ท่านสามี อย่าโอหัง -ตอนที่ 5 การเตรียมการฝึกฝน

โดย  Enjoybook

ท่านสามี อย่าโอหัง

ตอนที่ 5 การเตรียมการฝึกฝน

ตอนที่ 5 การเตรียมการฝึกฝน


หลิงซานฉิงไม่สนใจ สายลมวสันต์พัดมาทำให้เส้นผมของนางปลิวไหว คำพูดของฉาจื่ออัน เป็นเหมือนก้อนกรวดที่ถูกโยนทิ้งลงไปในทะเลสาบ นอกจากเสียงร้องของแมลงและนกแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น


กระทั่งฉาจื่ออันเดินเข้าไปดูสิ่งที่หลิงซานฉิงขีดเขียนด้วยถ่านไม้ชั้นดี ก็ถึงกับยืนนิ่งอยู่ด้านข้างราวกับต้นไม้


ศาลาสิบลี้ที่คดเคี้ยว ใบหลิวปลิวไหวไปตามสายลม ภูเขาสูงต่ำเชื่อมต่อกันเป็นระลอก ชายชราเครายาวยืนรับสายลมอยู่บนถนน และมีชายร่างสูงยืนอยู่อีกข้างถือขลุ่ยยาวเป่าเพลงอำลา


ลายเส้นที่ดูเหมือนจะเรียบง่าย ทว่ากลับแสดงอารมณ์ของคนและมิตรภาพที่แท้จริงออกมาได้อย่างลึกซึ้ง


ฉาจื่ออันถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงง “ไม่นึกเลยว่าเมียข้าจะวาดภาพเป็น! และภาพวาดนี้ ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย!”


ภาพวาดนี้เรียกได้ว่าเป็นการสร้างสำนักขึ้นมาใหม่ หากเขาไม่เห็นกับตาตัวเอง เขาคงไม่เชื่อว่ามันถูกวาดขึ้นโดยหลิงซานฉิง


หลิงซานฉิงหมุนแท่งถ่านในมือของนางอย่างพอใจ คืนก่อนหน้านี้นางไปห้องครัวก็เพื่อนำสิ่งนี้มา ระดับความแข็งของมันนั้นค่อนข้างอ่อน จึงยังเป็นอุปสรรคในการวาดของนางเล็กน้อย


นางเคยเรียนกับศาสตราจารย์ที่สถาบันวิจิตรศิลป์ในชาติก่อน แม้ฝีมือการวาดภาพของนางไม่ถึงกับดีมากทว่าก็ไม่เลวนัก นางแค่นำมาหลอกคนในโลกนี้ได้ก็เพียงพอแล้ว


“ซานฉิง ข้าขอดูหน่อย! ข้าจะได้มีโอกาสเห็นทักษะการวาดภาพอันยอดเยี่ยมเช่นนี้ในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ ช่างไม่เสียแรงที่ข้ามาที่นี่เลย! ไม่นึกเลยว่าข้า ฉาจื่ออัน ที่แต่งตั้งตัวเองเป็นอันดับหนึ่งในด้านการวาดภาพ แต่กลับไม่รู้ว่าคนข้างกายเป็นถึงระดับปรมาจารย์!” เมื่อฉาจื่ออันเห็นหลิงซานฉิงวาดเส้นสุดท้ายเสร็จ เขาก็แทบรอไม่ไหวที่จะแย่งภาพวาดของนางมา


หลิงซานฉิงตีมือของเขาทันที แสร้งทำเป็นมีลับลมคมในพลางถอนหายใจออกมา และเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าซื่อบื้อ อยากเรียนหรือไม่?”


หากเอ่ยถึงข้อดีของคนผู้นี้ว่ามีอะไร นอกจากจะรับผิดชอบหลิงซานฉิงแล้ว ก็เหลือเพียงแค่ชอบหนังสือกับการวาดภาพเท่านั้น “หากไม่มีสิ่งใดที่ชอบเป็นพิเศษก็มิอาจคบหากันได้” คนเช่นนี้ยิ่งมีจิตใจเข้มแข็งตรงไปตรงมากว่าคนที่ไม่มีความสนใจใด ๆ เสียอีก


ฉาจื่ออันพยักหน้าอย่างเชื่อฟังราวกับเด็กที่กำลังตั้งใจยามเรียนหนังสือ และแสดงสีหน้าคาดหวังออกมา


หลิงซานฉิงแสร้งมองเขาด้วยสีหน้าลำบากใจ “ข้าสามารถสอนเจ้าได้ เพียงแต่ศิษย์ที่สำนักวาดภาพของเรารับจะต้องยอมรับเงื่อนไขสามประการของอาจารย์! ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจถ่ายทอดทักษะการวาดภาพให้ได้”


ใบหน้ารูปไข่ของอีกฝ่ายดูเหมือนจะกำลังบวมแดงจนหลิงซานฉิงกลั้นขำเอาไว้ไม้ได้ นางหยิกต้นขาตัวเองเอาไว้จึงหุบยิ้มได้ในที่สุด


ฉาจื่ออันถามอย่างรอบคอบ “ขอเพียงแค่ทำให้ข้าทราบว่าภาพเช่นนี้วาดออกมาได้อย่างไร ไม่ว่าจะเงื่อนไขอะไร ข้าก็รับได้หมด!”


หลิงซานฉิงแอบตำหนิเขาในใจ เจ้าคนซื่อบื้อนี่ สมควรถูกหลอกจริง ๆ นางยกมือขึ้นและเริ่มนับ “เงื่อนไขแรก เจ้าต้องนำเงินทั้งหมดที่เจ้ามีให้แก่ ข้าไม่อนุญาตให้ถามว่าข้าจะเอาไปใช้ทำสิ่งใด เงื่อนไขที่สอง ข้าสอนเจ้าวาดอย่างไร เจ้าก็ต้องวาดตามนั้น ห้ามถามข้าว่าทำไม ส่วนเงื่อนไขสุดท้ายรึ ข้ายังคิดไม่ได้ รอข้าคิดได้เมื่อใดข้าจะบอกเจ้าอีกที”


ฉาจื่ออันพยักหน้ารัว ๆ และรีบล้วงกระเป๋าเสื้อนำเศษเงินออกมาวางไว้ในมือนาง “เงินพวกนี้เจ้าเอาไปก่อน หากไม่พอ ข้าค่อยไปเอาจากท่านแม่มาให้”


หลิงซานฉิงคลำชั่งน้ำหนักเงิน “เงินเท่านี้พอแล้ว และเรื่องนี้ห้ามให้แม่เจ้ารู้”


ปิดเป็นความลับ? เขาคิดในใจว่าเรื่องเล็กเช่นนี้ไม่มีปัญหาหรอก เขาเหมือนกับเด็กดีที่นำภาพวาดใส่ไว้ในแขนเสื้อราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า “ซานฉิง ตอนนี้พวกเรากลับกันเถอะ และเจ้าก็สอนข้าวาดภาพ!”


ใจร้อนขนาดนี้เชียวรึ? หลิงซานฉิงกลอกตา “เจ้ารีบร้อนอะไร ข้าจะไปตลาดเพื่อซื้อของบางอย่างก่อน รอกลับไปแล้วค่อยว่ากัน!”


หลังจากที่เห็นหลิงซานฉิงกับฉาจื่ออันออกไปจากบ้านตระกูลฉา หัวหน้าหมู่บ้านตัวที่ซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลก็ถือโอกาสในตอนที่ไม่มีคนเพื่อลอบเข้าไปในบ้านตระกูลฉา และในตอนที่เข้าไปเขาก็ไม่ลืมที่จะปิดประตูด้วย


ฉาซื่อกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ เมื่อเห็นหัวหน้าหมู่บ้านเข้ามาก็กระโดดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที


“เจ้ามาทำอะไรที่นี่! เมื่อวานนี้ต้องโทษข้อเสนอของเจ้า คนก็ไม่ได้พาไป แถมยังสร้างปัญหาให้ครอบครัวข้ามากมายอีก! คืนก่อนข้าไปหาเจ้า ทำไมเจ้าถึงไม่อยู่?” ฉาซื่อเอ่ยพลางถือถ้วยดินเผาที่เต็มไปด้วยน้ำและสาดไปทางหัวหน้าหมู่บ้าน


หัวหน้าหมู่บ้านทำหน้าทะเล้นและเอนตัวหลบ เขาแย่งถ้วยมาดื่มสองสามอึก พลางเช็ดปาก “หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าคุณชายรอง ถึงอย่างไรข้าก็จะไม่ช่วยเจ้า ไม่ง่ายเลยที่จะหาวิธีให้เจ้าได้ ลูกสะใภ้คนนั้นของเจ้าเป็นคนทำพัง แล้วเหตุใดต้องมาลงที่ข้า? เมื่อคืนข้าไปขอความเมตตาแทนเจ้า ตราบใดที่ลูกสะใภ้ของเจ้าเต็มใจไปขอพึ่งพาคุณชายรอง เงินห้าร้อยตำลึงนั้นคุณชายรองก็หาได้ไม่ยากหรอก!”


เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด สีหน้าของฉาซื่อก็ผ่อนคลายลงและพยักหน้ารับ


หลังจากออกจากศาลาสิบลี้ก็กลับไปยังที่ที่ทั้งสามคนเคยไปเดินเล่นก่อนหน้านี้อีกครั้ง หลิงซานฉิงซื้อแป้งสาลีมาเล็กน้อย จากนั้นก็พาอีกสองคนเดินตรงไปยังร้านตีเหล็ก โดยปล่อยให้ทั้งสองรออยู่ด้านนอก และเดินเข้าไปข้างในคนเดียว


หลังจากที่หลิงซานฉิงเข้าไปไม่นาน นางก็ออกมาด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ ในมือของนางเต็มไปด้วยถุงผ้าเล็ก ๆ ฉาจื่ออันมองดูสิ่งของในมือของนางอย่างสงสัย “ซานฉิง จะเอาของพวกนี้ไปทำอะไรรึ … ”


หลิงซานฉิงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความขัดใจ “ทำไม ลืมสิ่งที่อาจารย์บอกเจ้าไปเร็วขนาดนี้เลยรึ?”


ตอนนี้นางจับจุดอ่อนของฉาจื่ออันได้แล้ว เขาจึงหุบปากลงอย่างเชื่อฟังและมองไปรอบ ๆ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราวกับว่าคำพูดเมื่อครู่ไม่ได้ออกจากปากของเขา


เมื่อกลับมาถึงบ้าน หลิงซานฉิงก็กดฉาจื่ออันให้นั่งลงกับเก้าอี้ และหาดินสอกับกระดาษมาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าเขา ก่อนจะสั่งว่า “ค่อย ๆ วาดตามภาพนี้มาให้ข้า! จะคืนเงินห้าร้อยตำลึงได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าแล้วล่ะ”


“วาดภาพให้เหมือนมากที่สุดเท่าที่เจ้าจะทำได้ ข้าจำไม่ค่อยได้แล้วว่าอาจารย์สวีมีหน้าตาเป็นอย่างไร จึงทำได้แค่ร่างคร่าว ๆ เท่านั้น ดังนั้นเจ้าต้องไปเพิ่มเติมอีก” ภาพร่างนั้นถูกกางออก นางชี้ไปที่ชายชราเคราขาวในภาพวาด นางเคยเจออาจารย์สวีเพียงครั้งเดียว จึงไม่อาจวาดโฉมหน้าของเขาอย่างละเอียดได้


“สำนักหม่าเหลียงของเราให้ความสำคัญกับลายเส้น ใช้ลายเส้นนำมาแบ่งสามมิติและสองมิติ..." เวลานี้หลิงซานฉิงมีท่าทางเหมือนกับอาจารย์ผู้สง่างามน่าเกรงขาม นางนำคำพูดที่ศาสตราจารย์เคยสอนมาพูดอย่างไม่บิดเบือน และมักจะหรี่ตามองฉาจื่ออัน


ส่วนฉาจื่ออันก็กำลังมองนางอย่างตั้งใจ แววตาเต็มไปด้วยความเลื่อมใส


หลังจากพูดคุยกันครู่หนึ่ง หลิงซานฉิงก็จำได้ว่านางยังมีงานต้องทำ จึงเอ่ยทิ้งท้ายเอาไว้ว่า “เจ้าศึกษาภาพวาดของข้าให้ละเอียดเสียก่อน อีกครู่หนึ่งข้าจะมาบอกเจ้าอีกครั้ง”


เมื่อเดินมาถึงห้องครัว นางก็เอาขี้เถ้าใต้เตาใส่ลงไปในน้ำสะอาด จากนั้นก็นำแป้งสาลีที่เพิ่งซื้อมาเมื่อครู่มาทำให้เป็นก้อนกลม เพียงเท่านี้ก็ถือว่าได้เตรียมทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว


ในกองฟืนยังเหลือเพียงหัวมัน แม้ว่ามันจะอร่อย แต่ยามนี้นางกลืนมันลงไปไม่ได้แล้ว


ทันใดนั้นแววตาของนางพลันเปล่งประกายขึ้นมา นางตระหนักได้ว่ามีหัวไชเท้าขาวอวบที่ล้างจนสะอาดอยู่สองสามหัวในหม้อดินเผา “ข้าเลือกเจ้า!”


หัวไชเท้าที่อยู่ในมือนางค่อนข้างใหญ่ จำเป็นต้องตัดครึ่งจึงจะสะดวก ในขณะที่หลิงซานฉิงวางแผนอยู่นั้นนางก็เดินกลับมาถึงห้อง


ฉาจื่ออันนั่งอยู่หน้าโต๊ะ เสื้อผ้าของเราดูเรียบร้อย ทั้งยังนั่งตัวตรงเฉกเช่นนักเรียนที่เข้าเรียน มือที่จับถ่านดูเงอะงะเล็กน้อย แต่หลิงซานฉิงนึกถึงตอนที่นางวาดรูปเป็นครั้งแรก นางก็ถูกอาจารย์ด่าเละเทะ นางจึงไม่คิดที่จะหัวเราะเยาะฉาจื่ออัน


เมื่อเขาเห็นนางเดินเข้ามาก็ยิ้มอย่างเขินอาย และหยิบภาพวาดขึ้นมาสะบัดด้วยท่วงท่าสง่างาม


หลิงซานฉิงตกใจอ้าปากค้าง “นี่ เจ้าเป็นคนวาดรึ?”


จะโทษที่นางตกใจก็ไม่ได้ นางเพียงแค่พูดสองสามคำเกี่ยวกับองค์ประกอบของภาพคร่าว ๆ เรื่องวิธีการแรเงาเท่านั้น แม้ว่าฉาจื่ออันจะวาดน้ำเต้าในลักษณะเดียวกัน แต่ระดับของเขาเทียบเท่ากับระดับที่นางเรียนรู้ถึงหนึ่งปีในชาติก่อน!


“มีส่วนใดที่ข้าวาดได้ไม่ดีหรือไม่? ข้าจะได้แก้ไข” เขาคิดว่าตัวเองวาดได้ไม่ดี และเอ่ยโทษตัวเอง “วิธีการวาดที่แปลกใหม่เช่นนี้ จะฝึกสำเร็จในหนึ่งวันได้อย่างไร เป็นข้าเองที่รีบร้อนมากเกินไป"


หลิงซานฉิงกัดหัวไชเท้าที่ถืออยู่ รสชาติของมันกำลังดีไม่มีสารปนเปื้อน กรุบกรอบอร่อยยิ่งนัก


ดูเหมือนคนซื่อบื้อนี่จะไม่รู้ถึงความสามารถในการวาดภาพของตัวเอง และนางไม่อยากเปิดโปงในทันที


นางจึงเอ่ยชี้แนะไปด้วยและกัดหัวไชเท้าไปด้วย “เจ้าดูลายเส้นของเจ้าสิ มันแข็งเกินไป ส่วนของใบหน้าคนต้องดูนุ่มนวล วิธีการวาดภาพของเจ้าขาดความรู้สึกอย่างชัดเจน...แม้จะยังห่างไกลจากระดับของข้าอยู่มาก ทว่าก็ยังใช้ได้ นับจากวันนี้ไปอีกหนึ่งเดือน ตราบใดที่เจ้าวาดทุกวัน เรื่องของเงินห้าร้อยตำลึงย่อมสามารถจัดการได้แน่นอน!”


รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว