เธอ...ที่ไม่เข้าตา-ไม่เข้าตาที่เจ็ด : เขยคนรอง (3)

โดย  BVMEOW

เธอ...ที่ไม่เข้าตา

ไม่เข้าตาที่เจ็ด : เขยคนรอง (3)

วันสุดท้ายของเดือนเมษายน บ้านเพียรกุลตกอยู่ในความอึมครึม อาหารเช้าบนโต๊ะเป็นหมันไปโดยปริยาย ไม่มีใครกล้าที่จะเอื้อมไปแตะจานข้าวตรงหน้าแม้แต่คนเดียว ด้วยวันนี้เป็นวันจันทร์ เหล่าข้าราชการทั้งสามรวมถึงพี่เขยก็ตัดช่องน้อยแต่พอตัว พอเจ็ดโมงสี่สิบนาที ทั้งสี่จึงพากันออกจากบ้านโดยทิ้งให้กุสุมาลย์เป็นหนังหน้าไฟ รับโทสะจากมารดาอยู่เพียงผู้เดียว แม้แต่แม่บ้านยังหลบไปอยู่อีกมุมเพื่อไม่ให้ตัวเองโดนหางเลขไปด้วย

ช่างยนต์ตัวน้อยที่ปกติเถียงคำไม่ตกฟาก ทว่าวันนี้กลับไม่มีเสียงใดถูกเอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากแม้แต่คำเดียว เธอทำเพียงก้มหน้ารับคำดุด่าว่ากล่าวจากขวัญเรือนอย่างยอมจำนนต่อฟ้าดิน

“ม้าเคยบอกไหมก้าน”

กุสุมาลย์พยักหน้ารับแต่โดยดี

“แล้วทำไมไม่เคยคิดจะทำตามบ้าง ทำไม่ชอบทำอะไรที่ม้าห้าม เรื่องอื่นๆ ม้ายอมให้เอ็งตลอดนะ ตั้งแต่เรื่องเรียนที่ผ่าเหล่าผ่ากอไปเรียนสารพัดช่าง แทนที่จะได้เข้ามหา’ลัยดีๆ เหมือนเจ๊กิ่ง ไม่ต้องเป็นหมอเป็นพยาบาลก็ได้ แต่มีอีกเยอะแยะให้เป็น ทำไมต้องมาทำตัวปอนๆ อยู่ในอู่ด้วย”

“...”

“แต่สุดท้ายม้าก็ยอมลงให้ ในเมื่ออยากเป็นนัก ม้าก็ยอมให้เป็น เนี่ย จำไม่ได้เหรอว่าวันนั้นม้าโกรธแค่ไหน” มือที่เหี่ยวย่นตามวัยแตะมาที่ใบหู ตอนอายุสิบเจ็ดกุสุมาลย์เคยเจาะหูเจ็ดรู ซ้ายสาม ขวาสี่ กลับบ้านมาพร้อมกับต่างหูที่วัยรุ่นนิยมชมชอบในยุคสมัยนั้น แต่ก็ต้องปล่อยให้ตันเนื่องจากเป็นเรื่องต้องห้ามในบ้าน ก่อนนิ้วชี้จะเลื่อนลงไปที่ข้อมือด้านใน “แล้วไอ้นี่มันยังโผล่มาได้อีกยังไง”

สายตาเรียวเล็กเหลือบมองตามการชี้นำของมารดา ปรากฏตัวอักษรทั้งหมดเจ็ดตัว ‘14 APRIL’ ที่ผิวเนื้อบริเวณโดยรอบยังมีสีแดงเนื่องจากเพิ่งผ่านการสักมาไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง

เธอมองมารดาด้วยหางตา ก่อนเม้มปากไว้แน่นโดยไม่คิดเถียงสักคำ

กุสุมาลย์รับรู้มาตลอดว่ามารดาไม่ยักจะภูมิอกภูมิใจที่เธอเป็นช่าง ไม่ยอมเรียนสายตรงเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ เหมือนพี่สาว ไม่ได้รับราชการเหมือนคนในครอบครัว เธอจึงตั้งใจทำงานให้หนักกว่าชาวบ้าน วันหยุดไม่อยากหยุด เก็บเกี่ยวประสบการณ์มาตั้งแต่อายุยังน้อย สมัยเรียนไม่เคยโดดแม้แต่คาบเดียว เธอเป็นเด็กเนิร์ดในห้องด้วยซ้ำ พยายามตั้งใจเรียนเพื่อกอบโกยวิชาความรู้เข้าสมอง

งานด้านนี้เน้นประสบการณ์ ชั่วโมงบินด้านการปฏิบัติสูงเท่าไรยิ่งเป็นผลดี เธออายุน้อยก็จริง ทว่าผลงานไม่เป็นสองรองใคร เธอหวังว่าความเก่งกาจในด้านที่ตนชอบและถนัดจะทำให้ครอบครัวยอมรับในตัวตนได้จริงๆ โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ

ช่างยนต์สาวพิสูจน์ตัวเองด้วยการทำงานหาเงินโดยไม่ให้เดือดร้อนคนในครอบครัว และเธอทำได้ ตั้งใจจะสร้างธุรกิจของตนด้วยสองมือเล็กๆ ไม่คิดหวังพึ่งพาใคร แม้จะยังไม่สำเร็จแต่เธอก็มีเป้าหมายในชีวิต

ทว่าไม่รู้เสียแล้วว่าต้องพิสูจน์ตัวเองมากแค่ไหนถึงจะเป็นที่ยอมรับ

คำพูดของชยางกูรผุดขึ้นมาในหัว เขาที่รู้จักเธอได้ไม่นานแต่กลับบอกว่าเธอไม่จำเป็นต้องมีชีวิตเพื่อพิสูจน์ตัวเองกับใคร ทั้งๆ ที่เธอก็ไม่ใช่คนที่ภาพลักษณ์ดีเด่นัก ออกจะแย่กว่ามาตรฐานทั่วๆ ไปด้วยซ้ำ คนอย่างชยางกูรนั้นหากจะคบหากับใครสักคน ไม่มีเหตุผลให้เลือกเธอเลยสักนิด เขาสามารถได้เจอคนที่ดูดีกว่าเธอมาก แต่เขาก็ไม่ทำเช่นนั้น ไม่ขอให้เธอเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อใคร กลับกัน เขาจะปรับตัวเข้าหากับเธอ เรื่องนี้ใช่ว่าจะรู้สึกไม่ได้

น้ำตาสีใสหยดแหมะลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก เธอซึ้งใจที่เขาเข้ามาเพื่อพูดประโยคที่แสนใจดีเช่นนั้น และเสียใจที่ตัวเองไม่อาจทำตามได้เพราะอยากทำให้ครอบครัวรู้ว่าต่อให้ทางเดินที่เธอเลือกจะไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาปรารถนา แต่ก็สามารถประสบความสำเร็จได้

กุสุมาลย์ไม่เคยอายที่เป็นช่างยนต์ ไม่เคยอดสูเรื่องที่ตนเรียนไม่สูงเหมือนคนอื่น ไม่เคยเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้เรียนมหาวิทยาลัย เพราะสิ่งที่เธอเลือกทำทุกอย่าง เส้นทางที่เธอเลือกก้าวเดินในทุกๆ ก้าวของชีวิตล้วนมาจากก้นบึ้งของหัวใจ

ไม่เคยเลยสักครั้งที่เธอจะทรยศความรู้สึกของตนเอง

เช่นเดียวกับเรื่องการวาดลวดลายลงบนผิวหนังที่จะอยู่ติดตัวไปทั้งชีวิต เธอก็คิดมันอย่างดี เมื่อวานมีโอกาสได้คุยกับศาตนันท์ อีกฝ่ายนั้นพอรู้ว่าสาวน้อยช่างยนต์อยากสัก หลังเลิกงานเขาก็นัดให้เธอไปที่ร้านเลย ช่วยกันออกแบบตัวอักษรให้ออกมาตรงตามความต้องการ กลายเป็นว่าได้อักษรตัวเล็กๆ ตัวละหนึ่งสีราวเป็นสีของรุ้ง กุสุมาลย์พออกพอใจเป็นอย่างมากกับสิ่งที่ประจักษ์แก่สายตา แม้จะรู้ว่ามารดาอาจจะไม่เห็นด้วย แต่ก็เลือกที่จะสักนอกร่มผ้าเพราะเป็นจุดที่ตนชอบ

เธอเลือกเพื่อตัวเอง ไม่ใช่เพื่อใครอื่น

“ม้าไม่เข้าใจเลยก้าน”

หญิงสาวเงยหน้ามองมารดาทั้งดวงตาแดงก่ำ น้ำตาที่พยายามห้ามไว้หลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย ความรู้สึกมากมายประดังประเดเข้ามากระแทกจิตใจจนรู้สึกบอบช้ำ ริมฝีปากล่างถูกขบเม้มเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น เธอไม่เคยอยากแสดงด้านอ่อนแอให้ผู้เป็นแม่เห็นเลยสักครั้ง โดนกระทำหรือวาจาเชือดเฉือนเช่นไรก็ปรับเปลี่ยนให้เป็นเรื่องตลกได้เสมอ

เธอคิดว่าตัวเองไม่เป็นไรที่ไม่ถูกรัก แต่จริงๆ แล้วความรู้สึกเหล่านั้นค่อยๆ กัดกินหัวใจอย่างไม่รู้ตัวต่างหาก คล้ายเป็นระเบิดเวลารอวันปะทุ ซึ่งก็อาจจะเป็นวันนี้

“หนูก็ไม่เข้าใจ” เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อห้ามน้ำตา ก่อนยกมือมาปาดมันอย่างลวกๆ แล้วหันมามองผู้เป็นแม่ “หนูไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมความชอบของหนู ความต้องการของหนู ทุกๆ อย่างที่หนูเลือกทำ ทำไมม้าถึงไม่เคยเปิดใจยอมรับมันเลย”

ขวัญเรือนเถียงทันควัน “ไม่ยอมรับ? กล้าพูดออกมาได้ยังไงว่าม้าไม่ยอมรับ ไม่อย่างนั้นเอ็งจะได้เรียนสารพัดช่างหลังจบม.ต้นไหม แล้วจะได้เป็นช่างอย่างทุกวันนี้หรือเปล่า ถ้าม้าไม่ยอมรับจริงๆ เอ็งคิดว่าเอ็งจะทำอะไรได้ กับอีแค่บังคับให้เรียนสายตรงมันจะไปยากเย็นอะไร ม้าทำได้ แค่ไม่ทำ”

“แล้วทำไมม้าถึงไม่เคยภูมิใจในตัวหนูเลย หนูเป็นช่างที่เก่ง ทุกคนที่ไม่ใช่ม้าเขาชมหนูกันทั้งนั้น ถ้าเป็นลูกคนอื่นป่านนี้เขาป่าวประกาศไปทั่วแล้ว แต่ม้ายังคิดว่าหนูเลือกผิดที่ไม่ยอมเข้ามหา’ลัยดีๆ แบบเจ๊กิ่งอยู่เลย แบบนี้มันเรียกว่าเปิดใจได้ยังไง ม้าลองถามตัวเองดูว่าลึกๆ แล้วรับสิ่งที่หนูเป็นได้หรือเปล่า”

ครั้งนี้คนอายุมากกว่าจนคำพูด

“ถ้าหนูต่อสายตรง เข้าเรียนมหา’ลัยที่ม้าอยากให้เข้า ทำแบบนั้นม้าถึงจะรักหนูใช่ไหม”

“...”

“ใบก็ไม่ได้เรียนมหา’ลัย แต่จบโรงเรียนตำรวจ ออกมาทำงานมีหน้ามีตาในสังคม ม้าก็พอใจ จริงๆ แล้วม้าต้องการอะไรกันแน่ มหา’ลัยมีชื่อ เรียนสูงๆ หรือรับราชการ แล้วทำไมม้าไม่ทำเอง ชีวิตม้ามีทำไมไม่ใช้มันล่ะ จะมาใช้ชีวิตตัวเองผ่านลูกทำไม ม้าอยากเป็นอะไร อยากเรียนที่ไหน ทำไมถึงไม่เรียนเอง เรื่องแบบนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่หนูชอบ หนูไม่เคยพิศวาสมันสักนิด แล้วทำไมหนูต้องทำ อันที่จริงจะเจาะหู สะดือ ลิ้น จมูก หรือสักเต็มตัว ม้าก็ไม่ได้มาเจ็บกับหนู แล้วทำไมหนูต้องใช้ชีวิตให้ม้าพอใจด้วย ในเมื่อหนูทำอะไรม้าก็ไม่เคยพอใจอยู่แล้ว และถ้าต้องทำให้ม้าพอใจจริงๆ ชาตินี้ทั้งชาติหนูก็คงไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง”

ขวัญเรือนนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยายามตั้งสติเพื่อค้นหาประโยคที่ตนอยากกล่าวออกไป

“ถ้าหนูเลือกเกิดได้ หนูก็ไม่มาเป็นลูกม้าหรอก” หญิงวัยกลางคนสะอึก กลืนคำพูดลงคอหลังได้ยินคำพูดของลูกสาว “ใครมันจะอยากเกิดมาให้แม่ตัวเองเกลียดกัน เขาก็อยากมีพ่อแม่ที่รักและยอมรับในทุกอย่างที่เราเป็นกันทั้งนั้น”

กุสุมาลย์ลุกขึ้นยืนก่อนจะก้าวเดินออกไปทั้งน้ำตาคลอหน่วย เธอไม่คิดจะเหลียวหลังมองมารดา ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะโกรธกันหรือไม่ เพราะไม่เห็นจะมีสักครั้งที่ไม่โกรธเวลาเธอตัดสินใจทำอะไร

รอยสักนี้ก็เป็นเธอที่ทนเจ็บอยู่หลายนาที ตอนเจาะหูก็ไม่มีใครมาเจ็บด้วย แล้วเหตุใดมันจึงไม่เป็นเพียงเรื่องส่วนตัวของเธอ แต่มารดาไม่คิดเช่นนั้น นอกจากเป็นเดือดเป็นร้อนแล้วยังฟื้นฝอยหาตะเข็บ ยกเรื่องที่จบไปนานแล้วมาพูดซ้ำๆ เพื่อตอกย้ำความจริงที่ว่าผู้เป็นแม่ไม่เคยยอมรับในตัวตนของเธอเลย

เส้นทางที่เธอเลือกเดินนั้น เพียงแค่มันต่าง ไม่ได้แปลว่ามันผิด

สาวเจ้าเดินออกจากโต๊ะอาหารเพื่อมุ่งหน้าออกไปทางหน้าบ้านได้ไม่กี่ก้าว ร่างเล็กก็ชะงักกลางอากาศ ก่อนจะเปลี่ยนเส้นทางไปยังชั้นบน ไม่นานก็ลงมาพร้อมกุญแจรถมอเตอร์ไซค์วิบากที่เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่มาจากน้ำพักน้ำแรง ส่วนกุญแจรถยนต์ซึ่งเป็นของขวัญวันเกิดที่ถือไว้ในทีแรกนั้นถูกวางลงตรงหน้ามารดา แล้วจึงเดินออกจากบ้านโดยไม่พูดไม่จาสักคำ


อาจจะเพราะเริ่มวันได้ไม่ค่อยดี วันนี้ทั้งวันช่างผู้หญิงหนึ่งเดียวถึงดูไม่ค่อยสบอารมณ์ ไม่พูดคุยหรือหยอกล้อกับใครอย่างที่เป็นอยู่ประจำ มิหนำซ้ำขอบตายังแดงก่ำจนคนอื่นมองออกว่าผ่านการร้องไห้มา

ไอ้น้องเขย...บุคคลที่ถูกหมายหัวในทันที

ทว่าเมื่อถามไถ่ก็ได้ความว่ากุสุมาลย์มีปากเสียงกับมารดา ที่ปกติพวกเขาทุกคนก็เห็นพ้องต้องกันว่ามีอยู่ตลอด ไม่เคยมีครั้งไหนที่ผู้เป็นแม่จะอ่อนโยนกับลูกสาวคนนี้ แต่เพราะเจ้าตัวมักหัวเราะจนสิ่งนั้นกลายเป็นเรื่องตลกขบขันไปเสีย จนกระทั่งวันนี้ทุกอย่างดูแปลกไปจากเดิม พวกเขาจึงเข้าใจโดยทั่วกันว่ารอบนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อย่างที่ผ่านมา จึงไม่คิดจะแหย่อะไรน้องสาว ให้ได้อยู่กับตัวเองไป

หลังเลิกงานกุสุมาลย์ไม่ได้อยู่ร่วมวงก๊งเหล้ากับพี่ๆ เช่นเคย ซึ่งนั่นไม่ถือเป็นเรื่องน่าแปลกใจของเหล่าช่างยนต์แล้ว เห็นน้องสาวสะพายกระเป๋าคู่ใจพร้อมควบวิบากออกไปทางซ้ายมือเป็นอันเข้าใจว่าไปสนามศรีเมือง

สัทธาภัคเอ่ย “แล้วมันไม่เอาไม้แบดฯ ไป”

วันนี้มีคนมาทำงานเพียงสี่คน ไม่รวมเฮียหมาย ตัดกุสุมาลย์ออก วงเหล้าก็เหลือเพียงสามคน คือพี่ใหญ่ของหนุ่มโสดอย่างบวรรัช อีกสองเป็นสัทธาภัคที่เกิดความสงสัยใคร่รู้เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่ได้พกอุปกรณ์เล่นกีฬาติดตัวไปด้วย คนสุดท้ายคือเตชิตที่เป็นคนตอบคำถามจากการคาดเดา

“มันให้ลูกกระจ๊อกมันพกมาให้เปล่า คนเป็นลูกพี่เขาก็ต้องทำตัวสบายๆ กันทั้งนั้น”

“พูดแล้วก็ขำ” บวรรัชว่า “ไอ้เด็กธินั่นอยู่ๆ ก็มาเรียกไอ้ก้านว่าลูกพี่ แต่ก็เอ้อ เหมาะสม”

แล้ววงเหล้าก็พูดคุยกันไปเรื่อยไปเปื่อย วันนี้คนน้อยเลยตั้งใจว่าจะใช้เวลาในการสังสรรค์ไม่นาน เพราะสัทธาภัคอยากกลับไปหาแฟนแล้วด้วย ทว่าประมาณหกโมงนิดๆ คนที่พวกเขาเคยนินทาก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์เข้ามาในเขตของอู่ เด็กหนุ่มยกมือไหว้อย่างมีมารยาท เท้าก็สาวมาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ วงเหล้า “เลิกงานกันแล้วเหรอครับ”

“ไม่เลิกจะกินได้ไหมล่ะไอ้นี่ ถามมาได้” บวรรัชเป็นฝ่ายตอบ ก่อนจะยิงคำถามใส่ “แล้วมึงมาทำไม วงนี้ไม่ต้อนรับเด็กๆ ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะนะเว้ย กลับไปตั้งวงเล่นแบดฯ กับลูกพี่มึงเถอะ”

ธนพลทำหน้าฉงนครู่หนึ่ง “อา ก็ผมมาที่นี่เพราะลูกพี่ยังไม่ไปที่สนามน่ะครับ เลยมาตาม”

เตชิตสวน “ไปแล้ว ไปสักพักแล้วด้วย”

“ไม่มีนะครับ รถลูกพี่ไม่ได้จอดอยู่ที่นั่น ในสนามก็ไม่มี”

“วันนี้ก้านเอาวิบากไป ไม่ใช่รถยนต์” สัทธาภัคได้ทีพูดบ้าง “หรือว่าวิบากก็ไม่มี”

คนอายุน้อยสุดพยักหน้ารับ “ไม่มีเลยครับ ผมก็คิดว่าน่าจะยังอยู่ที่อู่ ถึงได้มาตาม”

ช่างยนต์ทั้งสามมองหน้ากัน ก่อนจะเห็นพ้องอีกครั้ง...ไอ้น้องเขยแน่ๆ

“ไอ้ก้านนี่มันเอาเรื่องจริงว่ะ สมเป็นน้องพี่แชมป์”

หนุ่มหน้ามนหันไปทางผู้พูดเช่นเตชิต “หมายถึงยังไงครับพี่”

เขารีบโบกมือไล่ทันที “มึงไม่ต้องรู้ เรื่องของผู้ใหญ่เขา ไปๆ วันนี้ลูกพี่มึงไม่ไปออกกำลังกายกับมึงแล้ว โน่น เขาไปออกกำลังกายอย่างอื่น”

สุดท้ายธนพลก็กลับไปยังสนามโดยไม่ได้ตัวลูกพี่ที่ตนนับถือกลับไปด้วย แต่คล้อยหลังที่มาถึงสนามได้ไม่ถึงห้านาที ว่าที่แฟนลูกพี่ก็เดินเข้ามาหยุดที่สนามที่เด็กนักเรียนจับจองไว้ สอดส่องสายตาหาใครบางคน เด็กหนุ่มรู้ว่าอีกฝ่ายมองหาใคร แต่อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมถึงหา จึงเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าร่างสมส่วนที่ผู้ชายด้วยกันยังอิจฉาตาร้อนกับสรีระของชายหนุ่ม

“พี่ไม่ได้อยู่กับลูกพี่เหรอครับ”

ชยางกูรนิ่วหน้า “แล้วก้านไม่ได้อยู่ที่นี่เหรอ”

ธนพลส่ายหน้า “ยังไม่มาเลยครับ ผมไปที่อู่มาเมื่อกี้ พี่ๆ ที่อู่ก็บอกว่าลูกพี่ออกมาสักพักแล้ว แต่ไม่ได้มาที่นี่ นึกว่าอยู่กับพี่”

“ไม่นะ ก็นัดกันที่นี่”

เมื่อวานนัดล่มเพราะกุสุมาลย์เท เธอแค่บอกว่ามีธุระสำคัญจึงเปลี่ยนมาเจอกันวันพรุ่งนี้แทน ซึ่งก็คือวันนี้ ที่แม่นั่นล่มนัดเขาอีกแล้ว ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนมารอได้รอดี ตอนนี้ไม่รู้ไปมุดหัวอยู่ไหน

ริมฝีปากโค้งจากรอยยิ้ม สงสัยเขาจะถูกเด็กแสบเอาคืน

“งั้นพี่ไปแล้ว” พูดจบก็เดินออกจากสนามพร้อมกดโทร. ออกหาคนตัวเล็ก แต่รอจนกระทั่งสายตัดไปเองก็ยังไม่มีคนรับ จะว่าเขานิ่งนอนใจก็ไม่เชิง แค่คิดว่าเธออาจจะมีธุระอะไรบางอย่างจึงไม่สะดวก แต่อีกใจก็เริ่มกังวล ปกติกุสุมาลย์ติดเขาแจ เห็นเขาทีไรไม่ต่างจากหมาเห็นเจ้าของ หากมีหาง มันคงกระดิกไปกระดิกมาแล้วด้วยซ้ำ

เขาลองกดโทร. ออกไปอีกครั้งผลก็ยังเป็นแบบเดิม ความไม่สบายใจเริ่มเข้าแทรกแซงในความรู้สึก ที่พยายามสลัดทิ้งอย่างไรก็ไม่สามารถทำได้ สุดท้ายจึงตัดสินใจโทร. ออกหามารดาของอีกฝ่าย

รอไม่นานท่านก็รับ “สวัสดีครับม้า”

(มีอะไรหรือเปล่าลูก)

“มีครับ พอดีผมอยากทราบว่าน้องไปที่บ้านแล้วหรือยัง เพราะนัดกันที่สนามแต่พวกเด็กๆ บอกว่าน้องไม่ได้มา ที่อู่ก็ไม่อยู่ เมื่อกี้ผมโทร. ไปหาก็ไม่รับสาย” ชยางกูรร่ายยาว “คือน้องไม่ได้บอกน่ะครับว่าจะไปไหน เลยคิดว่าอาจจะกลับบ้าน”

ปลายสายมีท่าทีไม่สบายใจ (น้องยังไม่มาเลยลูก)

“อย่างนั้นเหรอครับ งั้นเดี๋ยวผมลองโทร. ดูอีกที” เพราะกุสุมาลย์หายไปไม่บอกไม่กล่าวกันสักคำ เมื่อทราบว่าคนตัวเล็กไม่ได้อยู่ที่บ้าน เขาจึงอดจะร้อนใจไม่ได้ “ได้เรื่องยังไงแล้วผมจะโทร. บอกนะครับ”

(ฝากด้วยนะ น้องน่าจะหนีไปอยู่ที่ไหนเงียบๆ คนเดียวล่ะมั้ง)

คำบอกกล่าวที่คล้ายคาดเดาของอีกฝ่ายสะดุดใจเขาเป็นอย่างมาก เขามั่นใจว่าที่เธอหายไปอาจจะเพราะมีธุระอะไรบางอย่าง แต่หากหูไม่ฝาดเมื่อครู่เขาได้ยินมารดาของกุสุมาลย์พูดว่า ‘น่าจะหนี’ ซึ่งเป็นคำพูดที่แปลกมิใช่หรือ

เดิมทีคิดว่าจะวางสายเพื่อโทร. หาคนตัวเล็ก แต่ต้องคุยในประเด็นนี้ให้รู้เรื่องเสียก่อน “ทำไมน้องต้องหนีครับ”

เสียงถอนหายใจยาวเหยียดดังออกมาจากปลายสาย เขารับรู้ถึงความหนักใจของคู่สนทนาได้ว่ามีเหลือล้น (เมื่อเช้าม้ามีปากเสียงกับน้องนิดหน่อย เพราะแม่ตัวดีไปสักมา พอดีเรื่องสักหรือเจาะอะไรกับร่างกาย ม้าเคยห้ามไว้แล้วว่ายังไงก็ไม่ให้ทำ แต่ก้านมันก็ไปทำ เมื่อเช้าม้าโมโหเลยเผลอพูดจาไม่ดีใส่ น่าจะงอน)

หลังจากได้รู้จักกับกุสุมาลย์มาสักพัก เขาสามารถพูดได้เลยว่าเธอเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน ความแกร่งที่แสดงให้ใครต่อใครได้เห็นนั้นเป็นแค่เปลือกที่มีไว้ปกป้องหัวใจดวงน้อยๆ หัวใจที่แสนเปราะบางและมีความอ่อนไหวเป็นที่สุด เขาจึงค่อนข้างมั่นใจว่ากุสุมาลย์จะต้องน้อยใจมารดาเป็นแน่ถึงได้หายไปเช่นนี้

“น้องน่าจะมีเหตุผลที่ทำแบบนั้นนะครับ”

(ก็คงจะอย่างนั้น ม้าผิดเองที่ไปพูดจาไม่ดีใส่ ก็คงจะรู้สึกแย่มาก นี่ไม่รู้ว่าหนีไปไหนอีก จะกลับบ้านหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าลูกเจอช่วยพาน้องกลับบ้านหน่อยนะ น้องถึงจะเป็นแบบนั้นแต่ก็ยังเด็กอยู่มาก ต้องกลับมานอนที่บ้านทุกวัน)

“ถ้ายังไงเดี๋ยวผมพยายามโทร. หาเรื่อยๆ แล้วจะเข้าไปรอที่บ้านแล้วกันครับ”

(มาได้เลยจ้ะ)

หลังวางสายจากขวัญเรือนแล้ว ชยางกูรก็กดโทร. ออกหากุสุมาลย์อยู่หลายหน ทว่าไม่มีครั้งไหนที่จะมีคนรับสายเลย เขาจึงวนรถกลับไปที่สมหมายการช่าง ไปถึงก็เจอคนทั้งสามร่วมวงสังสรรค์กันอย่างสนุกสนาน เขาไม่รีรอ โพล่งถามถึงกุสุมาลย์ทันทีเพราะรู้สึกร้อนใจพอสมควร

บวรรัชเป็นฝ่ายตอบ “มีแต่คนมาถามหาไอ้ก้านโว้ย ก็บอกว่ามันไปยิมแล้ว เดี๋ยวนี้มันไม่กินเหล้าแล้ว ไอ้เด็กนั่นน่ะ”

“สหายสุราของพี่แชมป์ ผันตัวไปเป็นนักกีฬาเสียแล้ว”

“ถูกของมึง น้องรักมาทิ้งไปแบบนี้ พี่ๆ ก็ต้อง เอ้า ชน! แด่ไอ้ก้าน น้องสาวของพวกเรา”

เขาลอบถอนหายใจ ทุกครั้งที่คุยกับพวกขี้เมามักจะใช้พลังงานชีวิตมากกว่าปกติ “ก้านไม่อยู่ที่สนามน่ะ โทร. ไปก็ไม่รับสาย พอจะรู้กันหรือเปล่าว่าน้องน่าจะไปที่ไหน”

บวรรัชโบกมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจ “น่า ไอ้ก้านน่ะมันจะไปไหนได้ เดี๋ยวมันก็กลับบ้านเองแหละ ลูกแหง่แบบนั้นนอนที่อื่นไม่เป็นหรอก อย่าไปห่วงนักเลย ให้มันได้อยู่กับตัวเองบ้าง”

สัทธาภัคที่ดื่มพอเป็นพิธีหันมามองคนมาใหม่ “นั่นแหละ ให้มันได้อยู่เงียบๆ คนเดียวของมันไป เดี๋ยวสบายใจมันก็กลับบ้านเอง ไปตามหาก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก”

“แล้วพอจะรู้ไหมว่าน้องไปไหน”

เขาตอบทันควัน “ไม่รู้”

ชยางกูรจึงถอยร่นไปตั้งหลักที่บ้านของอีกฝ่าย เพราะพอจะมั่นใจว่าอย่างไรกุสุมาลย์ก็ต้องกลับบ้าน ถึงกระนั้นเขาก็รู้สึกกระวนกระวายใจอยู่ดี เหตุใดต้องเป็นคนแบบนี้ ไปไหนมาไหนไม่บอกกล่าว ทำคนอื่นเขาเป็นห่วงกันไปหมด

คล้อยหลังไอ้น้องเขย ขี้เมาทั้งสามก็หันมามองกันเป็นตาเดียว

เตชิตเป็นฝ่ายเปิดประเด็น “ใช่ไหม”

ทั้งสองพยักหน้ารับอย่างรู้กัน

พวกเขาพอจะรู้ว่ากุสุมาลย์ไป ‘ที่ไหน’ ทว่าไม่คิดจะบอก เพราะรู้แล้วว่าน้องรักมีเรื่องหนักใจ ต้องให้เวลาได้อยู่กับตัวเองแทนการมีคนอื่นเข้าไปวุ่นวาย เพราะหากเธออยากเจอคนรักจริงๆ หมอนั่นคงไม่ต้องถ่อมาถามพวกเขาถึงที่เช่นนี้ แต่นี่จะเป็นอะไรไปได้หากไม่ใช่ว่ากุสุมาลย์ต้องการความเป็นส่วนตัว แล้วพวกเขาเป็นใครจะไปชี้เป้าให้คนอื่นเข้าไปขัดเจตนารมณ์ของน้องสาวกัน

คนเรานั่นน่ะ ต่อให้รักหรือชอบกันมากขนาดไหนแต่บางครั้งก็ต้องการที่จะอยู่เงียบๆ คนเดียวบ้าง ชยางกูรแค่รออยู่ที่เดิมให้กุสุมาลย์รู้ว่ามีคนรอก็พอ แล้วเธอจะกลับมาเอง

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว