เธอ...ที่ไม่เข้าตา-ไม่เข้าตาที่ห้า : He said yes (2)

โดย  BVMEOW

เธอ...ที่ไม่เข้าตา

ไม่เข้าตาที่ห้า : He said yes (2)

“นั่น...เมียมึง?”

ลมหายใจกรุ่นร้อนระบายออกแรงๆ ตวัดสายตาไปทางเพื่อนเก่า เสียงเข้มกระแทกอารมณ์ดังขึ้น “เออ!”

“สวยว่ะ”

ทั้งๆ ที่เป็นปลื้มเหลือคณาเวลาคนชมกุสุมาลย์ ทว่าหนนี้ทำไมถึงไม่ค่อยพอใจนักก็มิอาจทราบ รู้แค่ว่า ‘สวยว่ะ’ จากปากของเพื่อนทำให้เลือดลมในกายไหลเวียนผิดปกติ เหมือนจะรุนแรงขึ้นจากเดิมอย่างมีนัยยะสำคัญ

มันเพราะเหตุใดกันนะ...?

“พาไปแนะนำให้เพื่อนๆ รู้จักหน่อยดิ”

ชยางกูรไม่ใช่คนมีสัมผัสที่หก เจ็ด หรือแปด แต่วันนี้เขากลับรู้สึกถึงลางร้ายบางอย่างที่แผ่ออกจากตัวอินทัช...ดูเหมือนมันใกล้จะชะตาขาดนะ น่าเป็นห่วงแฮะ

แววตาของชยางกูรไร้ความล้อเล่น จดจ้องเพื่อนวัยเยาว์ราวจะกินเลือดกินเนื้อ “รู้แค่ว่าเป็นเมียกูก็พอ ที่เหลือไม่ใช่โกงการอะไรของมึงเลยคราม”

อีกฝ่ายค่อนขอดกลับมา “ก็หวงเกิน แค่อยากรู้จัก”

เขาผ่อนลมหายใจอย่างนึกหน่าย “ถ้ามึงจะไปกินเหล้ากับไอ้โยก็ไปเหอะ กูไม่สะดวก ไว้รอบหน้า”

“รอบหน้าอะไร รอบหน้ามึงก็พาเขามาอยู่ดี เดี๋ยวก็เบี้ยวเพื่อนไปกกเมียอีกตามเคย” ว่าจบก็ผินหน้าไปทางคนตัวเล็กที่ยืนมองทั้งสองสนทนากันอยู่ที่เดิม

กุสุมาลย์ไม่ได้อยู่ในระยะที่สามารถได้ยินสิ่งที่ทั้งคู่พูด แต่เพราะเธอรอที่จะเข้าบ้านพร้อมแฟนหนุ่มจึงยังไม่ได้ผละตัวไปไหน ทำได้เพียงปั้นหน้ายิ้มให้แขกที่หันมามอง ทว่าสายตาที่ชยางกูรตวัดมาทางเธอนั้นเป็นเหตุให้เผลอสะดุ้งตัว ถึงกระนั้นก็ไม่วายเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แต่เขาไม่ยักจะพูดอะไรด้วย แค่หันกลับไปหาผู้ชายที่นั่งคร่อมอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์

เธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ไยจึงทำเหมือนโกรธกัน

“น้อง พี่ขอยืมตัวไอ้เฉื่อยไปกินเบียร์แป๊บหนึ่งได้ไหม”

เสียงพูดที่ดังขึ้นจนเธอได้ยินนั้น มันเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการพูดกับเธอ ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากตอบเพื่อนของเขา ชยางกูรก็เดินกลับมาหาเสียก่อน เขาฉุดรั้งแขนหวังพาเธอเข้ามาในบ้านและตรงขึ้นห้องนอนบนชั้นสองโดยไม่พูดไม่จา

คล้อยหลังบานประตูปิดลง เสียงหวานก็เอื้อนเอ่ยตามใจคิด “เป็นอะไร ทำไมต้องโกรธก้าน”

เขารีบสวน “ไม่ได้โกรธอะไรก้านเลย”

กุสุมาลย์เพียงแค่มอง แล้วจึงรับคำสั้นๆ “อ้อ” จบคำ ชยางกูรก็ไม่พูดอะไรต่อ เธอจึงเป็นฝ่ายถาม “แล้วเฮียไม่ไปกับเพื่อนเหรอ”

“ไม่อยากไป”

ความเงียบโรยตัวลงทั่วมุมห้อง ก่อนกุสุมาลย์จะทำลายมันด้วยประโยคคำถาม “ทำไม เพื่อนอุตส่าห์มาชวน”

เขาไม่ตอบในทีแรก แค่หย่อนก้นนั่งลงบนเตียงแล้วยื่นมือไปรั้งเอวบางไว้ ออกแรงดึงจนร่างแน่งน้อยเซถลามาหยุดยืนอยู่ตรงกลางระหว่างท่อนขาแข็งแรง วงแขนโอบรัดรอบเอวคอด ด้วยส่วนสูงที่ห่างกันเกินยี่สิบเซนติเมตร เมื่อเขานั่ง ใบหน้าจึงอยู่ระนาบเดียวกันกับอกอวบ

ชยางกูรซบลงที่เนินเนื้อนิ่มอย่างเต็มรัก สูดดมกลิ่นกายหอมหวนชวนหลงใหลของร่างระหง “ถ้าไป ก้านต้องอยู่คนเดียว”

ได้รับคำตอบเช่นนั้นคนที่ถูกพันธนาการด้วยวงแขนแกร่งก็หัวเราะขึ้นอย่างนึกขบขันระคนเอ็นดู หากถามถึงความหวงต้องยอมรับเลยว่ามี เธอหวงชยางกูรพอประมาณ ทว่ามันอยู่ในระดับที่สามารถแยกแยะได้ และการที่เขาจะไปกินดื่มกับกลุ่มเพื่อนนั้นถือเป็นเรื่องที่มีสิทธิ์ทำได้ ยิ่งกับเพื่อนที่บ้านเกิดซึ่งไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอกัน เธอไม่คิดคัดค้าน

“ก้านลงไปดูทีวีกับแม่ก็ได้ เฮียไม่ได้จะกลับดึกใช่ไหมล่ะ”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำ เพราะเขาก็บอกกับอินทัชว่าจะขอคุยกับกุสุมาลย์ก่อน ตอนนี้อีกฝ่ายก็ยังคงปักหลักรออยู่หน้าบ้าน ด้วยเป็นเพื่อนกันมานานเลยไม่อยากจะหักดิบเทอย่างไร้เยื่อใย แต่ก็เป็นห่วงแฟนสาวที่ต้องอยู่บ้านโดยไม่มีเขา ไม่ใช่ว่ากลัวเธอเข้ากับพ่อแม่ไม่ได้ เรื่องนั้นเขารู้ดีว่ากุสุมาลย์รู้จักเข้าหาผู้ใหญ่ จนใครๆ ก็นึกเอ็นดู เขาแค่แคร์ความรู้สึกของกุสุมาลย์และยกให้เธอเป็นอันดับหนึ่ง จะทำอะไรก็ล้วนแล้วแต่คิดถึงเธอก่อนคนแรก รวมถึงเรื่องนี้

“ถ้างั้นก็ไปเถอะ ไม่ค่อยได้กลับบ้านด้วยนี่ กลับมาสักทีจะไม่ไปหาเพื่อนก็กระไรอยู่”

“ก้านอยู่ได้ใช่ไหม”

ใบหน้าหวานผงกขึ้นลงรัวๆ “เดี๋ยวลงไปดูหนังกับแม่ ว่าแต่เฮียนั่นแหละ จะไปยังไง ให้ก้านไปส่งไหม”

“ไม่” เขาสวนทันควัน แค่อินทัชเห็นกุสุมาลย์ไกลๆ เขายังรู้สึกหัวอุ่น หากให้เธอไปถึงถิ่นของพวกมัน มีหวังได้ตัดเพื่อนเป็นแน่หากมีใครเอ่ยปากแซวเธอ “เดี๋ยวเฮียไปกับไอ้ครามเอง ขากลับก็จะให้มันมาส่ง”

“อืม” กุสุมาลย์ลากเสียงในลำคอ “จะเมากันหรือเปล่า ให้ก้านไปรับก็ได้นะ แค่บอกมาว่าอยู่ตรงไหน”

ชยางกูรยังคงยืนยันคำเดิม “เฮียกลับเองได้ ไม่ได้จะดื่มให้เมาสักหน่อย แค่ไปให้พวกมันเห็นหน้าแค่นั้นแหละ คุยแป๊บๆ ก็จะกลับแล้ว”

สาวน้อยผุดรอยยิ้มขึ้นบนกรอบหน้า “ไม่ต้องขนาดนั้น อยู่กินดื่มกับเพื่อนก็ได้ สักสี่ทุ่มค่อยกลับ หรือถ้ากลับไม่ไหวจริงๆ ให้โทร. มาหาก้าน เดี๋ยวไปรับ”

“กลับไหว”

เธอชักหน่ายกับคนดื้อรั้น ก่อนย้ำ “ถ้า-กลับ-ไม่-ไหว”

“ไหว”

กุสุมาลย์ทอดถอนลมหายใจอย่างปลงตก “โอเค ไหวก็ไหว แต่โทร. หาก้านได้ตลอดนะ รู้ใช่ไหม”

“ครับ”

คนตัวเล็กยิ้มออก “ไปเจอเพื่อนบ้างเนอะ เจอแต่ก้านเดี๋ยวก็เบื่อหรอก”

“ไม่เบื่อ” รู้ทั้งรู้ว่ากุสุมาลย์แค่แกล้งเย้า ทว่าเขากลับอดใจไม่ได้ที่จะตอบกลับด้วยเสียงและท่าทีจริงจัง เพิ่มแรงกอดรัดและฝังใบหน้าลงไปลึกกว่าเดิม “อยากอยู่ด้วย ไม่เคยเบื่อเลย”

เธอเสเปลี่ยนเรื่อง “ไปได้แล้ว จะได้ไม่ต้องกลับดึกมาก”

ใบหน้าคร้ามคมผละออกจากอกนุ่มฟู “จะรีบกลับ”

“ไม่ได้เร่ง แค่ไม่อยากให้กลับดึกเฉยๆ เดี๋ยวนอนไม่พอ”

“นั่นแหละ จะรีบกลับ” คนตัวเล็กรับคำอย่างว่าง่าย รู้ดีว่ารั้นต่อก็สู้เขาไม่ได้ “แต่ถ้าง่วงนอนก่อนได้ พรุ่งนี้จะพาไปเล่นน้ำ”

“ไม่เอา จะรอ”

ชยางกูรนึกอยากเปลี่ยนใจไม่ไปกับเพื่อน เธอบอกว่าไม่ได้เร่ง ให้เขาได้พบปะกับเพื่อนให้เต็มอิ่ม แต่ก็ตั้งใจจะอยู่รอจนกว่าเขาจะกลับ มันไม่ได้ทำให้เขาอยากกลับไวแต่อย่างใด แต่ทำให้เขาไม่อยากไปแต่แรกเลยด้วยซ้ำ ทว่าก็เห็นด้วยกับสิ่งที่เธอพูด อย่างไรเสียก็นานๆ ทีจะได้เจอกันสักหน

หลังพูดคุยกันเสร็จสรรพเขาก็เดินลงมาด้านล่างพร้อมแฟนสาว ฝากฝังเธอไว้กับมารดาที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่กลางบ้าน กุสุมาลย์ก็เดินไปนั่งลงที่ว่างข้างกายหญิงวัยกลางคนก่อนสองสาวต่างวัยจะพูดคุยกันอย่างถูกคอ

“ขับรถกันดีๆ นะเฮีย อย่าลืมว่าถ้ากลับไม่ไหวให้โทร. หาก้าน”

ริมฝีปากหนาบิดโค้งเป็นรอยยิ้ม “ครับ”

ตอนนี้เป็นเวลาทุ่มเศษๆ กุสุมาลย์ให้เขาอยู่ได้ถึงสี่ทุ่ม ซึ่งเป็นระยะเวลาที่นานเกินความจำเป็น เขาไม่คิดจะอยู่ดึกขนาดนั้นเพราะหัวใจมันเอาแต่เพรียกหาคนรัก อยากกลับไปนอนกอดแล้วดมดอมกลิ่นกายหอมๆ จนเคลิ้มหลับไปอย่างเช่นทุกคืนที่ผ่านมา

กุสุมาลย์เป็นบทกลอนที่ขับกล่อมเขาให้เข้าสู่ห้วงนิทราได้ดีที่สุด

“เมียอนุญาตแล้ว?”

อินทัชเอ่ยถามเมื่อเห็นเพื่อนเดินออกมาจากบ้าน

ชยางกูรไหวไหล่ “เขาไม่ใช่คนเผด็จการแบบนั้น พูดไปก็หาว่าอวด แต่เมียกูเป็นคนดีน่ะ” พูดพร้อมยักคิ้วหลิ่วตาจนคนมองทำได้เพียงถอนหายใจแรงๆ เป็นการตอบโต้ “มีแต่กูนี่แหละที่ขี้เกียจไปเพราะเหม็นหน้าพวกมึง”

“เออๆ ขึ้นรถเร็วๆ เหอะ ไอ้โยมันรอนานแล้ว”

เขาไม่ตอบอะไร แต่ก็ยอมตวัดขาเพื่อซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไปยังบ้านของอินทัช ที่ซึ่งถูกเนรมิตเป็นสถานที่รวมตัวของกลุ่มเพื่อน

“พวกกูมีเรื่องจะถามมึงเยอะเลย เตรียมตัวไว้เถอะ”


กลิ่นแอลกอฮอล์ตีเข้าจมูกสองสาวต่างวัยทันทีที่ประตูบ้านเปิดออก พร้อมร่างสูงที่ยืนโงนเงนไร้ความมั่นคง กุสุมาลย์รีบถลาไปประคองร่างสูงใหญ่ของแฟนหนุ่มโดยมีมารดาคอยช่วยอีกแรก เมื่อครู่เธอหาได้ยินเสียงเครื่องยนต์เพราะมัวแต่สนใจสิ่งที่อยู่ในหน้าจอสี่เหลี่ยม หัวเราะคิกคักอย่างสบายอารมณ์กับละครที่เพิ่งเคยดู มารู้ตัวอีกทีก็ตอนประตูถูกเปิดโดยคนเมา

สามทุ่มห้าสิบ นั่นคือเวลาที่เขากลับมาถึงบ้าน บอกไปว่าไม่เกินสี่ทุ่มก็ไม่เกินจริงๆ แถมยังมาถึงได้อย่างปลอดภัยเสียด้วย เสียอย่างเดียว สติไม่ค่อยหลงเหลือแล้ว

“น่าจะดื่มหนักหรือเปล่าคะแม่” เธอเอ่ยถามหลังส่งคนเมานอนลงบนเตียงได้ เสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ดังออกมาจากปากหยัก แต่เธอไม่ได้สนใจจะตอบโต้ หันมาหามารดาที่อยู่เป็นเพื่อนเธอรอชยางกูรจนดึกดื่น “เท่าที่รู้จักเฮียก็ดูไม่ใช่พวกชอบดื่ม”

“คอทองแดงด้วยซ้ำ”

หล่อนรู้จักลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตัวเองดี ถ้าไม่ดื่มมากเกินความจำเป็นไม่มีที่จะคอพับได้

กุสุมาลย์หันมองร่างของ ‘คอทองแดง’ แล้วถอนหายใจ เธอไม่เคยเห็นตอนตัวเองเมา แต่คงไม่ต่างกันนัก

“ยังไงก็วานหนูดูแลพี่เขาหน่อยนะ เดี๋ยวแม่ลงไปปิดทีวีแล้วจะขึ้นมานอนแล้วแหละ”

“ได้ค่ะ ที่เหลือหนูจัดการเอง ฝันดีนะคะแม่ แล้วก็ขอบคุณมากๆ เลยค่ะที่อยู่เป็นเพื่อน”

หญิงวัยกลางคนระบายยิ้มรับคำของเด็กสาว ก่อนจะก้าวออกจากห้องพร้อมล็อกประตูให้เสร็จสรรพ เพื่อให้หนุ่มสาวได้ใช้เวลาส่วนตัวด้วยกัน ส่วนหล่อนก็ลงไปปิดประตู โทรทัศน์ และตรวจตราความเรียบร้อยต่างๆ ก่อนเข้านอน

ให้หลังบานประตูปิดลง กุสุมาลย์ก็ขยับกายไปนั่งลงบนเตียง ก่อนหน้านี้ได้ยินเพื่อนของเขาขออนุญาตพาตัวชยางกูรไปดื่มเบียร์ แต่ทันทีที่กลิ่นกายของเขาปะทะจมูกตั้งแต่ก้าวแรกที่ก้าวเข้ามาในบ้าน บุคคลผู้มีความช่ำชองด้านสุราเมรัยก็ทราบได้ทันทีว่าเขาดื่มเหล้า หาใช่เบียร์อย่างที่ฝ่ายนั้นลั่นวาจาไว้

กลิ่นผู้หญิงคนอื่น กลิ่นน้ำหอมบุคคลที่สาม หรืออะไรเทือกๆ นั้นเธอแยกไม่ออก แต่หากเป็นกลิ่นของมึนเมาแล้ว ประสาทรับรู้เธออยู่ในระดับยอดพีระมิดเลยก็ว่าได้

ชยางกูรว่า...ไม่ได้จะดื่มให้เมา ตั้งใจไปคุยประเดี๋ยวเดียวก็กลับ

นี่ขนาดไม่เมา ถ้ากะให้เมามายปานนั้นหัวเขาไม่ราน้ำเลยหรือ

ดีจริงๆ ที่เฉือน้อยไม่มาเห็นสภาพพ่อตัวเองเป็นเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นลูกคงผิดหวังน่าดู เป็นพ่อแบบไหนไม่ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกได้เห็น ขนาดเธอยังพยายามปรับตัว เกิดเฉือน้อยเสียคนเพราะเลียนแบบพ่อเฉือเธอจะทำเช่นไรดีล่ะเนี่ย

มือบางยื่นไปสะกิดแขนคนตัวโต “เฮีย อาบน้ำไหวไหม”

ชายหนุ่มพยายามปรือตามองตามที่มาของเสียง ไม่อาจตอบคำถามเป็นคำศัพท์ได้ มีเพียงเสียงครางอื้ออึง

อันที่จริงเธอไม่น่าถามให้เปลืองน้ำลาย แต่ก่อนก็ประสบปัญหานี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เมาแล้วไม่มีเรี่ยวแรงและสติสัมปชัญญะพอจะกระทำสิ่งใดนอกจากนอน

นอนเท่านั้นที่คนเมาทำได้

“เดี๋ยวก้านเช็ดตัวให้นะ”

เธอเอิ้นบอกโดยไม่คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะตอบโต้ ก่อนจะสาละวนกับการหากะละมังซึ่งก็หาไม่ได้ จึงใช้ขันในห้องน้ำแทน และยังมีผ้าผืนเล็กสำหรับเช็ดตัว หลังเตรียมของเรียบร้อยแล้วก็ตั้งมันไว้ยังโต๊ะข้างเตียง เปลี่ยนความสนใจจากสิ่งที่เคยอยู่ในมือมาที่อาภรณ์ของเขา หากปล่อยให้นอนไปทั้งอย่างนี้ก็เชื่อว่าเขาจะหลับสนิท เพราะทุกครั้งที่คอพับเธอก็หลับสนิทแม้ไม่ได้ทำความสะอาดร่างกาย เขาก็คงไม่ต่าง แต่เพราะอยากดูแล จึงไม่อยากให้นอนไปทั้งแบบนั้น

กุสุมาลย์พยายามถอดเสื้อยืดที่คนเมาสวมใส่ ที่ผ่านมาการถอดเสื้อเขาไม่เคยเป็นเรื่องยากสำหรับเธอเลย แต่หนนี้กลับไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าก็ทำได้ในที่สุดเพียงต้องใช้เวลามากกว่าปกติ กางเกงยีนเป็นสิ่งต่อไปที่ถูกกำจัดให้พ้นกาย ท้ายที่สุดคือปราการที่ปกปิดความเป็นชาย

ใบหน้าหวานขึ้นสีระเรื่อ ตัดสินใจไม่ถอดในทีแรก จะได้ไม่รบกวนการเช็ดตัว ซึ่งขั้นตอนนี้เธอใช้เวลาไม่นานมากนัก จนกระทั่งเช็ดเสร็จถึงได้กลั้นใจถอดอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายออก

นับครั้งไม่ได้แล้วที่ต้องเห็น แต่ครั้งนี้สั่นสติเธอได้ดีที่สุด

ลมหายใจติดขัดอย่างช่วยไม่ได้ พยายามเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ใช้มือที่ถือผ้าเช็ดตัวเช็ดไปตามร่างกายส่วนที่เหลือโดยไม่ใช้สายตามอง อุณหภูมิในกายสาวเพิ่มสูงขึ้นจนใบหน้าร้อนผ่าว

ได้แต่ถามตัวเองว่าจะเขินอะไรนักหนา ใช่ว่าไม่เคยเห็นเสียหน่อย

แต่อีกใจก็เถียงกลับมาทันควัน...ก็ไม่เคยเห็นตอนเขาไม่รู้สึกตัวแบบนี้นี่ ถ้าแอบมอง เธอจะคิดว่าตัวเองกำลังลวนลามเขาเป็นแน่

หลังเช็ดตัวให้เสร็จสรรพก็ปะแป้งเย็นให้สบายเนื้อสบายตัวแล้วจึงสวมชุดนอนให้ เวลานอนชยางกูรไม่ใส่ชั้นใน ไม่ต่างกันกับเธอ เช่นนั้นแล้วแค่ใส่เสื้อและกางเกงให้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

กุสุมาลย์ผ่อนลมหายใจที่อัดอั้นอยู่ในกายออกมา เหลือบตามองคนเมาที่หลับสนิทแล้วส่ายหน้าน้อยๆ “มาว่าคนอื่นเขาเป็นลิง ตัวเองหนักยังกะควายธนูยังไม่เคยว่าเลย”

ได้ระบายอารมณ์แล้วก็พอจะมีแรงใจขึ้นมาบ้าง จึงจัดการเก็บข้าวของที่นำมาใช้ให้เข้าที่เข้าทาง หลังออกจากห้องน้ำก็ตรงไปใกล้ๆ ประตูห้องหวังปิดไฟ ทว่ามือที่ยื่นไปเป็นอันชะงักกึกกลางอากาศ

“ว่าใครเป็นควาย”

“...!”

“ก้าน”

เจ้าของชื่อเหลียวหลังไปมองคนที่เธอมั่นใจว่า ‘เมามายไม่ได้สติ’ ที่บัดนี้ยันศีรษะพิงไว้กับหัวเตียงพลางใช้สายตาโลมเล้าเธอจนสะท้านไปทั่วร่าง ดวงตาฉ่ำวาวเป็นหลักฐานชั้นดีว่าสติของเขาอยู่กับเนื้อกับตัวไม่มากนัก ไหนยังเสียงแหบพร่าที่ถูกเปล่งออกมานั้นมีความยานคางต่างจากเวลาปกติ

เขาเมาอยู่ชัดๆ!

แต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงหวาดหวั่นคนเมาคนนี้ขึ้นมาจับจิต

ชยางกูรเอ่ยเรียกอีกครั้ง “ก้าน”

“จ๋า” กุสุมาลย์ตอบเสียงหวานหวังลดแรงปะทะ มือบางเอื้อมไปปิดไฟจนห้องทั้งห้องตกอยู่ในความมืด จะมีก็แต่แสงจากดวงจันทร์ที่เล็ดลอดเข้ามาได้เท่านั้น ซึ่งก็ไม่มากพอจะให้ความสว่าง ก่อนสองขาจะค่อยๆ เคลื่อนไปยังเตียงนอน คลานเข่าไปยังที่นอนของตนแล้วเอ่ยอย่างออดอ้อน “เฮียง่วงไหมจ๊ะ มา เดี๋ยวก้านโอ๋ๆ น้า เค้งๆ กันเถอะ”

“ว่าเฮีย”

ถึงจะพูดเช่นนั้น คนเมาก็ยังยอมขยับตัวมานอนในอ้อมกอดของคนตัวเล็ก ใบหน้าคมคายซุกลงไปที่อกนุ่มอย่างออดอ้อน กุสุมาลย์ก็เอื้อมมือไปกอดคนตัวใหญ่ไว้ในวงแขนบอบบาง ใช้ฝ่ามือลูบแผ่นหลังอย่างฉอเลาะเพราะเผลอปากเปราะจนคนเมางอน

“ขอโทษ ไม่โกรธกันน้า”

เธอไม่ได้รู้สึกผิดที่ค่อนขอดเขา ก็ตัวหนักจริงๆ นี่นา แค่ไม่ได้ตั้งใจพูดให้ได้ยินก็เท่านั้นเอง ที่พูดไปเพราะคิดว่าเขาไม่มีสติรับรู้สิ่งอื่น แต่พอนึกได้ว่าหากเขามีสติแล้วเหตุใดจึงปล่อยให้เธอพยายามเช็ดเนื้อเช็ดตัวอยู่คนเดียว ไม่ให้ความร่วมมือเลยสักนิด

เสียงเธอไม่อ่อนเหมือนเมื่อครู่ “เฮีย เมาหรือเปล่า”

“เมา” เสียงของเขายานคางไม่เหมือนการแสดง แต่เป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์จริงๆ นั่นยิ่งทำเธอสับสน

“เมาแล้วทำไมรู้สึกตัว”

ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดบริเวณหน้าอกจนท้องน้อยหดเกร็ง “เมาไม่มาก”

“เหรอ ถ้าเมาไม่มากทำไมตอนก้านเช็ดตัวกับเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ถึงไม่ช่วยกันบ้าง มันหนัก”

ผ่านไปเกือบนาทีกว่าเสียงอู้อี้จะดังขึ้นอีกครั้ง “เหนื่อย ปวดหัว”

“ถ้างั้นก็นอนเถอะ ไม่ถาม-”

“มันมอมเฮีย”

“ฮะ ว่าอะไรนะ ใครมอมใคร”

บทสนทนาขาดห้วงไประยะหนึ่ง “ไอ้พวกนั้น”

กว่าจะพูดได้แต่ละประโยคต้องใช้เวลาพอสมควร ราวกับเขากำลังต่อสู้กับฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย การสื่อสารกับคนเมาไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงกระนั้นกุสุมาลย์ก็ยังคงใจเย็น พยายามลูบแผ่นหลังกว้างอย่างอ่อนโยนอยู่เสมอ

ประหนึ่งกล่อมให้คนตัวโตได้นอนหลับฝันดีไปในอ้อมกอดของตน

“ก็ไม่เป็นไร เมาก็เมา ไม่ว่ากัน”

เขายังตอบกลับได้ “ไม่อยากเมา จะกลับบ้าน”

เธอหลุดยิ้ม เคลื่อนฝ่ามือไปทาบทับบนกลุ่มผมสั้นดกดำ ลูบไล้ไปมาอย่างแผ่วเบา “อื้อ ก็กลับมาแล้วนี่ไง”

วงแขนแกร่งโอบรัดเธอแน่นขึ้น “กลับมากอดเมีย”

“ก็กอดอยู่”

“กอดนานๆ” ชายหนุ่มที่สติการรับรู้เหลือไม่มากยังคงตั้งหน้าตั้งตาพูดต่อ “ไม่ไปไหน”

ชยางกูรที่เมามายแทบไม่ได้สติเช่นนี้รับมือยากชะมัด ทั้งขี้น้อยใจ ทั้งขี้อ้อน อย่างกับเป็นเด็กๆ แน่ะ หัวใจของเธอต้องทำงานหนักอีกแล้ว มันเริ่มจะเต้นไม่เป็นจังหวะเอาเสียเลยเมื่อต้องเจอคนเมาจู่โจมเข้าอย่างจัง

“โอเค ต่อไปนี้ไม่ให้ไปไหนแล้ว ให้อยู่แต่กับก้านทั้งวันทั้งคืนเลย เอาไหม”

เขายังไม่ตอบ ริมฝีปากหนาง่วนอยู่กับหน้าอกที่มีเพียงเสื้อยืดขวางกั้น กดจูบซ้ำๆ ที่เนินเนื้อขาวผ่อง ทำขนกายสาวลุกซู่ด้วยความซ่านในกามารมณ์ ก่อนเสียงเอื่อยๆ จะดังขึ้น “เอาครับ”

“หือ เอาอะไรคะ”

ชยางกูรเงียบ กุสุมาลย์ก็นิ่งงันหลังนึกได้ว่าตัวเองเพิ่งพ่นอะไรโง่ๆ ออกไป ถ้าไม่ใช่เพราะสัมผัสวาบหวามของเขาที่ทำให้เธอเคลิ้มไปชั่วขณะ ก็คงไม่ลืมสิ้นคำถามที่เอ่ยปากถามอีกฝ่ายเอง เช่นนั้นแล้วพอเขาตอบ เธอถึงได้สับสนว่า ‘เอา’ อะไร

ผ่านไปหลายนาทีชยางกูรก็ยังไม่ตอบ ริมฝีปากหยุดการเคลื่อนไหว ลมหายใจสม่ำเสมอ...เขาหลับไปแล้ว

กุสุมาลย์ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่

รอดตัวไปอย่างหวุดหวิดนะยายก้านเอ๊ย เกือบพลาดท่าตัวเองเสียแล้ว!

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว