใหญ่ระดับเดียวกัน แต่ถ้าต่อสู้นานเข้า เขาก็จะพ่ายแพ้ในที่สุด
คิดแล้วก็อยากรู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?
แท้จริงแล้ว เขาในตอนนี้ก็แข็งแกร่งมากแล้ว แต่เหตุใดเขาจึงไม่อาจก้าวข้ามระดับไปสังหารคู่ต่อสู้ได้ เช่นเดียวกับพระเอกในนิยายล่ะ?
เขาได้ครุ่นคิดถึงปัญหานี้บ่อยครั้ง ในที่สุดก็ได้ข้อสรุป
เพราะหลังจากที่ได้เดินทางมาสู่โลกนี้ เขาก็ถูกกลั่นแกล้งอยู่เป็นเนืองนิตย์ จิตใจเขาจึงได้ดำมืดลง เริ่มก่อการชั่วร้ายอย่างต่อเนื่อง พัฒนาฝีมือขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้ามพ้นขอบเขตพื้นฐานทั้งสี่ ได้แก่ ขอบเขตสร้างรากฐาน ขอบเขตกงล้อสมุทร ขอบเขตเสินเฉียว ขอบเขตปี่อั้น… เพราะเหตุนี้จึงส่งผลให้รากฐานไม่มั่นคง
เหตุผลครึ่งหนึ่งที่เขาถูกตัวตนที่สูงส่งทั้งหลายพิชิตที่ผาสิ้นสุด ก็เพราะเขาเบื่อหน่ายจากการถูกไล่ล่าแล้ว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็เพราะเขาปรารถนาจะสิ้นชีวิตเพื่อจะได้สวมร่างใหม่และเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
เขาต้องการสร้างรากฐานอันยอดเยี่ยม เมื่อถึงเวลานั้นแม้ว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญที่มีวิชาสูงกว่า เขาก็จะสามารถต่อสู้และปราบปรามเจ้าพวกนั้นได้ทั้งหมด
ไม่ได้กลับไปยังถ้ำฝึกตนของตน แต่ขึ้นเรือบินที่เขาเช่าจากสำนัก แล้วออกเดินทางไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่ซู่
เรือบินใช้เวลาไปกว่าครึ่งวัน
ในที่สุดก็มาถึงประตูของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่ซู่ เขาได้ลงทะเบียนกับศิษย์เฝ้าประตู จากนั้นก็ออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่ซู่ เข้าสู่ขุนเขาหมื่นลูก
พลบค่ำมาถึง พระจันทร์เต็มดวงโผล่พ้นขอบฟ้ามาถึงหุบเขาในความทรงจำ ฉู่ซิวประคองตัวยืนบนเรือบิน ริ้วผ้าโบกสะบัด ผมดำพริ้วไหว เขาเงยหน้า นัยน์ตาคมกริบคู่นั้นมองลงสู่ผืนดินของหุบเขา พึมพำกับตนเองว่า “ในอดีตข้าได้ทิ้งทรัพยากรสำหรับสร้างฐานไว้ที่นี่ ไม่รู้ว่ายังคงอยู่หรือไม่?”
เขาควบคุมเรือบินลงจอด
ฉู่ซิวค้นพบก้อนหินสีเทาสูงประมาณหนึ่งฉื่อ*[1] ซ่อนอยู่ท่ามกลางหินรูปร่างแปลกประหลาด จากนั้นเขาก็กัดนิ้วตนเอง ใช้เลือดสดวาดลายดาวห้าแฉก บนก้อนหินนั้น
วูบ!
เลือดลายดาวปรากฏประกายแสงสีเดือด
‘ครื่น!’ สิ้นเสียงกระแทกอันดังกังวาล ก้อนหินค่อย ๆ เปิดออก เผยให้เห็นปากโพรงอันมืดสนิทด้านล่าง เขาไม่ลังเลอะไรใดใด ฉู่ซิวพุ่งกระโจนลงไป
ครึ่งชั่วยามผ่านไป
ฉู่ซิวคลานขึ้นมา หน้าตาคร่ำคร่า แต่ริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มอย่างไม่รู้ตัว ท่าทางของเขาในตอนนี้ดูสบายใจยิ่งนัก เขาได้นำสิ่งของที่ทิ้งไว้ที่นี่นานปีกลับคืนมาแล้ว เพราะไม่มีความหมายที่จะค้างอยู่ที่นี่อีกต่อไป เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงขึ้นเรือบินเดินทางกลับ และเมื่อกลับถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่ซู่ ท้องฟ้าก็พลันสว่างไสว…
“เจ้าขยะไร้ค่า!”
กำลังจะกลับไปยอดเขาอวิ๋นเซี่ย แต่เรือบินขอเขากลับถูกเรือบินสีแดงเพลิงลำใหญ่กว่ากั้นขวางเอาไว้ ฉู่ซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองไปทางนั้น
ปรากฏว่าบนดาดฟ้าเรือบินนั้นจะมีคนอยู่
บุรุษสองคนและสตรีอีกหนึ่งนาง ชายคนหนึ่งนำหน้า สวมชุดคลุมสีม่วง พกดาบยาวไว้เบื้องหลัง มีรอยแผลอยู่ที่มุมตาข้างซ้าย มองกลาย ๆ ดูเหมือนกับอสูรร้ายตนหนึ่ง
จางเหมิงหัวเราะเยาะ “ไอ้ขยะฉู่! นึกว่าเจ้าตายไปแล้วเสียอีก ไม่นึกว่าหายหน้าไปเพียงสิบวัน เจ้าก็วิ่งแจ้นออกมาเสียแล้ว”
“ดูเหมือนเจ้าจะเป็นที่โปรดปรานของเจ้าขุนเขาแห่งยอดเขาอวิ๋นเซี่ยไม่น้อยเลยนะ”
“ถึงกับยอมเสียสมบัติแห่งสวรรค์และโลก เพียงเพื่อซ่อมแซมกงล้อสมุทรให้แก่เจ้าคนไร้ค่าเช่นนี้ด้วย น่าทึงจริง ๆ”
ดวงตาเรียวคมของฉู่ซิวสะท้อนประกายสีเลือด
เขาบังคับเรือบินเปลี่ยนทิศทาง เฉียดเรือบินของพวกนั้นไปอย่างแค่นิดเดียว
ทิ้งท้ายไว้เพียงว่า “สิบวันหลังจากนี้ ณ สังเวียนแห่งชีวิตและความตาย ข้าจะสังหารเจ้าซะ!” ฉู่ซิวจำได้ว่าเมื่อสิบวันก่อน ชายปากดีคนนั้นคือผู้ที่ได้สังหารและทำลายเจ้าของร่างเดิมไป
ฉู่ซิวแสดงท่าทางโกรธเคืองอย่างยิ่ง จางเหมิงและสองสหายรู้สึกพิลึกพิลั่นเมื่อได้ยินเรื่องราว และในพริบตาถัดมา พวกเขาหัวเราะครืนกันเสียงดัง หัวเราะจนน้ำตาไหล
“นี่ข้าฟังผิดหรือไร?”
“นี่มันเรื่องจริงใช่ไหมเนี่ย? เจ้านั่นยังกล้าท้าท่านจางอีก แถมยังพูดว่าจะฆ่าท่านจางอีกด้วย”
จางเหมิงหัวเราะเสียงเย็น เขาจ้องมองไปทางที่ฉู่ซิวจากไป ปลดปล่อยแรงดันของขอบเขตกงล้อสมุทรออกมา เสียงดังไปไกลพันลี้ “เจ้าขยะฉู่! สิบวันก่อนเพราะเห็นแก่หน้ายอดเขาอวิ๋นเซี่ยจึงไม่ได้ลงมือสังหารเจ้า! แต่เมื่อเจ้ายังดิ้นรนหาที่ตายเช่นนี้ข้าก็จะสนองให้เอง!” จางเหมิงกล่าว
“สิบวันหลังจากนี้! หากเจ้าไม่โผล่หัวมาที่สังเวียนแห่งชีวิตและความตาย ข้าจะหาโอกาสสังหารเจ้านอกแดนศักดิ์สิทธิ์ซะ”
ศิษย์จากทุกยอดเขาได้ยินเสียงของจางเหมิง ต่างก็เริ่มพากันวิพากษ์วิจารณ์กัน
“ไอ้ฉู่ซิวนั่น! มันยังกล้าไปสังเวียนแห่งชีวิตและความตายอีกรึ? มันไม่คิดจะเอาชีวิตรอดบ้างเลยหรือไง?”
“ใครจะรู้ สมองมันคงมีปัญหาแน่ ๆ”
“ได้ยินมาว่าเมื่อสิบวันก่อนกงล้อสมุทรของมันถูกทำลายไปแล้ว มันจะเอาอะไรมาปะทะกับจางเหมิงที่เป็นกงล้อสมุทรขั้นปลายได้”
“ช่างมันเถอะ อย่างน้อยสิบวันหลังจากนี้ก็จะมีอะไรให้ได้ดูแล้วนี่ !”
-หมายเหตุ-
[1] ฉื่อ = 15 เซนติเมตร
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว