หยางเฉินมองไปที่ชื่อของเชินเจียนเซียวบนคัมภีร์ แล้วพูดว่า “กั้วติง เจ้าไม่ได้ตาฝาดหรอก มันเป็นชื่อของเชินเจียนเซียวจริงๆ ข้าไม่คิดเลยว่าความแข็งแกร่งของเขาจะพัฒนาได้รวดเร็วเช่นนี้ ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินเขาต่ำเกินไป”
“น้องชาย อันดับคนเหล่านี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขอบเขต แต่ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งและความอ่อนแอในแต่ละขอบเขต บอกกันว่าแม้ว่าเชินเจียนเซียวจะอยู่ขอบเขตธุลีขั้น 3 แต่เขาก็แข็งแกร่งอย่างมาก อีกทั้งเขายังถูกรับเลือกให้เป็นศิษย์โดยตรงของเจ้าชายจากจักรวรรดิแดวู ที่อยู่ขอบเขตจักรพรรดิ” ไม่รู้ว่าหลี่มูกำลังรู้สึกอะไรอยู่ แต่น้ำเสียงที่เขาพูดออกมาดูไม่พอใจอย่างมาก
“อันดับมนุษย์นั้นใช้พรสวรรค์ในการตัดสิน ส่วนอันดับสวรรค์และอันดับดินนั้นต่างออกไป หากขึ้นไปถึง 10 อันดับแรก ของอันดับสวรรค์แล้ว ก็จะต้องมีความแข็งแกร่งอย่างน้อยขอบเขตราชาขั้น 9 ก่อน หากขึ้นไปอยู่ 10 อันดับแรกของอันดับสวรรค์ก็หมายความว่าเขามีโอกาสที่จะขึ้นไปขอบเขตจักรพรรดิได้ แต่หากอยู่ 10 อันดับแรกของอันดับดิน ก็ต้องมีความแข็งแกร่งขอบเขตบรรพจารย์ขั้น 9 พวกเขามีโอกาสขึ้นไปขอบเขตราชาได้ หลังจากที่ทะลวงผ่านมาได้ แม้ว่าจะเพิ่งทะลวงผ่านแต่ก็แข็งแกร่งอย่างมาก มันไม่อาจจะเอาคนทั่วไปที่เพิ่งขึ้นมาขอบเขตราชามาเทียบได้เลย !”
ถูกเจ้าชายจักรวรรดิแดวูรับเป็นศิษย์! หยางเฉินและกั้วติงต่างก็ตกตะลึง หลังจากที่อึ้งได้ไม่นาน หยางเฉินก็ยิ้มออกมา ‘เชินเจียนเซียว ข้าคิดว่าข้าจะฆ่าเจ้าและแก้แค้นให้กับหยางเฉินได้ง่ายๆ แต่ดูเหมือนว่าข้าคงต้องออกแรงบ้างแล้วแหละ’
เมื่อคิดแบบนั้น หยางเฉินก็ยิ้มออกมาที่มุมปากและพึมพำกับตัวเอง “แต่ก็ดี หากฆ่าเจ้าง่ายๆ มันจะไม่ดีกับเจ้าไปหน่อยรึ ไม่นานสามนิกายจะจัดการแข่งขันกัน ข้าอยากเห็นว่าเจ้าจะเรียนรู้อะไรมาได้บ้าง เมื่อถูกรับเป็นศิษย์โดยเจ้าชายที่อยู่ขอบเขตจักรพรรดิ”
หลังจากที่รู้ว่าเชินเจียนเซียวเป็นศิษย์เจ้าชายจักรวรรดิแดวู หยางเฉินก็ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องหาแก่นน้ำให้พบ มีแค่แก่นน้ำเท่านั้น ที่จะทำให้เขาขึ้นไปขอบเขตปรมาจารย์และสู้กับเชินเจียนเซียวได้
หลี่มูเห็นว่าหยางเฉินมีความแค้นต่อเชินเจียนเซียว เขาจึงอยากจะเตือนไม่ให้หยางเฉินมีเรื่องกับจักรวรรดิแดวู แต่เมื่อคิดว่าหยางเฉินมีตราขั้น 3 อยู่กับตัว เขาก็ไม่พูดอะไรออกมา
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงระฆังดังขึ้นจากด้านนอกห้อง บ่งบอกถึงการเริ่มต้นการประมูล หลี่มูฝืนยิ้มและพูดออกมา “ น้องชาย การประมูลเริ่มต้นขึ้นแล้ว งั้นข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว” เมื่อเขาพูดจบ ก็ออกจากห้องไป
หลังจากที่หลี่มูออกห้องไป กั้วติงก็มองมาที่หยางเฉินแล้วพูดออกมา “หัวหน้า เจ้านี่ใจร้ายจริงๆ เจ้าแทบทำให้หลี่มูกระอักเลือด”
“กั้วติง เจ้ารู้หรือไม่ เหตุใดขาถึงได้เคารพพวกเรา ก็เพราะเขาเห็นตรานี่จึงอยากใช้โอกาสนี้เอาใจข้า” จากนั้นน้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไปและยิ้มออกมา “หากเราไม่มีตรานี้แล้ว ข้าเดาว่าเขาคงเป็นคนแรกที่จะไล่พวกเราออกไป หากข้าไม่อาศัยความได้เปรียบนี้ ดึงผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ก็อย่ามาเรียกข้าว่าหยางเฉินเลย”
ในขณะนั้นเอง บนเวทีด้านนอกห้องก็มีเสียงดังขึ้นมา “ยินดีต้อนรับเข้าสู่การประมูล ข้าคือพิธีกรของงานนี้ ฮัวเยว่นู”
“ฮัวเยว่นู!” หยางเฉินสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาหันกลับไปมองที่เวทีและพบกับสตรีในชุดชมพูบนเวที นาง คือ ฮัวเยว่นูจริงๆ นางเป็นคนของโถงเถียงั้นรึ?
ฮัวเยว่นูนั้นตอนนี้ดูงดงามยิ่งกว่าเดิมเสียอีก รอยยิ้มของนางทำให้ทุกคนใจสั่นไหว ไม่รู้ว่ามันเพราะนางได้นอนกับหยางเฉินไปแล้วหรือไม่ จึงทำให้นางดูน่าดึงดูดยิ่งกว่าเดิม
เมื่อเห็นใบหน้าที่น่าหลงใหลของนาง หยางเฉินก็ลูบจมูก ก่อนจะส่ายหน้าแล้วถอนหายใจออกมา ‘สตรีล่มเมืองจริงๆ!’
“พวกท่านคงรู้อยู่แล้วว่า วันนี้จะมีอะไรที่ถูกนำมาประมูล ดังนั้นข้าจะไม่อ้อมค้อม” ฮัวเยว่นูพูดด้วยยิ้มออกมา “วิธีการสร้างแก่นเทียมถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์นี้ เล่ากันว่ามันถูกสร้างโดยนักพรตในยุคกลาง ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 500,000 เหรียญ และแน่นอนว่าสามารถแลกของที่ทัดเทียมกันได้”
“500,000!” กั้วติงเบิกตากว้าง เขาอ้าปากค้างด้วยความตะลึง แม้แต่หยางเฉินก็ยังอดไม่ได้ที่จะสบถออกมา ‘เป็นแค่คัมภีร์ไม่ใช่หรือไง? ทำไมมันถึงแพงเช่นนี้?’
“เสี่ยวหยาง ข้าบอกเจ้าแล้วว่าต้องเตรียมใจไว้ให้ดี วิธีการสร้างแก่นเทียมนั้นคือความลับระดับสูง ราคาของมันย่อมต้องแพงอยู่แล้ว และอาจจะแพงกว่านี้อีก เพราะการประมูลยังไม่ได้เริ่มขึ้นมา” เถาเถาสมกับเป็นคนที่เคยเห็นโลกมาแล้วจริงๆ สีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
“แพงกว่านี้อีกรึ?” หยางเฉินยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ตอนนี้เขามียันต์ไม่กี่แผ่นในตัว หากเขามีเวลา 2-3 เดือนก็อาจจะสร้างยันต์ขึ้นมาเพื่อแลกกับคัมภีร์นี่ได้...แต่คงไม่มีใครให้เวลาเขา
“เสียวหยาง หากวิธีการสร้างแก่นเทียมสร้างในยุคนี้ ราคาของมันคงจะถูกลงกว่านี้มาก” เถาเถาพูดขึ้น “แต่เจ้าคงได้ยินแล้วว่ามันถูกสร้างในยุคกลาง ค่าของมันย่อมสูงเป็นธรรมดา”
ทันใดนั้น ก็เสียงหัวเราะของชายแก่ดังขึ้นมาจากห้องพิเศษ “เมื่อไม่มีใครเพิ่มราคา งั้นข้าเริ่มแล้วกัน 510,000”
‘ชายคนนี้กลับเพิ่มราคาถึง 1 หมื่น ’ หยางเฉินอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ‘คนในเมืองหลวงนี่ร่ำรวยกันจริงๆ’
เมื่อได้ยินราคาที่เพิ่มขึ้นมาจากห้องพิเศษ ชายหนุ่มชุดฟ้าคนหนึ่งก็ยิ้มออกมา “ผู้เฒ่าหยุนนี่เอง ไม่คิดเลยว่าเขาจะมาด้วย”
ชายหนุ่มชุดฟ้ามีใบหูที่ใหญ่ หน้าตาดูน่าเกร่งขาม สายตาเย็นชา มันทำให้ผู้คนไม่กล้าจะมองตาเขา อีกทั้งยังมีคนสองคนอยู่ด้านหลัง พวกเขาก็คือฮั่นวูและฮั่นหยางที่เคยแสดงท่าทีหยิ่งทะนงใส่เขานั่นเอง แต่ตอนนี้พวกเขากลับยืนอยู่ด้านหลังของชายหนุ่มผู้นั้นด้วยท่าทีเคารพ หากหยางเฉินเห็นท่าทีของทั้งสองกับตา เขาคงต้องแปลกใจ
“ท่านพี่ ท่านไม่ใช่นักหลอมอาวุธ ทำไมท่านถึงเข้าร่วมการประมูลด้วยขอรับ?” ฮั่นหยางถามขึ้นมา
ชายชุดฟ้าผู้นี้คือพี่ของฮั่นหยาง เดาว่าคงเป็นลูกหลานของตระกูลฮั่นเหมือนกัน
“บางครั้งถึงจะเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น ก็ต้องเอามันมาครอง เพราะสามารถใช้มันในการเอาชนะใจผู้คนได้ ” หลังจากที่พูดจบ ชายชุดฟ้าก็หัวเราะออกมา
พูดไปแล้วน้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไปและถามขึ้นมา “เจ้าน่าจะรู้ว่าเจ้าต้องตรวจสอบอะไรสินะ?”
“ท่านพี่ ตราหมายเลข 18 นั้นเป็นของพี่เก้า...” พูดไปแล้วฮั่นหยางก็แสดงสีหน้าจริงจังออกมา “พี่เก้าไม่ได้อยู่ในเมือง เพราะเขาไม่ได้ไปยังเขตหวงห้ามในวันนี้ และที่อื่นเราก็หาเขาไม่พบ”
“ฮั่นเชินอยู่ขอบเขตบรรพจารย์ขั้น 7 แต่ตราของเขากลับอยู่ในมือของเด็กน้อยขอบเขตธุลีได้” ชายหนุ่มชุดฟ้าสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ท่านพี่ พี่เก้าเป็นคนของฝั่งเรา พี่สองจะทำอะไรกับเขาหรือไม่?” ตอนที่พูดนั้น สีหน้าของฮั่นวูก็เคร่งเครียดขึ้นมา
ชัดแล้วว่าลูกหลานของตระกูลฮั่นนั้น แบ่งเป็นสองฝั่ง พวกนี้เป็นคนฝั่งชายชุดฟ้า
“ฮั่นเซียงน่ะหรือ....” เมื่อพูดชื่อนี้ชายชุดฟ้าก็เผยสีหน้าแค้นเคืองออกมา “มันไม่ใช่นิสัยของเขา พวกเจ้าจับตาดูคนที่ได้ตราเอาไว้”
“ขอรับท่านพี่” ฮั่นวูและฮั่นหยางพยักหน้าตอบรับ ก่อนที่ฮั่นหยางจะพูดต่อ “ท่านพี่ เราอยากแย่งตราจากเด็กนั่นกลับมา แต่มู่เหยามาขัดขวางเราก่อน...”
ก่อนที่ฮั่นหยางจะพูดจบ ชายชุดฟ้าก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้ากลัวว่าพวกเจ้าคงไม่คิดจะแย่งตรากลับมาเฉยๆ แต่อยากใช้ตรานั่นเพื่อเข้าไปบ่มเพาะในเขตหวงห้ามด้วยสินะ? ถ้าอย่างนั้นข้าก็บอกพวกเจ้าก่อนว่าอย่าคิดเล่นตุกติกกับข้า”
ชายหนุ่มพูดพร้อมกับมีปราณแผ่ออกมา ฮั่นวูและฮั่นหยางคุกเข่าลงไปทันทีเพราะแรงกดดัน พวกเขาเหงื่อตกและหน้าซีด ชัดแล้วว่าพวกเขาอยู่ภายใต้แรงกดดันที่น่ากลัว
“นี่แค่การลงโทษเล็กๆน้อยๆ ลุกขึ้น” ทันทีที่ชายชุดฟ้าพูดจบ แรงกดดันที่กดทับทั้งสองอยู่ก็หายไป ทั้งสองนั่งลงกับพื้นและหอบหายใจออกมา
จากนั้นก็มีคนเพิ่มราคาอีกครั้ง
“520, 000!”
เมื่อได้ยินราคาที่เพิ่มขึ้นมา ฮัวเยว่นูก็คิดในใจ ‘บอกกันว่า ไป่ซานตูนั้นเป็นนักหลอม เดาว่าวิธีการสร้างแก่นเทียมนี้เขาอยากได้มันมาก แต่นักหลอมนั้นไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว หากเป็นแบบนี้ต่อไป ราคาคงมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าต้องไม่ใช่น้อยๆ เช่นนั้นข้าก็จะได้ประโยชน์มากขึ้น’
เมื่อคิดแบบนั้น ฮัวเยว่นูก็เผยรอยยิ้มและพึมพำกับตัวเอง “ยูเหวินเล่ยจากจักรวรรดิแดวูก็มา เขาเป็นนักหลอมอาวุธ เขาคงไม่ยอมแพ้ และน่าจะกำลังเริ่มประมูลแล้ว”
แน่นอนว่าเป็นไปตามที่ฮัวเยว่นูคาดเอาไว้ มีคนได้ตะโกนขึ้นมา “550,000!”
คนที่เพิ่มราคานี้ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากหยูเหวินเล่ย
เมื่อหยางเฉินได้ยินราคา เขาก็ต้องกุมขมับและบอกกับเถาเถา “เถาเถา เจ้าควรหาทางให้ข้า ในเมื่อเจ้าอยากให้ข้าเป็นนักหลอม ตอนนี้เจ้าควรออกมาช่วยข้าได้แล้ว”
“เด็กน้อย เงินที่ข้ามีหมดไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว เจ้าลืมไปแล้วรึว่าครั้งที่แล้วที่ช่วยหญิงสาวคนนั้น ข้ายังต้องเสียยาไปด้วยเลย” เถาเถาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “ตอนแรกข้าอยากหาเมียให้เจ้า แต่ตอนนี้เจ้ากลับไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ”
“เมียรึ?” หยางเฉินไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “เถาเถา อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้ หากเราไม่ลงมือ เราคงโดนชิงคัมภีร์นี้ไปแน่”
“สบายใจได้ ข้าจะช่วยเจ้าแน่” เถาเถาพึมพำออกมา “ตอนแรกข้ากังวลว่าประมูลได้มันมา มันน่าจะเป็นปัญหาแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าข้าจะคิดมากเกินไป เด็กน้อยเย่ลั่วไม่ได้โกหก ตราที่ให้เจ้ามานี้ยังมีประโยชน์ เมื่อถึงเวลา หากมีใครกล้าปล้นอะไรจากเจ้า เจ้าก็แสดงตรานี้ให้กับคนของโถงเถีย ให้พวกเขาไปหาเย่ลั่วได้”
“เย่ลั่ว? เด็กน้อยรึ?” หยางเฉินไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ใช่ เมื่อถึงเวลาก็ให้เย่ลั่วมาช่วย มาดูกันว่าใครกันจะกล้าปล้นของไปจากข้า!”
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว