ท่านสามี อย่าโอหัง -ตอนที่ 36 ถูกปล้นก่อน

โดย  Enjoybook

ท่านสามี อย่าโอหัง

ตอนที่ 36 ถูกปล้นก่อน

ตอนที่ 36 ถูกปล้นก่อน


เขานึกไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าหลิงซานฉิงจะเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้ตนเอง และดูเหมือนจะถูกเตรียมไว้นานแล้ว เหตุใดเขาไม้รู้มาก่อนเลยว่านางเป็นคนใส่ใจเช่นนี้


“ฮ่าฮ่า ไม่ใช่มีแค่สตรีและคนถ่อยที่เข้าด้วยได้ยากแล้วรึ?” แม้จะครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่คำพูดที่แฝงไปด้วยความเย็นชากลับชัดเจนอย่างมาก


ฉาจื่ออันหัวเราะโง่ ๆ ออกมา เขายิ้มไปลูบผ้าไป สายตาและท่าทางนั้นราวกับมีของล่ำค่าที่สุดในเมืองอยู่ในมือ ดั่งถูกคนอื่นขโมยไปแล้วเพิ่งได้กลับคืนมา


ยิ่งลูบเขาก็ยิ่งชอบ และมองหลิงซานฉิงอย่างน่าทึ่ง “ซานฉิง ข้าอยากหอมเจ้าสักฟอดหนึ่งจริง ๆ” น้ำเสียงยังคงแฝงไปด้วยความตื่นเต้น เขาสามารถเข้าร่วมงานชุมนุมภาพวาดกวีนิพนธ์และมีเกียรติยศก็เพราะนาง


หลิงซานฉิงขนแขนลุกอย่างสะอิดสะเอียด พลางดึงผ้าห่มคลุมตัวเองจนมิด “เจ้าเพ้อเจ้อให้มันน้อย ๆ หน่อยอย่ามาใช้ไม้นี้กับข้า รีบเตรียมตัวไปงานได้แล้ว” คนโง่ผู้นี้ยังอยากจะหอมนางอีก ฝันกลางวันไปเถอะ


แต่วิธีแสดงความชอบของเจ้าคนซื่อบื้อนี้กลับตรงไปตรงมา


งานจัดขึ้นที่เรือนพำนักกุหลาบหิน ว่ากันว่าที่แห่งนี้เคยต้อนรับราชาองค์ก่อน มีเอกลักษณ์โดดเด่น มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก


เรือนพำนักกุหลาบหินคือเรือนพำนักที่มีทางเข้าออกเจ็ดทาง และงานจัดขึ้นที่ศาลาชิ่นซิน


หน้าประตูเรือนพำนักกุหลาบหินมีรถม้าจอกอยู่สองสามคัน บัณฑิตมากมายเดินเข้าออกไปมา มีองครักษ์สองคนยื่นเฝ้าประตูหน้า หลังประตูบานใหญ่มีโต๊ะผลไม้จัดวางอยู่ และมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบบัตรเชิญโดยเฉพาะ จดบันทึกคนที่เข้ามาลงใปในหนังสือ


เมื่อชื่อฉาจื่ออันดังขึ้น ผู้คนโดยรอบต่างมองเขาด้วยสายตาสงสัย หลายปีมานี้คนที่เข้าร่วมงานชุมนุมภาพวาดกวีนิพนธ์มีมากมาย แต่พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย ดังนั้นทุกคนต่างรู้สึกแปลกใจมาก


“ข้าก็นึกว่าใคร นั่นคือซิ่วไฉล้มเหลวแห่งตระกูลฉามิใช่รึ วันนี้แต่งกายดูสมเกียรติยิ่งนัก”


ในระหว่างที่ผู้คนสงสัยอยู่นั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงแฝงไปด้วยความเยือกเย็น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียดสี


แต่เมื่อมองไป ก็เห็นคนที่พูดยืนอยู่หลังอวี๋ซิ่งเหวินไม่ไกลนัก ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็คเหมือนกับจิ้งจอกอ้างบารมีเสือ[1]


ฉาจื่ออันเม้มริมฝีปาก ไม่รู้ทำไม เขาถึงไม่รู้สึกโมโหเลย แต่กลับรู้สึกอับอาย เพียงเพราะคำพูดของคนนั้นฟังดูไม่ผิดนัก


“ผู้มีความรู้มาก บุคคลิกย่อมสง่าด้วยตัวมันเอง หากเลือกคนที่ภายนอก สุดท้ายก็จะเห็นเพียงแค่ภายนอก”


ในขณะนั้นเองก็เสียงใสกังวานดังขึ้น ผู้คนต่างหันมองไปรอบ ๆ สุดท้ายสายตาก็ตกไปอยู่ที่ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างข้า ๆ ฉาจื่ออัน ทุกคนต่างเบิกตากว้าง และแสดงท่าทางไม่อยากจะเชื้อออกมา


“ในอำเภอหรงอินมีผู้หญิงที่โดดเด่นฉลาดปราดเปรื่องเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน? ผู้มีความรู้มาก บุคคลิกย่อมสง่าด้วยตัวมันเอง ช่างเป็นบทกวีที่ดี เป็นบทกวีที่ดียิ่งนัก!”


“หรือผู้หญิงคนนี้จะเข้าร่วมงานชุมนุมภาพวาดกวีนิพนธ์ด้วย เช่นนั้นงานในปีนี้น่าสนุกขึ้นแล้ว หญิงสาวที่เข้าร่วมงานในหลายปีมานี้แต่งได้แค่กวีจำพวกดอกไม้พระจันทร์เต็มดวง แต่ยังไม่มีผู้ใดแต่ได้อย่าง ‘ผู้มีความรู้มาก บุคคลิกย่อมสง่าด้วยตัวมันเอง’ ออกมาได้เลย”


“คำพูดนี้นางได้พูดแย้งให้กับคนที่มีชื่อว่าฉาจื่ออันอะไรนี้แหละ พวกเจ้ามัวยืนมองอะไรกันอยู่ตรงนี้” คนที่ดูแคลนฉาจื่ออันมาตั้งแต่แรกก็เสนอหน้าออกมา


สายตาหลิงซานฉิงมองไปทางคนผู้นั้น แต่ความสนใจกลับอยู่ที่อวี๋ซิ่งเหวิน คนผู้นั้นกับฉาจื่ออันไม่ควรรู้จักกันเลย แล้วเขากล่าวประโยคนี้ออกมาได้อย่างไร อาจเป็นไปได้ว่ามีคนบงการอยู่ด้านหลัง


และเมื่อนางเหลือบเห็นท่าทางของอวี๋ซิ่งเหวิน ก็รู้สึกได้ว่าวันนี้ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่


ฉาจื่ออันหันไปมองหลิงซานฉิงที่พูดแทนตนด้วยสีหน้าเปลี่ยนไป แต่ไม่ทันได้คิดอะไรมาก งานชุมนุมภาพวาดกวีนิพนธ์ก็ดำเนินงานต่อ ทั้งสองมอบบัตรเชิญ และก็ถูกคนรับใช้ที่แห่งนี้นำเข้าไปในเรือนพำนักกุหลาบหิน


เรือนพำนักกุหลาบหินไม่ได้เป็นอย่างที่หลิงซานฉิงคิดเอาไว้ มันเป็นเพียงลานบ้านหนึ่งก็เท่านั้น ภายในลานบ้านมีประตูเข้าออกสามทาง และปลูกดอกเบญจามาศฤดูนี้ในสวนดอกไม้ขนาดเล็ก มีแม่น้ำต้องแสงเปล่งประกายอยู่สายหนึ่ง ริมแม่น้ำเต็มไปด้วยดอกโบตั๋น เหนือน่านน้ำสร้างสะพานไม้พาดเอาไว้ สะพานเล็กที่มีน้ำไหลผ่าน สวยงามดั่งในบทกลอน


หลิงซานฉิงเดินข้าวสะพานไม้ไป ก็อดรู้สึกถอดทอนใจว่าชีวิตของคนรวยนั้นช่างดีจริง ๆ และอดรู้สึกโหยหามันขึ้นมาไม่ได้


หลังจากข้ามสะพานไปแล้วก็จะเป็นสถานที่จัดงานในครั้งนี้ เมื่อทุกคนมาถึงลานใหญ่ของเรือนพำนักกุหลาบหิน ภายในลานขนาดใหญ่ถูกจัดวางได้อย่างเหมาะสม


ครั้นมองไปทางประตูที่อยู่ตรงหน้า ก็จะเห็นผู้ตัดสินงานชุมนุมในครั้งนี้ หลิงซานฉิงกวาดสายตามองครู่หนึ่ง และโชคดีที่ไม่เห็นใบหน้าคุ้นเคยของท่านข้าหลวง แต่ตรงกลางมีชายอายุครึ่งร้อยนั่งอยู่ระหว่างกลาง เธออดไม่ได้ที่จะมองไปหลายครั้ง


ฉาจื่ออันลากแขนเสื้อนางไปยังห้องรับรองแขก “ซานฉิง นั้นคือท่านข้าหลวง เจ้าหยุดมองได้แล้ว” น้ำเสียงกดต่ำ ราวกับกลัวว่าจะมีคนได้ยิน


หลังจากที่หลิงซานฉิงนั่งลง ก็เหลือบมองท่านข้าหลวงอีกครั้ง ก่อนละสายตากลับมา “ท่านข้าหลวงแล้วจะทำไม เขาแค้นฝังใจรึ? เหตุใดถึงมองไม่ได้”


ฉาจื่ออันไม่โต้แย้งกับนาง หนึ่งโต้แย้งไปก็ไม่มีประโยชน์ สองคนสองคนกระซิบกระซาบกันหากคนอื่นเห็นเข้ามันจะดูไม่ดี


ขณะที่คิดอยู่นั้น ท่านข้าหลวงก็กระแอมออกมาเบา ๆ ฉาจื่ออันใจก้มหน้าอย่างรู้สึกประหม่าทันที ทว่า ท่านข้าหลวงไม่แม้แต่จะมองมาทางเขา


เพราะเสียงกระแอมเมื่อครู่ ทุกคนต่างเงียบลง ท่านข้าหลวงกวาดสายตามองผู้คนไปรอบ ๆ ก็ไม่รู้สึกถึงการเพิ่มขึ้นมาของฉาจื่ออัน และพูดขึ้นมาโดยไม่สนสิ่งใด “เป็นเกียรติยิ่งนักที่ได้เชิญทุกท่านเข้าร่วมงานชุมนุมภาพวาดกวีนิพนธ์ในครั้งนี้ ทุกท่านคงเข้าใจกฏการแข่งขันในครั้งนี้แล้ว? การแข่งขันครั้งนี้มีหัวข้อหลักคือ ‘เหล้า’ และการแข่งขันจะแบ่งออกเป็นสามรอบ โดยมีตัวข้าผู้นี้กับผู้ตัดสินทั้งสี่ท่านตัดสินผู้ชนะในตอนสุดท้าย” เขาพักไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวต่อ “ในเมื่อทุกท่านเข้าใจกฏทุกอย่างดีแล้ว เช่นนั้นตอนนี้พวกเรามาเริ่มจับฉลากลำดับการเข้าแข่งขันกัน” เขาโบกมือ จากนั้นก็มีสาวรับใช้คนหนึ่งเดินถือกล่องกระดาษใบหนึ่งไปยืนอยู่ต่อหน้าทุกคน และดูพวกเขาหยิบม้วนฉลากมากเปิดออกแล้วจึงส่งให้คนถัดป


หลิงซานฉิงลูบคางครู่หนึ่ง ก่อนดึงแขนเสื้อของฉาจื่ออัน “แม่นางผู้นี้มีความสามารถทางด้านการจดจำรึ?”


“ใช่นะสิ ได้ยินมาว่าแค่นางดูคนจับฉลากกับชื่อที่อยู่ในฉลากแวบเดียว ก็สามารถจำทุกสิ่งในงานชุมชุมนี้ได้อย่างชัดเจน มันยอดมากจริง ๆ ”ในระหว่างที่เขาพูด น้ำเสียงแฝงไปด้วยความภูมิใจเล็กน้อย ราวกับฉาจื่ออันเล่าประสบการณ์อันล้ำค่าอยู่ยังไงอย่างงั้น และมองไปที่สาวรับใช้คนนั้นหลายครั้ง


ครั้นมองไปที่หลิงซานฉิงนัยน์ตานางเปลี่ยนไปทันที พลางส่งเสียงจิ๊ปากออกมา “เก่งแค่ไหนแล้วจะทำไม นางไม่รู้จักเจ้าด้วยซ้ำ” เมื่อพูดจบ นางก็ตะโกนออกมาเหมือนเด็กตอนโมโห แทบไม่รับรู้ความหึงหวงที่แฝงในคำพูดนั้นเลย


แต่ฉาจื่ออันกลับฟังออก ทันทีที่จะโต้กลับ สาวรับใช้คนนั้นก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา เขานิ่งอึ้งไปทันที แล้วรีบหยิบม้วนกระดาษออกมา มือที่จับม้วนกระดาษสั่นเล็กน้อย


ราวกับสาวรับใช้เห็นจนเคยชินแล้ว บนใบหน้ายังคงฉีกยิ้มบางเบาอย่างมีมารยาท มองดูท่าทางเงอะงะของฉาจื่ออัน และเขาไม่รู้เลยสักนิด หลิงซานฉิงมุ่ยปาก เอื้อมมือไปแย่งกระดาษมา แล้วเปิดออกให้สาวรับใช้ดูทันที


ฉาจื่ออันได้สติกลับมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว และรีบแย่งกระดาษกลับคืนพลางมองอย่างละเอียด “ยี่สิบหก?” เข้าได้ออกไปเป็นคนที่ยี่สิบหก? เมื่อเพ่งดูอีกครั้ง คนที่เข้าร่วมงานชุมนุมที่อยู่ในลานแห่งนี้ ไม่นับหลิงซานฉิง รวมทั้งหมดไม่ใช่ยี่สิบหกคนหรอกรึ และเขาคือคนสุดท้าย


ยังไม่ทันได้คิดสิ่งใดมาก ท่านข้าหลวงก็สั่งทันที การแข่งขันภาพวาดกวีนิพนธ์เริ่มได้


ทุกคนได้แสดงบทกวีของตัวเองไปตามลำดับเลขที่จับได้ แต่ละคนต็มไปด้วยความมั่นใจ ใบหน้าของผู้ตัดสินไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ มาตั้งแต่เริ่ม จนกระทั้งถึงทีแสดงบทกวีของอวี๋ซิ่งเหวิน ใบหน้าพวกเขากลับเผยความคาดหวังออกมา


ใครสอนอวี๋ซิ่งเหวินไม่เพียงแต่มีความสามารถโดดเด่นเท่านั้น แต่วงค์ตระกูลก็มีชื่อเสียงไปด้วย


ฉาจื่ออันถือแก้วเหล้าไว้แน่น รวบรวมสมาธิมองไปที่อวี๋ซิ่งเหวิน ประหนึ่งมองคู่ต่อสู้ของตัวเอง


แต่ไม่นึกเลยว่าอวี๋ซิ่งเหวินก็มองมาทางเขาเช่นกัน เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น แต่ฉาจื่ออันกลับรู้สึกแปลก ๆ สายตานั้นมีความเหยียดหยาม ดูถูก และมีแผนชั่วอยู่ สองอันก่อนหน้ายังพอเข้าใจได้ แต่แววตาชั่วร้ายนั้นมันอะไรกัน? ไม่นาน ฉาจื่ออันก็รู้คำตอบ


อวี๋ซิ่งเหวินลุกขึ้น รูปร่างสูงสง่า ซึ่งมองเห็นได้หลายครั้ง ท่าทางดูเหมือนกับปลาได้น้ำ ดูเป็นธรรมชาติมาก เขาไม่มองไปที่ผู้ตัดสิน และก็ไม่มองไปที่ผู้ดำเนินงาน เขาแค่อ่านบทกวีของตัวเองอย่างไม่สนใจใคร


‘ยกจอกขึ้นเชื้อเชิญจันทร์ กระจ่างใส

ทอแสงรวมเงาข้า เป็นสาม

จันทร์เจ้าลอยเลื่อน ไม่อาจ ดื่มได้

เงาเจ้าคล้อยเคลื่อนตาม ติดไหว’


เมื่อบกกวีถูกอ่านออกมา สายตาที่ทุกคนมองไปยังเขาต่างตกตะลึงและแฝงไปด้วยความนับถือ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงปรบมือก็ดังขึ้น


“เป็นบทกวียกจอกเชิญนวลจันทร์ที่ดียิ่งนัก บนโลกนี้คนที่ดื่มเหล้าส่วนใหญ่มักจะเป็นคนที่เสียใจ ในเมื่อเสียใจก็ต้องเหงา เมื่อไม่มีผู้ใดเข้าใจความรู้สึกเสียใจนี้ มิสู้ชนแก้วกับแสงจันทร์ดีกว่า ดีมาก เป็นบทกวีที่ดีมาก!”


ประโยคนี้ดังมาจากปากผู้ตัดสิน ท่านข้าหลวงเหลือบมองคนผู้นั้นแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมา หากประโยคนี้ถูกคนข้าง ๆ พูดขึ้นก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่นี่ดันดังออกมาจากปากผู้ตัดสินซะเอง ขนาดผู้ตัดสินยังออกปากชมขนาดนี้ ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร


คำชมดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แม้แต่แก้วเหล้าฉาจื่ออันก็แทบถือไม่ไหว หลิงซานฉิงมองไปทางเขา “อวี๋ซิ่งเหวินรอบรู้เรื่องบทกวี แต่งบทกลอนนี้ออกมาได้ก็ไม่แปลกอะไร เพียงแค่พวกเรา...”


“นั้นมันบทกวีที่ข้าแต่ง”


เสียงหลิงซานฉิงหยุดชะงักทันที เขาแต่งรึ? ครั้นมองไปที่ฉาจื่ออันเขามีสีหน้าขาวซีด ดวงตาวาวโรจน์ นางแทบไม่อยากจะเชื่อคำพูดนี้ หากเขาเป็นคนแต่งจริง ๆ มันจะกลายเป็นเบทกวีของอวี๋ซิ่งเหวินไปได้อย่างไร?


ฉาจื่ออันทุบแก้วในมืออย่างรุนแรง พลางหายใจเข้าลึก มองไปยังหลิงซานฉิง และพูดเสียงต่ำ “นั้นเป็นบทกวีที่ข้าใช้เวลานานกว่าจะแต่งออกมาได้ อวี๋ซิ่งเหวินแต่งออกมาได้เหมือนข้าทุกอย่าง? บนโลกนี้จะมีเรื่องบังเอิญขนาดนั้นเชียวหรือ”


หลิงซานฉิงตกใจเล็กน้อย แต่ไม่ใช่เพราะคำพูดของเขา แต่เป็นเพราะท่าทางที่เขาพูดประโยคนั้นออกมาแฝงไปด้วยความหนาวเหน็บเล็กน้อย นัยน์ตาดำขลับเผยความน่ากลัวออกมา แต่ยังไงก็เป็นบัณฑิต แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่กลับสัมผัสความชั่วร้ายจากตัวเขาไม่ได้เลย


คล้ายกับนางข้ามมิติมาอย่างยาวนาน ยังไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้เลย นางคิดอย่างรวดเร็ว และเข้าไปประชิดเขาเล็กน้อย “แม้อวี๋ซิ่งเหวินชนะ ก็ชนะอย่างไม่ใสสะอาด โชคดีที่ข้ามีบกกลอนพอดี เจ้าเอาไปใช้ก่อน และเป็นไปได้มากว่าจะประสบผลสำเร็จ”


ฉาจื่ออันเหลือบมองนางอย่างตกตะลึงเล็กน้อย


หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงชื่นชมอวี๋ซิ่งเหวินได้เริ่มเบาลง เขาเหลือบมองไปที่ฉาจื่ออันด้วยท่าทางท้าทาย ตอนนี้ยิ่งมั่นใจว่า บทกวีของเขาคือบทกวีของฉาจื่ออัน!


ทว่าฉาจื่ออันกลับไม่ได้มองเขา เขายกแก้วเหล้าขึ้น คำนับไปทางผู้ตัดสินที่อยู่ไกล ๆ และไม่รู้บทกวีของเขานั้นเป็นเช่นไร แต่การกระทำนี้ทำให้ผู้ตัดสินหลายท่านรู้สึกดี


หลังจากเขาเอามือหนึ่งไพล่หลัง เขาก็มีท่าทางสงบเสงี่ยม น้ำเสียงอ่อนโยน


ท่านมิเห็นแม่น้ำเหลืองไหลลงฟ้า เชียวธาราสู่ทะเลไม่เหกลับ


ท่านมิเห็นคันฉ่องส่องเงารับ วัยดรุณผมดำขลับแก่ขาวพราย


เมื่อชีวิตสมคิดก็ควรดื่ม อย่ามัวลืมจนจอกเปล่าเงาจันทร์ฉาย


เมื่อฟ้าให้อัจฉริยะมากะกาย คงมีที่เริงร่ายได้ใช้มัน


พันตำลึงโปรยไปหาได้ใหม่ ล้มวัวแพะสราญใจสรวลสังสรรค์


พบสหายรู้ใจให้ดื่มพลัน สามร้อยจอกปานนั้นมันจำเป็น


เมื่อเขาอ่านบทกวีนี้ออกไป ทั่วทั้งบริเวณเงียบสนิท เหล่าปัญญาชนผู้มีพรสวรรค์ ต่างนิ่งอึ้งจนพูดไม่ออก!


[1] ใช้อธิบายพฤติกรรมของคนที่ยืมอิทธิพลคนอื่นมาทำให้ตนเองมีอำนาจขึ้นมา]


รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว