ท่านสามี อย่าโอหัง -ตอนที่ 44  ตัวตลก

โดย  Enjoybook

ท่านสามี อย่าโอหัง

ตอนที่ 44  ตัวตลก

ตอนที่ 28 ไร้ความช่วยเหลือ


“อ้า”


เก้าอี้ล้มลงตามมาด้วยเสียงร้อง หลิงซานฉิงรู้สึกตกใจ นางมองไปทางต้นเสียงก็เห็นเจี่ยนเจี่ยนนั่งอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าขาวซีด สองมือยกขึ้นปิดหูมองดูพวกเขาด้วยความหวาดกลัว


หลิงซานฉิงมีท่าทางเคร่งขรึมขึ้น เจี่ยนเจี่ยนออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?


หรือว่าไฟไหม้เมื่อครู่นี้ เด็กน้อยก็เห็นมันเข้าแล้ว? เมื่อคิดดูก็คงจะใช่ ท่าทางเช่นนี้คงจะกำลังตกใจหวาดกลัว ดึกดื่นค่อนคืนเกิดไฟไหม้ ผู้คนโหวกเหวกโวยวายเสียงดัง หัวหน้าหมู่บ้านก็มีท่าทางดุร้าย เจี่ยนเจี่ยนที่ยังเด็กขนาดนี้จะไม่ตกใจได้อย่างไร


ตอนนี้ไม่ใช่เวลาไปสนเรื่องอื่น นางมองหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเย็นชา “หัวหน้าหมู่บ้านช่างสนใจเรื่องของลูกบ้านจริง ๆ ตอนนี้เรื่องก็คลี่คลายแล้ว คงไม่เหมาะที่หัวหน้าหมู่บ้านจะอยู่ในบ้านคนอื่นตอนดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ ท่านควรกลับไปได้แล้ว”


เห็นได้ชัดว่านางกำลังไล่เขา หัวหน้าหมู่บ้านที่กำลังเดือดดาลยังไม่ทันได้ระบายออกมา จะกลับไปได้อย่างไร หลิงซานฉิงเป็นคนช่างพูดนัก แต่ไม่ใช่ว่ายังมีฉาจืออันที่เป็นหนอนหนังสืออยู่รึ?


เขาหันไปหาฉาจื่ออันทันที “เจ้าสาม เจ้าไม่สนเมียเจ้าเลย นี่มันไม่มากเกินไปหน่อยรึ ใครใหญ่ที่สุดกันแน่ในครอบครัวเจ้า คงไม่ใช่ภรรยาเจ้าหรอกใช่หรือไม่?”


คล้ายกับฉาจื่ออันเป็นเหมือนจิ้งจอกที่ถูกเหยียบหาง เขาตอบคำถามไม่ได้ไปชั่วขณะ หลิงซานฉิงรีบร้อนเข้าไปดูเจี่ยนเจี่ยน ครั้นเห็นชายคนนี้ไม่ยอมกลับไปสักที นางก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเย็นชา “หรือท่านหัวหน้าหมู่บ้านเป็นใหญ่ในบ้านรึ? เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะไปคุยกับเหยียนเอ๋อร์ตัว ผู้ชายจะเป็นใหญ่ในบ้านได้อย่างไร”


คนทั่วทั้งหมู่บ้านรู้ว่าเหยียนเอ๋อร์ตัวเป็นคนดุร้าย ในบ้านว่าดุร้ายแล้ว อยู่ด้านนอกก็เป็นคนที่ไม่ควรดูถูก เพราะปากของนางนั้นสามารถทำคนโมโหตายได้


หัวหน้าหมู่บ้านไร้ปากเสียงทันที หลิงซานฉิงไม่ให้เวลาเขาได้คิดอะไรก็กล่าวขึ้นมาอีกว่า “ฉาจื่ออัน ไปปล่อยไอ้ดำบ้านเราออกมา!” ตอนนี้นางโกรธจัด หัวหน้าหมู่บ้านคิดอยากจะไปตอนนี้ก็คงไม่ได้แล้ว


หัวหน้าหมู่บ้านถึงกับตกใจสุดขีด ไอ้ดำคืออะไร? หรือว่าบ้านพวกเขาเลี้ยงสัตว์ดุร้ายงั้นรึ?


ฉาจื่ออันนิ่งอึ้ง พลางกระซิบเบา ๆ ข้างหูนาง “ซานฉิง ไอ้ดำคืออะไร?” เหตุใดเขาจึงไม่รู้ว่าเลี้ยงไอ้ดำอะไรไว้ในบ้านด้วย ฟังดูแล้วช่างเหมือนชื่อสุนัข


หลิงซานฉิงตบหัวเขาทันที และจ้องมองอย่างโกรธเคือง “ไอ้ดำไม่ใช่สุนัขที่เราเลี้ยงไว้ในบ้านหรอกหรือ ปิดประตูบ้านแล้วปล่อยหมาออกมา ให้มันกัดจนตายไปเลย!”


“บ้า บ้าไปแล้ว!” หัวหน้าหมู่บ้านตกใจอย่างมาก เขาเคยถูกสุนัขกัดตอนเด็ก ๆ เรียกได้ว่างูกัดครั้งเดียว กลัวเชือกไปสิบปี[1] ตอนนี้หลิงซานฉิงยังจะปล่อยหมาออกมาอีก ช่างโหดร้ายยิ่งนัก


ไม่ได้ เขาอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว หากเสียหน้าก็ยังเอาคืนกลับมาได้ แต่หากถูกกัดจนพิการ ครึ่งชีวิตที่เหลือของเขาคงไม่มีหน้ามีตาอีกแล้ว


เมื่อคำนวณดูแล้วว่าไม่คุ้มที่จะอยู่ต่อ หัวหน้าหมู่บ้านจึงรีบเร่งออกไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว


และก่อนที่จะจากไป เขาก็ไม่ลืมที่จะกระแทกประตูปิดเสียงดังเพื่อระบายความโกรธ


หลิงซานฉิงไม่มีเวลาไปสนใจ นางเดินไปหาเจี่ยนเจี่ยนขณะที่สั่งฉาจื่ออัน “ปิดประตูให้แน่น”


นางเดินเข้าไปอุ้มเจี่ยนเจี่ยนขึ้นมา ร่างเล็กของเด็กน้อยสั่นเทาอยู่ในอ้อมแขน นางจึงรีบอุ้มเขาเข้าไปในบ้านทันที


ภายในบ้านมืดสนิทจนมองไม่เห็นสิ่งใด แต่เมื่อหันกลับไปก็เห็นฉาจื่ออันยืนอยู่หน้าประตู นางจึงเอ่ยด้วยความโกรธที่สั่งสมมานาน “เจ้าซื่อบื้อ เจี่ยนเจี่ยนตกใจกลัวไอ้บ้านั้นอยู่ ตอนนี้ก็รีบไปจุดเทียนสองสามเล่มมาสิ มันมืดจนข้ามองไม่เห็นอะไรเลย”


น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่ก็แฝงไปด้วยความเป็นห่วงอยู่บ้าง เมื่อฉาจื่ออันได้ยินแวบเดียวเขาก็ไม่พอใจเล็กน้อย แต่เมื่อได้ยินว่าเจี่ยนเจี่ยนตกใจกลัว ความไม่พอใจอันน้อยนิดพลันมลายหายไป ก่อนจะรีบไปจุดเทียนในห้อง


หลิงซานฉิงวางเจี่ยนเจี่ยนลงบนเตียง ทันทีที่กำลังจะลุกขึ้น นางก็เจ็บจี๊ดที่หัว เจี่ยนเจี่ยนผล็อยหลับไปแล้ว แต่มือเล็กของเด็กน้อยยังจับผมของนางไว้ ดูแล้วเด็กน้อยคนนี้คงจะตกใจมาก


นางค่อย ๆ ดึงผมออกจากมือเล็กอย่างระมัดระวัง แม้เจี่ยนเจี่ยนจะหลับสนิทไปแล้ว แต่ร่างกายยังคงสั่นเทาอยู่ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาตามหน้าผากและไหลลงมา ไม่นานก็ทำให้หมอนเปียกชื้นไปหมด


แม้นางจะไม่ได้เป็นผู้ให้กำเนิดเด็กคนนี้โดยตรง แต่ก็เป็นคนแรกที่นางพบเห็นบนโลกใบนี้ และเป็นคนที่นางชื่นชอบที่สุด ยามนี้เห็นเด็กน้อยตกใจกลัวจนกลายเป็นเช่นนี้ นางจะไม่เจ็บปวดใจได้อย่างไร


ฉาจื่ออันเองก็ตอบสนองกลับไปโดยไม่รู้ตัว เขาเอื้อมมือไปเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้เจี่ยนเจี่ยน และมีท่าทางกังวลอย่างเห็นได้ชัด “เหตุใดตัวเขาถึงได้ร้อนเพียงนี้ ข้าจะไปตามหมอมา”


หลิงซานฉิงรู้สึกปวดหัว ก่อนจะรีบคว้าแขนเขาเอาไว้ “เวลานี้จะไปตามหมอที่ไหน พวกเราไม่มีเงินจ้างหมอแล้ว”


น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะนางนำเงินก้อนสุดท้ายไปใช้ในการเพาะเห็ดก็คงจะไม่เป็นอย่างตอนนี้ แม้แต่เงินจะจ้างหมอก็ยังไม่มี


ไม่มีเงิน? ความรู้สึกนี้ทำให้ฉาจื่ออันนิ่งอึ้ง หันกลับไปมองนางครู่หนึ่ง


หลิงซานฉิงก้มหน้าลง “อยากจะพูดอะไรก็พูดมาเถอะ เรื่องนี้ข้าเป็นคนผิดเอง”


เดิมทีเขาก็ไม่ได้สนับสนุนให้นางนำเงินไปซื้อสิ่งของทั้งหมดโดยไม่เหลือเงินไว้เลย


ทว่าไม่นานฉาจื่ออันก็ถอนหายใจออกมา “เจ้าดูเจี่ยนเจี่ยนไว้ ข้าจะไปเอาอ่างน้ำมา”


แปลกมาก ไม่นึกเลยว่าฉาจื่ออันจะไม่ตำหนินาง หลิงซานฉิงยังคงตกตะลึง เมื่อได้ยินเสียงปิดประตูถึงได้ฟื้นสติกลับมา พลางมองเจี่ยนเจี่ยนที่กำลังหวาดกลัว


ไม่นานนัก ฉาจื่ออันก็เข้ามาพร้อมกับอ่างน้ำ เขาบิดผ้าขนหนูแล้ววางลงบนหน้าผากเจี่ยนเจี่ยน


เพียงชั่วครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยขึ้น “เจ้าอย่าได้กังวลมากเกินไปเลย ถึงอย่างไรมันก็มีทางออกเสมอ” คำพูดห้วน ๆ นี้ไม่พูดเลยยังจะดีเสียกว่า เมื่อคำพูดนี้หลุดออกไป เขาก็แอบรู้สึกรังเกียจตัวเอง


ขณะที่หลิงซานฉิงที่เฝ้าดูเจี่ยนเจี่ยนอยู่ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาใด ๆ หลังจากได้ยินคำพูดนี้


ทั้งสองเฝ้าเด็กน้อยอยู่ข้างเตียง ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ รุ่งสางก็ย่างเข้ามาถึงแล้ว ฉาจื่ออันนวดขาของเขาที่กำลังชา พลางเหลือบมองภรรยาและลังเลเล็กน้อย “เจ้า...อยู่บ้านดูเจี่ยนเจี่ยนนะ ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย”


ไม่รู้ว่านางได้ยินหรือไม่ แต่เมื่อไม่เห็นปฏิกิริยาตอบรับจากนาง ฉาจื่ออันก็เดินออกไปข้างนอก


ในเดือนมิถุนายน พืชผลทางการเกษตรกำลังเจริญเติบโต ผู้คนไม่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปลงพื้นที่ และบนถนนในหมู่บ้านก็มีคนสัญจรไปมาไม่มากนัก


ฉาจื่ออันเดินก้มหน้า ระยะห่างจากบ้านตัวเองจนถึงบ้านตระกูลฉานั้นไม่ถึงหนึ่งร้อยลี้ แต่กลับทำให้เขารู้สึกเหมือนเดินไปไกลร้อยลี้


เขาถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ทำให้สองคนที่เดินผ่านมาได้ยินเข้า คนหนึ่งมองแผ่นหลัง แล้วส่งเสียงจิ๊ปากออกมา “เมื่อคืนไฟไหม้บ้านลูกชายคนที่สามของตระกูลฉา และไฟนั้นเกือบจะเผาห้องครัวไปแล้ว”


“ข้าว่าสภาพนี้ ห้องครัวคงไหม้ไปหมดแล้ว คงไม่มีอาหารกิน เลยต้องกลับไปบ้านแม่เพื่อขออาหาร”


“แม่เฒ่าฉาคนนั้นก็ไม่ใช่คนดีอะไร บ้านก็แยกกันแล้ว ยังจะสนความเป็นอยู่ของพวกเขารึ”


“เรื่องนี้ใครจะไปรู้ล่ะ...”


เสียงของทั้งสองเริ่มห่างออกไปเรื่อย ๆ ครั้นฉาจื่ออันได้ยิน เขาก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ พลางถอนหายใจออกมาอีกครั้ง และเมื่อเห็นว่าประตูบ้านของตระกูลฉายังเปิดอยู่ เขาก็รู้สึกโล่งใจ


หากไม่จำเป็นต้องรบกวนมารดา เขาก็คงจะไม่ไปรบกวน เพราะหากมารดารู้เรื่องนี้เข้าก็ไม่รู้ว่าจะก่อเรื่องอะไรขึ้นอีก


ขณะที่คิดอยู่นั้นก็มาถึงประตูหน้าบ้านของพี่ใหญ่ เขาเคาะประตู คนข้างในส่งเสียงตอบกลับอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อคนข้างในมองเห็นเขา สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที “นี่ไม่ใช่เจ้าสามรึ เช้าตรู่เช่นนี้มีเรื่องอะไรรึ?"


ฉาจื่ออันหัวเราะแห้งออกมา เขามองซ้ายแลขวาและกำลังจะเข้าไปข้างใน พี่ใหญ่ก็เอ่ยห้ามเขาไว้ทันที “มีเรื่องอะไรก็พูดกันตรงนี้แหละ พี่สะใภ้กับหลานเจ้ายังหลับอยู่” เขาพูดไปด้วยพลางพลักฉาจื่ออันออกไปข้างนอกด้วย


ฉาจื่ออันเผยสีหน้าลำบากใจออกมา เขากระแอมไอเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ก็มีเรื่องเล็กน้อย คือ…”


พี่ใหญ่เป็นคนตรงไปตรงมา และไม่ชอบท่าทางเช่นนี้ของเขามากที่สุด จึงตะโกนออกมาอย่างรำคาญ “อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่ได้ มีเรื่องอะไรก็รีบ ๆ พูดมา เดี๋ยวข้าต้องไปลงพื้นที่อีก ไม่มีเวลาว่างเหมือนเจ้าหรอกนะ”


เสียงตะโกนนี้ทำให้ทุกคนในบ้านออกมากันหมด


เมื่อฉาจื่ออันเห็นผู้คนมากมายก็ยิ่งอึดอัดมากขึ้นไปอีก เดิมทีเขากังวลว่าจะไปรบกวนคนอื่นถึงได้แอบเข้ามาหา แต่ตอนนี้ทุกคนออกมากันหมดแล้ว


เมื่อฉาซื่อเห็นว่าเป็นฉาจื่ออันก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “จื่ออัน เหตุใดเจ้าถึงกลับมาล่ะ นังผู้หญิงต่ำช้าคนนั้นทำเรื่องงามหน้าอะไรหรือเปล่า? หรือว่าเจ้าถูกไล่ออกมา?” นางพูดพลางสำรวจเขาไปด้วย สายตาที่ไม่ปิดบังอะไรของนางทำให้ฉาจื่ออันยิ่งรู้สึกอับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี


ไม่ใช่ว่าคำพูดของฉาซื่อไม่น่าฟัง ด้วยนิสัยของหลิงซานฉิงก็ใช่ว่าจะทำเรื่องเช่นนี้ออกมาไม่ได้


หลิวซื่อคิดขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว พลางตบไปที่ต้นขาของตัวเอง “เมื่อคืนข้าได้ยินเสียงโหวกเหวกดังมาจากบ้านเจ้าสาม คล้ายกับว่าไฟไหม้อะไรสักอย่าง หรือว่าบ้านถูกเผาไปแล้ว?”


คำพูดนี้น่ารังเกียจอย่างมาก ชายที่อยู่ข้าง ๆ นางจึงไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย “อย่าพูดอะไรมั่วซั่ว” ครั้งก่อนที่ขายเรื่องฉาจื่ออัน เขายังรู้สึกผิดมาจนถึงตอนนี้ และไม่รู้ว่าฉาจื่ออันจะแก้แค้นกลับเมื่อไหร่


สายตาแปลก ๆ ของแต่ละคน และคำพูดที่น่าเกลียดเหล่านี้ ฉาจื่ออันเป็นปัญญาชนธรรมดาคนหนึ่ง เขาจะรับมือกับเรื่องนี้ได้อย่างไร ใบหน้าเขาแดงขึ้นเพราะความอึดอัด ก่อนจะกระแอมออกมาเบา ๆ เพื่อปกปิดความอับอาย “พี่ใหญ่ พี่รอง ข้ามีเรื่องจึงมาหาพวกท่าน พวกท่านออกไปคุยกับข้าได้หรือไม่…”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น หยางซื่อก็รู้สึกไม่พอใจทันที “มีเรื่องอะไรถึงบอกต่อหน้าทุกคนไม่ได้ เหตุใดต้องไม่ให้ใครเห็น แม้แต่ท่านแม่ก็รู้ไม่ได้รึ?”


คำพูดนี้ทำให้ฉาซื่อครุ่นคิดและทำหน้าบึ้งตึงออกมา “จื่ออัน เจ้าจะลืมข้าจริง ๆ ไม่ได้นะ ภรรยาเจ้าก็ไม่ได้มาด้วย มีเรื่องอันใดก็พูดออกมาเลย แม้แต่ข้าก็รู้ไม่ได้เชียวรึ?” พูดจบ นางก็ถอนหายใจยาว


ฉาจื่ออันไม่อยากได้ยินคำเหล่านี้มากที่สุด เขาเม้มปากแน่น รู้สึกลำบากใจขึ้นมา


สักพักหนึ่ง เขาก็ถอนหายใจออกมาแรง ๆ “ท่านแม่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าจะบอกเลยแล้วกัน” เขาเตรียมตัวครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เจี่ยนเจี่ยนไม่สบาย ข้า…ไม่มีเงินพาไปหาหมอ จึงมาหาพี่ใหญ่กับพี่รองเพื่อขอยืม…”


“ป่วยก็ไปหาหมอสิ จะมาหาพวกเราทำไม เราไม่มีเงิน!” ก่อนที่เขาจะพูดจบ หลิวซื่อเป็นคนแรกที่ไม่ฟัง หลังจากตวาดเสร็จนางก็กระแทกประตูปิดและกลับเข้าไปในห้อง


ครั้นหยางซื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้านางก็เปลี่ยนไปและถอนหายใจออกมา “น้องสาม ไม่ใช่ว่าเราไม่ช่วยเจ้า นี่เพิ่งจะเดือนหกเอง เงินนั้นยังจำเป็นสำหรับช่วงปีใหม่ หากเราให้เจ้ายืมไปแล้วเราจะอยู่อย่างไร เจ้าก็เห็นครอบครัวของเราแล้ว หลานของเจ้าอดอยากปากแห้งเพียงใด?”


ทุกประโยคทิ่มแทงไปที่จุดอ่อนของฉาจื่ออัน เขาบิดชายเสื้อ มีสีหน้าลำบากใจ และก้มหน้าลงครู่หนึ่ง “เช่นนั้น... คงไม่ได้สินะ”


เห็นได้ชัดว่าพี่สะใภ้ใหญ่ไม่อยากให้ยืมเงิน จากนั้นหยางซื่อก็เข้าไปในห้องตามหลังหลิวซื่อไป


พี่ใหญ่มองฉาจื่ออัน พลางยักไหล่และถอนหายใจออกมา “เจ้าก็เห็นแล้ว พี่สะใภ้เจ้าไม่เห็นด้วย พี่เองก็ทำอะไรไม่ได้ เจ้าลองไปถามบ้านอื่นดูเถิด”


นี่เป็นการตัดหนทางของฉาจื่ออันอย่างชัดเจน แม้แต่ครอบครัวเดียวกันก็ยังไม่เต็มใจให้ยืม นับประสาอะไรกับคนนอก ใครจะชอบพวกเขากัน พวกนั้นคงแทบอยากจะออกห่างเลยเสียด้วยซ้ำ


ฉาจื่ออันถูกปฏิเสธ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็หันไปมองมารดา อีกฝ่ายก้าวถอยหลังทันที ราวกับกำลังซ่อนตัวจากโรคระบาด และนึกอยากจะตัดความสัมพันธ์ทิ้งไปจริง ๆ “เจ้าอย่ามองข้าเช่นนี้สิ ภรรยาเจ้าไม่ใช่คน ข้าคงช่วยไม่ได้ อีกอย่างพ่อนางก็เป็นถึงขุนนาง จะขาดเหลือเงินได้อย่างไร? เจ้าไปยืมที่พ่อนางเถอะ ข้าไม่สนอะไรแล้ว!”


ยิ่งพูดสีหน้านางก็ยิ่งตึงขึ้น และยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น


[1] คืออาการที่โดนอะไรสักอย่างทำร้ายให้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียหาย ทำให้เข็ดหลาบ​หวาดกลัว ไม่กล้าพบเจอสิ่งเหล่านั้นอีกนาน ทั้งที่บางทีอาจจะไม่เป็นอย่างที่คิด


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว