ตอนที่ 55 หัวแตกเลือดออก
ผู้คนมากมายที่ดูอยู่ต่างหัวเราะออกมา ปู่ของฉาจื่ออัน? คงเน่าเปื่อยอยู่ในดินไปนานแล้ว จะปีนออกมาได้อย่างไร? นังเด็กนี่ปากร้ายจริง ๆ ดูเหมือนการที่พวกเขามายืนอยู่หน้าประตูบ้านนางวันนั้น นางถือว่าได้ใจดีกับพวกเขามากแล้ว
ฉาซื่อก้าวไปข้างหน้าด้วยความโกรธจัด พลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงไม่ด่ากลับไปอีก แต่กลับนั่งลงบนโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง “ข้าไม่คุยกับนังตัวซวยที่อกตัญญูนี่หรอก ฉาจื่ออันล่ะ? ลูกชายข้าล่ะ? ลูกชายข้าเป็นบัณฑิต มีเหตุผล เจ้าไปเรียกลูกชายข้าออกมา ข้าจะคุยกับเขา สะใภ้ต่อต้านแม่สามีเช่นนี้ เขาจะจัดการอย่างไรกันแน่”
ถามหาลูกชาย? หลิงซานฉิงยิ้มเยาะอย่างเหยียดหยาม นางเดินเข้าไปในบ้าน คิดว่าเอาฉาจื่ออันมาอ้างแล้วจะหยุดนางได้รึ ฝันไปเถอะ เมื่อเข้าไปในห้องก็เห็นฉาจื่ออันอับอายจนไม่มีหน้าที่จะมองนาง นางมุ่ยปากและดึงแขนเขา “ออกไปกับข้า แม่เจ้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้า ดูซิว่าจะยังก่อเรื่องได้อย่างไรอีก”
นางจงใจไม่ลดเสียงลง และไม่กลัวว่าคนที่อยู่ด้านนอกจะได้ยินคำพูดของตนเอง ต่อให้ฉาจื่ออันไม่มีหน้าจะออกไปพบใครมากเพียงใด เขาก็จำต้องออกไปเดี๋ยวนี้ หลังจากออกไปเขาก็เห็นมารดานั่งอยู่ที่นั่นอย่างเย่อหยิ่ง เขารุดขึ้นหน้าด้วยสีหน้าไม่เต็มใจ และก่อนที่จะเอ่ยอะไร มารดาก็รีบพุ่งมาอยู่ด้านข้างและดึงแขนเสื้อเขาไว้ไม่ยอมปล่อย
นางแสร้งทำเป็นร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลออกมาอย่างขมขื่น “จื่ออัน ดูเมียเจ้าสิ นางไม่เคารพปู่ของเจ้าที่ตายไปแล้ว นี่ก็หมายความว่านางไม่สนใจตระกูลฉาเลย หากนางฆ่าแม่วันอื่นล่ะ? โอ๊ยสะใภ้เช่นนี้ตระกูลฉาเรารับไม่ได้ อีกอย่างตอนนี้ภาพวาดเจ้าก็มีมูลค่าแล้ว บทกวีของเจ้าก็โด่งดัง ยังกลัวว่าจะหาความกตัญญูไม่ได้รึ? เจ้าฟังแม่ หย่ากับผู้หญิงคนนี้ซะ ไปหย่าเดี๋ยวนี้เลย!”
เห็นได้ชัดว่าร้องไห้อยู่ แต่กลับไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว แถมท่าทางอย่างกับอยากจะกินคน
ฉาจื่ออันอับอายจนไม่มีหน้ามาเจอใครเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และตอนนี้เขาแทบอยากจะมุดดินหนี ได้แต่รูดมือของหญิงชราออกมาจากข้อมือตัวเอง “ท่านแม่ เหตุใดท่านถึงไม่มีเหตุผลเช่นนี้ล่ะ หากไม่ใช่เพราะซานฉิง ข้าจะมีวันนี้ได้อย่างไร อีกอย่างซานฉิงคือเมียที่แต่งงานอย่างถูกต้อง จะมีเรื่องอะไรก็ไม่สามารถหย่าได้ ท่านแม่รีบกลับบ้านไปเถอะ”
หลิงซานฉิงกอดอกยืนอยู่ข้าง ๆ นางพยักหน้าอย่างชื่นชม เขายังรู้จักปกป้องนางอยู่ แต่คนมากมายที่หน้าประตูต่างมีความคิดแตกต่างไป
“ลูกสะใภ้แบบนี้รับไม่ไหวหรอก หากเป็นบ้านข้าคงหย่าไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว”
“นางก็ไม่ได้ทำอะไรผิดร้ายแรงเสียหน่อย แถมยังมีฝีมือดี มีสิทธิ์อะไรให้คนหย่ากัน? แม่เฒ่าฉายังมีเหตุผลอยู่รึ?”
“ทำไม เจ้าชอบนางแล้ว? เจ้าก็แค่ศิษย์หลายใจ ผู้หญิงแบบนี้สมควรหย่าแล้ว”
“แม่เฒ่าฉาพูดถูก ผู้หญิงคนนี้เอาไว้ไม่ได้ หากยังให้อยู่ในครอบครัว ไม่ช้าก็เร็วคงทำลายทุกคน”
คนที่ไม่ได้เรียนทำพู่กันขนห่านก่อนหน้านี้ต่างชังหลิงซานฉิงไม่น้อย เมื่อมีโอกาสที่นางจะสะดุดล้มแล้ว ใครจะไม่อยากผลักนางกันล่ะ
ฉาจื่ออันเป็นคนที่ยึดมั่นในเหตุผล คงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้เขาหย่า แต่เมื่อเห็นมารดายังคงยืนกราน เขาก็มีสีหน้ารำคาญ “ท่านแม่ ท่านรีบกลับไปเถอะ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่หย่ากับซานฉิง”
ภายใต้ความรำคาญ เขาจึงขึ้นเสียงใส่
เจี่ยนเจี่ยนที่กอดขาหลิงซานฉิงอยู่ตกใจน้ำเสียงเขาจนไหล่สั่นไปด้วยความกลัว น้ำตาเม็ดใหญ่หลั่งริน เด็กน้อยสะอื้นไห้สองครั้ง แต่เมื่อเห็นฉาซื่อถลึงตาใส่ น้ำเสียงก็เบาลงมาก และสองแขนที่กอดอยู่นั้นก็ยิ่งกอดแน่นขึ้นไปอีก
ฉาซื่อโกรธจนไม่มีที่ระบาย กระทั่งได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กน้อย “เจ้าเด็กดวงซวยร้องไห้ไว้ทุกข์รึ? หญิงชราอย่างข้ายังไม่ตาย คงให้เจ้าสมหวังไม่ได้ ยังไม่รีบฮึบเอาไว้อีก หากร้องอีกข้าจะฉีกปากเจ้าซะ!”
ท่าทางดุร้ายยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีก หลิงซานฉิงสังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่าร่างเล็กสั่นสะท้านด้วยความกลัว เด็กน้อยรีบกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ นางเห็นแล้วก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที
นางก้มตัวไปอุ้มเจี่ยนเจี่ยนขึ้นมาทันทีโดยไม่สนใจฉาซื่อ พลางเหลือบมองหญิงชราและเดินเข้าไปในบ้าน นางรังเกียจที่จะสนใจคนที่อาศัยความเป็นผู้ใหญ่มาด่าว่าคนอื่นเช่นนี้!
ครั้นฉาซื่อเห็นว่าหลิงซานฉิงกำลังจะจากไปก็ไม่สนใจคำพูดของฉาจื่ออัน นางย่างสามขุมเข้าไปคว้าแขนเสื้อหลิงซานฉิงเอาไว้ “เจ้าคิดจะหลบรึ? เรื่องมันยังไม่จบ หากวันนี้เจ้าไม่มีคำอธิบายให้ข้า ใครหน้าไหนก็ออกไปจากที่นี่ไม่ได้ทั้งนั้น อยากไปก็เอาเงินที่หามาได้ออกมาก่อน หลังจากแบ่งให้ทุกคนแล้วเจ้าจะไปทำอะไรก็ไปทำ ข้าก็คร้านที่จะสนใจเจ้า”
หลิงซานฉิงชะงักฝีเท้า นางอุ้มเจี่ยนเจี่ยนไว้แน่น แววตาค่อย ๆ เผยความเย็นชาออกมา หญิงสาวไม่ได้พูดอะไรสักคำ ครู่หนึ่งนางจึงเคลื่อนสายตามองไปที่ฉาจื่ออันอย่างเย็นชา
อีกฝ่ายรู้สึกสะดุ้งเมื่อถูกมอง ตอนนี้ถึงเวลาที่เขาจะออกมาแก้ปัญหาแล้ว หากเขายังหลบหนีอยู่ต่อไป จะต้องทำร้ายหัวใจของนางแน่ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กัดฟันอย่างแรง ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าแล้วดึงมือมารดาออกไป
“ท่านแม่ มีเรื่องอะไรพวกเราก็คุยกันดี ๆ ท่านทำเช่นนี้มันทำให้เจี่ยนเจี่ยนตกใจ ซานฉิงจะไม่โกรธท่านได้อย่างไร” น้ำเสียงนั้นฟังดูดีขึ้นกว่าเดิม ฉาซื่อพอใจกับท่าทางของเขา นี่มันไม่ใช่ว่ายอมจำนนต่อนางแล้วรึ
ทันใดนั้นนางก็เริงร่าขึ้นมา สองมือเท้าเอว “ไม่ทะเลาะก็ได้ เจ้าบอกให้ภรรยาเจ้านำเงินที่หามาได้ออกมาแบ่งให้พวกเรา อีกอย่างข้าต้องการจะมาอยู่ที่นี่ นี่คือบ้านลูกชายข้า ข้ายังไม่เคยมาอยู่ที่นี่เลย”
บ้านของหลิงซานฉิงเพิ่งปรับปรุงใหม่ได้ไม่นาน จึงดูดีกว่าบ้านคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านพอสมควร ผนังสร้างด้วยปูน กระดาษบนหน้าต่างก็ทำออกมาได้เหมือนกับสีเคลือบมันเงา เมื่อยืนอยู่ข้างนอกก็จะรู้สึกได้ถึงความโล่งกว้าง บ้านดี ๆ เช่นนี้อย่าว่าแต่ฉาซื่อไม่เคยอยู่เลย เหล่าคนชนบทอย่างพวกเขาก็ไม่มีใครเคยอยู่ในเช่นกัน
แววตาหลิวซื่อสั่นไหว ยิ่งบ้านนั้นดีเท่าไหร่นางก็ยิ่งอิจฉา แต่ก่อนหน้านี้นางก็ไม่มีเหตุผลที่จะย้ายเข้าไปอยู่ ทว่าตอนนี้แม่สามีอยากอยู่ด้วย นางก็มีเหตุผลที่เหมาะแล้วไม่ใช่รึ
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “นั่นสิ ท่านแม่ไม่เคยมาอยู่ที่นี่เลย จะพูดอย่างไรนี่ก็คือบ้านของลูกชายท่านแม่ ท่านเลี้ยงดูเจ้าสามมาก็หลายปี จะอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ก็ได้”
นางเดินเข้าไปอยู่ใกล้ฉาซื่อ สีหน้าเต็มไปด้วยการประจบสอพลอ “และอีกอย่าง ข้าเป็นกังวลว่าจะไม่มีใครดูแลท่านแม่เมื่อมาอยู่ที่นี่ ดังนั้นข้าก็จะอยู่ที่นี่ด้วย จะได้คอยปรนนิบัติท่านทุกวัน”
นางวางแผนอย่างดิบดี แต่ไม่นึกเลยว่าฉาซื่อจะไม่สนใจนางเลยแม้แต่น้อย “เจ้าจะมาอยู่ที่นี่ทำไม? งานการในไร่ในไม่ทำแล้ว? ยกเว้นเวลามาเรียนทำพู่กันขนห่านกับหลิงซานฉิง ก็ไปทำงานในไร่นาให้ข้า คิดจะอู้งานรึ ไม่มีทางซะหรอก!”
ฉาซื่อเองยังไม่กล้ารับประกันเลยว่านางจะอยู่ที่นี่ได้ ตอนนี้มีคนเพิ่มขึ้นมาอีก หลิงซานฉิงจะเห็นด้วยรึ?
หลิวซื่อไม่ได้ถูกเอาใจแต่กลับถูกรำคาญ หยางซื่อรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเรื่องนี้ไม่มีทางทำสำเร็จ จึงไม่ได้ก้าวเข้าไปร่วมด้วย นางเพียงรออยู่ที่เดิม หากแบ่งเงินได้ อย่างไรมันก็มีส่วนของนาง หลังจากนั้นก็สามารถติดตามหลิงซานฉิงเพื่อเรียนรู้วิธีทำพู่กันขนห่านได้ แล้วเหตุใดจะต้องเข้าไปก่อเรื่องด้วย
เรื่องที่ฉาซื่อก่อขึ้นมาไม่จบสิ้นสักที หลิงซานฉิงจึงมุ่ยหน้าเพราะความหิว นางยังคงมองฉาจื่ออัน และใช้สายตาส่งสัญญาณให้เขาจัดการ ซึ่งทางที่ดีควรไล่ฉาซื่อกับคนอื่น ๆ ออกไปให้หมด
ไม่ง่ายเลยที่เขาจะดึงมารดาเอาไว้ และตอนนี้ต้องไล่คนออกไปอีก เขาไม่มีทางเลือก จึงทำได้แค่มองกลับไป และส่งสายตาขอความช่วยเหลือ
ฉาจื่ออันพูดคำหยาบกับแม่ของเขาต่อหน้าผู้คนมากมายคงไม่ดีนัก แต่หลิงซานฉิงกลับไม่เข้าใจ หากเข้าใจ นางก็คงต้องจัดการด้วยตัวเอง
สุดท้ายหลิงซานฉิงก็มองไปทางฉาซื่อ “พวกเราแยกบ้านกันเมื่อสองเดือนก่อนแล้ว แยกกันอย่างใสสะอาด แล้วตอนนี้เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาเอาเงิน? อีกอย่างเคล็ดลับการทำพู่กันขนห่านนั้นก็เป็นคนอื่นที่สอนข้า ทั้งยังกำชับอีกว่าไม่ให้เผยแพร่ให้คนนอก เจ้าให้พวกนางมาเรียนการทำพู่กันขนห่านเพื่อทำให้ครอบครัวดีขึ้นข้าเข้าใจได้ แต่ก็ไม่สามารถผิดสัญญาได้ สรุปก็คือข้าไม่สอน” ก่อนหน้านี้นางเคยบอกว่านางไม่สอน จะถามอีกกี่ครั้งมันก็เหมือนเดิม
อะไร? แบ่งเงินไม่ได้? สำหรับฉาซื่อ ไม่มีอะไรจะน่าโมโหไปกว่าการไม่ได้เงิน ฉับพลันนางก็โกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที และชี้ไปที่หลิงซานฉิง “นังบ้า แยกบ้านแล้วอย่างไร เจ้าไม่ให้ข้ารู้จักลูกชายเลยรึ? ข้าประคบประหงมเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ขอเงินมาใช้หน่อยไม่ได้เชียวรึ? ครอบครัวเจ้ามีเงินมากมาย แบ่งมาให้ข้าใช้หน่อยแล้วมันจะทำไม เจ้าจะกลับไปจนอีกรึ?”
“เหตุใดเจ้าถึงสอนทำพู่กันขนห่านไม่ได้ล่ะ? พี่สะใภ้ทั้งสองของเจ้าเป็นคนนอกรึ? นังสารเลวที่กอบโกยผลประโยชน์เข้าตัวเอง ข้าจะตีเจ้าให้ตาย” นางยื่นแขนออกไปจะตีคน
คล้ายกับพื้นดินสั่นไหวด้วยร่างกายอันอุดมสมบรูณ์ของนาง หลิงซานฉิงปกป้องเจี่ยนเจี่ยนที่อยู่ในอ้อมแขน นางเอียงข้างหลบ ฝ่ามือของฉาซื่อปะทะกับอากาศ แต่เนื่องจากความเชื่องช้าของร่างกาย ทำให้หญิงชราซวนเซแทบจะล้มลง
ฉาซื่อโกรธอย่างมาก นางเคลื่อนสายตาไปมองหลิวซื่อและหยางซื่อ “พวกเจ้าไปจับนังบ้านั่นให้ข้า ข้าไม่เชื่อหรอกว่าคนมากมายขนาดนี้จะจัดการนางเพียงคนเดียวไม่ได้”
หลิวซื่อและหยางซื่อที่ไม่ได้เรียนทำพู่กันขนห่านก็ขุ่นเคืองอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของฉาซื่อ พวกนางก็รีบพับแขนเสื้อขึ้นทันที หลิงซานฉิงอุ้มเจี่ยนเจี่ยนอยู่ ร่างกายของนางจึงไม่ว่องไวเหมือนแต่ก่อน ไม่ต้องพยายามอะไรมากก็จับนางไว้ได้
ฉาซื่อส่งเสียงเย้ยหยันออกมาพร้อมกับก้าวไปข้างหน้า สบถด่าออกมาราวกับจะกินคน
ฉาจื่ออันไม่กล้ารอแม้แต่น้อย รีบไปยืนขวางตรงหน้ามารดา หากให้มารดาจับหลิงซานฉิงได้คงแย่แน่ หากไม่ตีจนตายก็ต้องตีจนร่างกายได้รับบาดเจ็บ
“เจ้า ไอ้ลูกที่กอบโกยผลประโยชน์เข้าตัวเอง หลบไปเดี๋ยวนี้ ผู้หญิงเช่นนี้เจ้าจะปกป้องไปทำไม? เจ้าอยากให้ข้าโมโหตายใช่หรือไม่?” ฉาซื่อแทบจะถูกฉาจื่ออันกอดเอาไว้จนก้าวต่อไปไม่ได้
ฉาจื่ออันส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ “ไม่ได้ ท่านแม่ ท่านจะทำร้ายคนอื่นได้อย่างไร ซานฉิงยังอุ้มเด็กอยู่นะ ถือว่าข้าขอเถอะ ท่านช่วยมีเหตุผลหน่อยได้หรือไม่?”
คำพูดเหล่านี้เป็นการราดน้ำมันเข้ากองไฟ ฉาซื่อโมโหจนทนไม่ไหว “เจ้าหลบให้ข้าเดี๋ยวนี้!” นางผลักฉาจื่ออันอย่างสุดกำลัง อีกฝ่ายที่ไม่กล้าใช้แรงมากในการหยุดนางเอาไว้ตอนแรก เมื่อถูกนางผลักเช่นนี้ เขาก็ล้มลงไปข้าง ๆ
เสียงบางอย่างกระแทกดังขึ้นมา หัวของฉาจื่ออันกระแทกเข้ากับขาโต๊ะหิน ของเหลวร้อนไหลลงมาจากหน้าผาก ย้อมขาโต๊ะหินและพื้นดินเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว
หลิวซื่อเห็นสิ่งนั้นด้วยสายตาที่ว่องไว พลันมีสีหน้ากระวนกระวายขึ้นมา ก่อนจะแผดเสียงกรีดร้องและปล่อยตัวหลิงซานฉิง นางถอยหลังไปสองก้าว ประหนึ่งพยายามพิสูจน์ว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเอง
“เลือด! สวรรค์ เหตุใดหัวของเจ้าสามถึงมีเลือดออกมา?” หยางซื่อก็เหมือนกับเป็นคนที่ไม่เคยเห็นโลกมาก่อนเช่นกัน ในวันธรรมดาฆ่าไก่ตัวหนึ่งยังเห็นได้น้อยมาก นางจะเคยเห็นคนเลือดไหลเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แถมยังไหลออกมาจากหัวด้วย
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว