[จบ] แม่ปากร้ายยุค​ 80 - ตอนที่ 17 หญิงหน้าไหว้หลังหลอกขวางทาง   

โดย  Enjoybook

[จบ] แม่ปากร้ายยุค​ 80

 ตอนที่ 17 หญิงหน้าไหว้หลังหลอกขวางทาง   

[แรงค์ F] อย่างพวกเราถูกนำมาที่หน้ากิล [เขี้ยวประกายแสง] สาขาย่อย ตัวอาคารของกิลใหญ่โตอลังการมาก มีรั้วสูงใหญ่ล้อมรอบ ประตูทางเข้าก็ดูหนักและทรงพลัง


ทุกคนต่างตื่นเต้น ว่าตนเองจะถูกเลือกไหม รวมถึงชั้นด้วย


กิล [เขี้ยวประกายแสง] เป็นกิลที่ชอบล่ามอนสเตอร์ชนิดใหม่เสมอ ว่ากันว่าหัวหน้ากิลชอบสะสมเขี้ยวของมอนสเตอร์หรืออสูรชนิดต่างๆ จึงมักประมูลดันเจี้ยนเกิดใหม่ที่มีมอนสเตอร์ไม่เคยเจอบ่อยๆ


กิลนี้เลยมีวัตถุดิบค่อนข้างหลากหลาย จึงมีชื่อเสียงในการหมู่พ่อค้าแม่ค้า


พูดได้เลยว่า ไม่มีพ่อค้าหรือแม่ค้าคนไหนไม่อยากทำการซื้อขายกับกิล [เขี้ยวประกายแสง]


แต่พวกเราถูกพาอ้อมไปด้านหลังกิล


ไม่ใช่ว่าพวกเราสำคัญหรอก แต่เพราะพวกเขาไม่อยากทำให้ลูกค้าหรือพวกพ่อค้าแม่ค้ารำคาญสายตาที่ได้เห็น [แรงค์ F] จำนวนมากเดินเข้ากิล


ที่ด้านหลังพวกเราถูกคนที่นำทางมาสั่งให้บอกชื่อนามสกุล มีคนจดชื่อพวกเราทุกคนใส่กระดาษก่อนขี่ม้าออกไป


พวกเรายืนรอจนชายคนนั้นขี่ม้ากลับมา เขาทำเพียงพยักหน้าแล้วจูงม้าเข้าไปเก็บ


จากนั้นพวกเราถึงค่อยถูกเรียกชื่อเข้าไปในอาคารทีละคน


แต่ละคนล้วนใช้เวลาไม่นานก็ออกมา


แต่ทุกคนที่ออกมากลับมีสีหน้าท่าทางหวาดกลัวและรีบเดินหนีออกจากกิลไป


เนื่องจากพวกเราเห็นว่าคนที่ออกไปไม่ได้บาดเจ็บอะไร จึงทำใจกล้านั่งรอเรียกชื่อกันต่อ


ชั้นเดาว่าเขาอาจทำกิริยาไม่สุภาพจนโดนต่อว่าไม่ก็ข่มขู่มาล่ะมั้ง


แต่ดูเหมือนชั้นจะคิดผิด เพราะแม้แต่คนที่รู้ความและมีประสบการณ์มากมายกว่าชั้นยังตกอยู่ในอาการหวาดกลัวเหมือนคนก่อนๆ


แม้แต่คนที่ได้รับเลือก ก็ยังออกมาด้วยอาการเดียวกัน แค่สีหน้าดูดีกว่าคนที่ไม่ได้รับเลือกนิดหน่อย


ถ้าจำไม่ผิด ผู้หญิงคนนี้คือคนที่บอกว่าตัวเองเลียนเสียงเหมือนหมูได้


เธอไม่ได้เดินออกจากกิล แต่นั่งก้มหน้าตัวสั่นห่างจากกลุ่มของพวกเราไปหน่อย


ดูเธอจะหวาดกลัวสิ่งที่เธอพบเจอในกิลนั้น ชั้นสังเกตลูกกิลคนอื่นที่มองเธอ แววตาพวกเขาบ่งบอกว่ามันคือเรื่องปกติ


ถึงทุกคนรวมถึงชั้นจะอิจฉาที่เธอได้รับเลือก แต่ไม่มีใครที่ไม่เริ่มรู้สึกกังวลที่จะเข้าไปแล้วตอนนี้


จากนั้นก็ผิดหวังกันคนแล้วคนเล่า คนที่ดูใจแข็งและทำใจได้ ยังวิ่งหนีตายหายไปอย่างรวดเร็ว


คนที่ได้รับเลือกจนถึงตอนนี้มีแค่ 3 คน


คนนึงเป็นผู้หญิงร่างอ้วนที่บอกว่าใช้เธอเป็นโล่มนุษย์ได้ ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นน่ากลัวเต็มไปหมด


อีกคนเป็นผู้ชาย คนนี้ชั้นจำไม่ได้ว่าพูดอะไร


สุดท้ายก็ไม่มีใครผ่านอีกเลยจนมาถึงคิวของชั้น


ชั้นเดินเข้าไปในอาคารอย่างประหม่า แม้แต่บันไดทางเข้าด้านหลังยังทำจากหินอ่อนอย่างดี มันทั้งสะอาดและหรูหรา แต่ละขั้นชั้นต้องเดินถึงสองเก้าถึงจะเหยียบขึ้นอีกขั้นได้


มันดูสะอาดแม้คนจะออกตลอดเวลา นี่ต้องทำความสะอาดกันทุกวันแน่ๆ พวกเขารวยมากขนาดไหนกันนะ


คงมีอาหารกินครบสามมื้อ นอนในห้องอุ่นๆ เตียงนุ่มๆ และมีผ้าห่มผืนใหญ่ ไม่ใช่ผืนที่ทั้งบางและเล็กแถมยังต้องแบ่งกันใช้สามคนเหมือนครอบครัวชั้น


ที่ชั้นคิดเรื่องนี้เพราะอยากกลบความกลัวในจิตใจ


ชั้นถูกพาเข้าไปในห้อง ข้างในสว่างและสะอาดมาก ไฟมาจากอุปกรณ์เวทมนต์ราคาแพงเพราะมันเพิ่มความอบอุ่นให้ด้วย


ร่างกายที่หนาวจนเย็นเฉียบค่อยๆ รู้สึกดีขึ้น


จะดีแค่ไหนถ้าพี่เทียร่ากับเอลด้าได้มาพักรักษาตัวในนี้กันนะ แล้วชั้นก็รีบสะบัดความคิดนั้นทิ้ง ชั้นมาหางาน ไม่มีเวลามามัวเพ้อฝัน


ด้านในสุดของห้องมีผู้หญิงร่างใหญ่ ผมยาวสีเหลือง แถมยังสูงเกือบสามเมตร เธอนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่ยักษ์ที่ดูหรูหราและนุ่มสบาย ชั้นต้องแหงนหน้ามองถึงจะเห็นใบหน้า


แต่ทันทีที่สบตากับท่านไจเกีย ชั้นก็เริ่มตัวหนาวสั่นอีกครั้งด้วยความหวาดกลัว


ในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงดูหวาดกลัวหลังเข้ามาเจอท่านไจเกีย


ก็เพราะหัวหน้ากิล [เขี้ยวประกายแสง] ท่านไจเกีย เป็นเผ่ามนุษย์เสือโคร่ง


ดวงตานักล่าจ้องมองชั้นราวกับมองเหยื่อ รู้สึกได้เลยว่าถ้าขยับหรือถอยหนีแม้แต่นิดเดียว หัวคงชั้นต้องกลิ้งเล่นอยู่บนพื้นแน่นอน


ไม่กล้าแม่แต่กะพริบหรือหลบสายตา ชั้นอั้นฉี่ที่กำลังจะราดออกมาอย่างสุดความสามารถ


บอกตัวเองในใจเป็นพันๆ ครั้งว่าถ้าฉี่ราดออกมา เธอตายแน่คาลิก้า


“ถอดผ้าคลุมหัวออก”


คนที่สั่งคือผู้หญิงที่นำทางชั้นเข้ามาในห้อง


ชั้นอยากจะพูดปฏิเสธเพราะหน้าตาอัปลักษณ์ของชั้นอาจทำให้ท่านไจเกียโมโหได้


แต่ชั้นขัดคำสั่งนั้นไม่ได้


ชั้นจึงแกะปมผ้าด้วยอาการมือสั่น แกะเสร็จก็ดึงผ้าที่คลุมใบหน้าออกมาช้าๆ


“อึก! อุ๊ป!”


นั่นไง ผู้หญิงที่ออกคำสั่งชั้นทำสีหน้ารังเกียจในทันทีที่เธอเห็น เธอรีบเอามือปิดจมูกเพราะทนกลิ่นไม่ไหวและทรมานเหมือนอยากสำรอกออกมาแต่ฝืนกลั้นไว้ สุดท้ายเธอก็หันหน้าหนีไปเลย


“เอาออกให้หมด!!!”


เสียงทรงพลังออกคำสั่ง แน่นอนว่าเสียงนั้นมาจากท่านไจเกีย


ชั้นเข่าทรุดในทันที รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก หัวใจเต้นอย่างบ้าคลั่ง หวาดกลัวจนน้ำตาเริ่มคลอ แต่มือก็ยังไม่หยุดแกะผ้าที่พันปิดแผลตรงปากเอาไว้ พอแกะเสร็จ


“ทีมรอง หน่วย 5!!!”


ท่านไจเกียพูดจบก็เดินออกประตูอีกบานไป นี่คือเหตุผลที่ประตู บันไดแล้วก็อาคารมีขนาดใหญ่ เพราะมันสร้างขึ้นมาเพื่อท่านไจเกีย


ความกดดันจางลงในทันที แต่ก็แค่นิดเดียว


น้ำตาและฉี่ที่อั้นไว้จึงไหลออกมาพร้อมกัน


“สกปรก! ขยะแขยงเป็นบ้า! รีบพันผ้าปิดหน้าสิวะ! แล้วก็ใช้เสื้อของแกเช็ดให้สะอาดด้วย!”


ชั้นโดนตะคอกจนสะดุ้ง


“ขะ ขอโทษด้วยค่ะ จะรีบทำเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”


หลังก้มหัวขอโทษชั้นก็รีบนำผ้ามาพันปิดเป็นอย่างเดิม ก่อนจะรวบรวมแรงกายฝืนลุกขึ้นมา หันหลังให้เธอแล้วถอดเสื้อออกมาซับฉี่ของตัวเองจนพื้นแห้ง ก่อนสวมกลับเข้าไปเหมือนเดิม


“ออกไปรวมกลุ่มกับคนข้างนอกซะ! ที่นี่จะได้ฆ่าเชื้อโสโครกของแกสักที! ไสหัวไป!”


“ค่ะ จะรีบออกไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”


ชั้นรีบก้มหัวยอมรับคำดุด่าอย่างนอบน้อมและรีบเดินออกจากอาคารไปรวมกลุ่มกับอีก 3 คน ที่ผ่านการคัดเลือก


ทั้งสี่คนที่รวมตัวชั้นเข้าไปด้วยยังคงมีสีหน้าหวาดกลัวหลงเหลืออยู่


สักพักก็มีคนสามคนมาเรียกขานให้พวกเราไปรวมกลุ่ม


“หน่วย 1”


ผู้หญิงที่บอกว่าตัวเองเป็นโล่มนุษย์ เดินตามคนที่เรียกไป แต่ละคนในหน่วยนั้นใส่ชุดเกราะหนัก โล่ใหญ่หนาเตอะและอาวุธประเภทดาบกับหอก


“หน่วย 2”


ผู้หญิงอีกคนที่เลียนเสียงหมูได้เดินเข้าไปในกลุ่มนั้น คนในกลุ่มผสมผสานระหว่างสายโจมตีระยะไกลกับระยะประชิด เกราะดูเบากว่าหน่วยแรก


“หน่วย 5”


ที่เหลือคือชั้นกับผู้ชายอีกคน เดินเข้าไปรวมตัวกับ หน่วย 5


หน่วย 5 ดูจะเป็นสายชำแหละเพราะบนรถม้ามีอุปกรณ์น่ากลัวๆ เต็มไปหมด


ชั้นกับผู้ชายอีกคนถูกคนในหน่วยถามชื่อ ชั้นจึงได้รู้ว่าเขาชื่อซาน


เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อม เสียงทรงอำนาจของท่านไจเกียก็ออกคำสั่งให้เคลื่อนพล


คงมีแค่พวกเรา [แรงค์ F] ที่สะดุ้งตกใจเพราะคนอื่นที่ได้ยินเสียงต่างฮึกเหิมและส่งเสียงเชียร์กันลั่นฟ้า


กำลังพลของกิลนี้แบ่งได้เป็นสองทีม คือ ทีมหลัก กับ ทีมรอง


ท่านไจเกียนำทีมหลักไปอีกดันเจี้ยน ส่วนพวกเรา [แรงค์ F] ไปกับทีมรอง


ลูกกิลทุกคนได้ขึ้นขี่ม้าไม่ก็ได้นั่งรถม้า


ยกเว้นแค่พวกเรา [แรงค์ F] ที่ต้องวิ่งตามกันสุดฝีเท้า


ก่อนออกจากเมือง ทุกคนต้องถูกตรวจค้น ปกติคนแบบชั้นไม่เคยผ่านได้ง่ายๆ เพราะยามเฝ้าจะคิดเสมอว่าเราทำอะไรผิดมาแน่นอน


ตอนออกว่ายากแล้ว จะกลับเข้าเมืองยิ่งยากกว่า เพราะถ้าไม่มีเงินจ่ายพวกนั้นจะหาสารพัดข้ออ้างไม่ให้เราเข้าไป เพื่อลดจำนวนพวกไร้ค่าแบบชั้น เวลาออกไปเก็บฟืนจึงต้องเก็บให้เยอะที่สุด จะได้ไม่โดนรีดไถบ่อยๆ


แต่คราวนี้มากับกิลและพวกเขาแจ้งกับยามไว้แล้ว พวกชั้นเลยผ่านประตูออกไปได้โดยง่าย


งั้นขากลับก็ไม่น่ามีปัญหา


ปัญหาตอนนี้คือต้องวิ่งตามรถม้าให้ทัน


สองชั่วโมงต่อมา


เราก็มาถึงหน้าดันเจี้ยนเกิดใหม่


ชั้นกับซานนอนหอบหมดแรงราบไปกับพื้น การวิ่งไม่หยุดทั้งที่ร่างกายอ่อนแอ ทำเอาแทบขาดอากาศหายใจตาย


ซานยังดีหน่อย แต่ชั้นตอนนี้กำลังสำรอกน้ำย่อยออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้


ทั้งคอรู้สึกแสบเปรี้ยวไปหมด เส้นเอ็นกับกล้ามเนื้อปวดจนแทบอยากกรีดร้องออกมา


จริงๆ มีหลายครั้งที่ในระหว่างทางชั้นกับซานล้มหมดแรงและลุกขึ้นไปต่อไม่ได้ แต่เพราะพวกเขาจับกรอกยารสชาติชวนพะอืดพะอมอะไรสักอย่าง แลยทำให้ฝืนวิ่งต่อกันไหว


และยาทุกขวดที่ใช้กับพวกเรา พวกเขาบอกว่าจะเอาไปหักกับเงินค่าจ้างอีกด้วย


ยาขวดนั้นดูเป็นของระดับต่ำก็จริง แต่ชั้นใช้ไปเกินยี่สิบกว่าขวด ซานใช้น้อยกว่าชั้นแค่ไม่กี่ขวด


ภาวนาให้เหลือแค่เศษเงินก็ยังดี ขอแค่ไม่ติดลบจนเป็นหนี้ก็พอ


พวกเราหน่วย 5 มีเวลาได้นั่งพัก เพราะคนเคลียร์ดันเป็นหน่วย 1 ส่วนหน่วย 2 มีหน้าที่เสริมทัพ เก็บกวาดและช่วยเหลือ


การต่อสู้เริ่มไป 30 นาที หน่วย 2 ที่เหลือคนไว้บางส่วน ก็เข้าไปเสริมกำลัง พวกเขามีหน้าที่เติมเต็มตำแหน่งที่หายไปกับให้การช่วยเหลือคนที่ได้รับบาดเจ็บออกมา


คนบาดเจ็บจะถูกส่งมาให้หน่วย 3 ที่เป็นหน่วยแพทย์ มีนักผจญภัยกับนักเวทย์สายรักษา และหมอธรรมดาอยู่ในหน่วย พวกเขาดูพร้อมจะรักษาได้ทุกอาการ แม้จะเป็นสถานะผิดปกติหรือคำสาป หน่วยนี้จะส่งคนบางส่วนเข้าไปรักษาเบื้องต้นกับหน่วย 1


ผ่านไปอีก 1 ชั่วโมง หน่วย 4 ถึงตามเข้าไป หน่วยนี้ทำหน้าที่ค้นหาสมบัติและขนย้าย พวกเขาขนซากมอนสเตอร์ หีบสมบัติและขุดแร่ทุกชนิดที่เจอออกมา


มอนสเตอร์ที่พวกเขาขนออกมาเป็นประเภทโกเลมกับค้างคาว


และสุดท้ายก็เป็นหน้าที่ของหน่วย 5 พวกเขามีหน้าที่ชำแหละซาก แยกส่วน ประเมินไอเทมสมบัติและแร่ต่างๆ ก่อนจะแยกเก็บขึ้นรถม้า


รถม้าที่จุของเต็มแล้วก็จะออกเดินทางกลับกิลในทันที โดยมีคนคุ้มกันตามไปด้วย


ชั้นรู้สึกเปิดโลกมาก ทึ่งกับสิ่งที่พวกเขาทำจนอดตื่นเต้นไปด้วยไม่ได้ แม้แต่ซานที่เคยเห็นมาบ้างก็ยังจ้องมองตาไม่กะพริบ


คนหลักร้อยตรงนี้ ไม่นับรวมกับที่ส่งไปเคลียร์ดันเจี้ยน ต่างเคลื่อนไหวไปตามหน้าที่ ไม่มีการชะงักหรืองานสะดุดแม้แต่น้อย


นี่แค่ทีมรองนะ ทีมหลักจะขนาดไหน


นี่สินะกิลใหญ่ทรงอำนาจ


ตื่นเต้นจนขนลุกเลย ชั้นกับซานต่างคิดเหมือนกัน ว่าอยากเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาบ้างจัง


แต่ในขณะที่ทุกคนทำงานอย่างขยันขันแข็ง พวกเรากลับถูกสั่งให้นั่งนิ่งๆ ห้ามขยับไปไหน จะได้ไม่เกะกะหรือทำอะไรเสียหาย

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว