[จบ] แม่ปากร้ายยุค​ 80 -ตอนที่ 19 หนูไม่ใช่เด็กเหลือขอ!

โดย  Enjoybook

[จบ] แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 19 หนูไม่ใช่เด็กเหลือขอ!

ตอนที่ 2 มาแย่งคนถึงที่


สายตาหลิงซานฉิงเหลือบไปเห็นไม้กวาดอยู่ตรงมุมกำแพง นางจึงหยิบขึ้นมาแล้วทุบตีบนร่างของฉาจื่ออัน ครั้นเห็นท่าทางที่อ่อนยวบของเขาแล้วนางก็ยิ่งอารมณ์เสีย เขาขายนางไปเช่นนั้นแล้วนางจะไม่ระบายอารมณ์ออกมาได้อย่างไร? “เจ้าอ่านหนังสือ แต่ในหนังสือไม่ได้สอนเจ้าว่าสิ่งใดที่เรียกว่าพังพอนมาอวยพรปีใหม่ไก่รึ!?[1]”


ดวงตาฉาจื่ออันพร่ามัว เขากล่าวด้วยท่าทางไร้สติราวกับยังไม่ตื่น “เอาสุภาษิตที่เด็กสามขวบก็รู้มาทดสอบข้า? เหตุใดถึงได้หนาวจัง มันจะทำให้ไม่สบายนะ!”


เขากระชับเสื้อคลุมแน่น หลิงซานฉิงอยู่ในอารมณ์คุกรุ่นแต่กลับหัวเราะออกมา และโยนสัญญาลงบนหน้าของเขา “เจ้าแหกตาดูให้ดี ๆ สิ!”


“เงินเพียงห้าสิบตำลึงเองไม่ใช่รึ ข้าจะคัดลอกหนังสือให้ผู้อื่นและจ่ายคืนเอง” ใบหน้าฉาจื่ออันแดงเรื่อ พลางเปิดสัญญาอ่านด้วยความไม่พอใจ “ห้าร้อยตำลึง? นี่ นี่…”


ฉาจื่ออันทรุดตัวลงบนพื้น ใบหน้าขาวซีด และแทบจะสร่างเมาในทันใด “อย่าละทิ้งภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา เหตุใดข้าถึงได้ทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้! วิญญูชนหนักแน่นในสัจจะ ข้าต้องไปชี้แจงเหตุผลกับพวกเขา!”


มือหนึ่งของหลิงซานฉิงเท้าเอวอยู่ ส่วนอีกมือหนึ่งดึงหูเขาเอาไว้ “จะไปที่นั่นเพื่อชี้แจงเหตุผล? เจ้าคิดว่าคนเหล่านั้นจะโง่เหมือนเจ้ารึ? คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!”


นี่คือมนุษย์ป้าที่ด่ากราดไปทั่วหรอกรึ?


ฉาจื่ออันเองก็โกรธเช่นกัน “ผู้หญิงต้องถือหลักสามเชื่อฟังสี่จรรยา[2]สิ แล้วเหตุใดวันนี้เจ้าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ลูกผู้ชายจะไม่คุกเข่าพร่ำเพรื่อ ข้าฉาจื่ออันจะก้มหัวให้กับหญิงที่แต่งงานแล้วได้อย่างไร!! เจ้า…ข้า…”


หลิงซานฉิงคร้านที่จะฟังเขาพูดฉอด ๆ จึงเตะเข้าไปที่ใต้หลังเข่าของเขา และฉาจื่ออันก็ทรุดตัวลงคุกเข่าบนพื้น


วิธีการพูดในชาติก่อนนั้นเปลี่ยนแปลงได้ยาก และหลิงซานฉิงไม่อาจยับยั้งความเดือดดาลได้แล้ว “เจ้าก็รู้ว่าลูกผู้ชายไม่ควรคุกเข่าพร่ำเพรื่อ แต่กลับใช้ผู้หญิงแลกกับอนาคต นี่คือสิ่งที่ในตำราสอนเจ้ารึ? ลูกผู้ชายควรทำเช่นนี้รึ? เจ้าควรพิจารณาตัวเองให้ดี!”


คำพูดของภรรยาเป็นเหมือนกับน้ำที่เย็นจัดซึ่งดับความร้อนหลังจากที่ฉาจื่ออันมึนเมาไปครึ่งหนึ่ง และเขาก็ได้สติขึ้นมาทันที แต่กลับไม่สามารถคิดคำพูดที่จะตอบโต้กับนางได้ เรื่องนี้เป็นความผิดของเขาจริง ๆ หากรู้ว่าทำผิด ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้


ครั้นเห็นเขาไม่เต็มใจที่จะยืนขึ้น หลิงซานฉิงก็กล่าวต่อ “เจ้าคุกเข่าครั้งนี้ ไม่ใช่คุกเข่าให้แก่ข้า มันคือการคุกเข่าให้กับหนังสือที่เจ้าเคยอ่านและสิ่งที่ได้เรียนมาในอดีต! ขายภรรยาเพื่อแสวงหาความรุ่งโรจน์เป็นสิ่งที่ไร้มนุษยธรรม ละทิ้งภรรยาในยามยากลำบากคือสิ่งที่ไร้ความเที่ยงธรรม ผิดคำสัญญางานหมั้นคือสิ่งที่ไร้จารีต ถูกผู้อื่นหลอกคือสิ่งที่ไร้ปัญญาธรรม คุณธรรมห้าประการในหนังสือ เจ้าทำลายมันไปแล้วสี่ข้อ เจ้าสมควรจะคุกเข่าลงหรือไม่?! อาจารย์สวีชื่นชมเจ้าอย่างมาก แต่เจ้ากลับทำลายความคาดหวังของเขา!”


คำพูดเหล่านี้พุ่งใส่ฉาจื่ออันอย่างสาหัส ใบหน้าของเขาแดงก่ำ และไม่รู้ว่าเป็นเพราะความรู้สึกผิดหรือเป็นเพราะฤทธิ์เหล้า เขาจึงอ้ำอึ้งเป็นเวลานาน ก่อนที่จะพ่นประโยคหนึ่งออกมาว่า “เจ้าเปลี่ยนไปเป็นคนช่างพูดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน เหตุใดถึงได้แตกต่างจากเดิมมากเยี่ยงนี้”


จู่ ๆ นางก็ปวดหัวขึ้นมา หลิงซานฉิงยื่นสองนิ้วออกไปดีดหน้าผากเขา แม้คำพูดจะธรรมดา แต่กลับแฝงความเย็นชาอยู่ในนั้น “ข้าไปที่จวนท่านพยายมมา ท่านพยายมเห็นข้าสะสมความดีมามากจึงไว้ชีวิตข้า และส่งข้ากลับมาสั่งสอนเจ้า”


ครั้นฉาจื่ออันได้ฟังก็สับสน อยากเจาะลึกคำพูดเข้าไปอย่างละเอียด และถามนางว่าเหตุใดต้องเข้าไปในจวน แต่จู่ ๆ เขาก็ปวดหัวขึ้นมา เหล้ากำลังออกฤทธิ์ขึ้นมาแล้ว


เขาถอนหายใจยาว คุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างสัตย์ซื่อ และแอบเหลือบมองหลิงซานฉิง ประหนึ่งเด็กที่กระทำความผิดมา “เช่นนั้นข้าควรฟังในสิ่งที่ภรรยาสอนจริง ๆ แล้วข้าควรทำอย่างไรถึงจะดี?”


หลิงซานฉิงลอบยิ้มในใจ เจ้าซิ่วไฉไส้แห้งคนนี้กลับคืนสู่ครรภ์มารดาแล้ว มิน่าล่ะถึงได้หลอกตัวเองเก่งนัก เชื่อคำพูดของคนอื่นเขาไปทั่ว ไม่รู้ว่าได้ชื่อนี้มาด้วยวิธีใด


นางพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ “เจ้าคิดดูเอาเอง คิดได้เมื่อใดก็กินข้าวได้เมื่อนั้น!” นางถืออาหารเย็นที่ทำเสร็จแล้วออกมาจากห้องครัว โดยไม่สนใจฉาจื่ออันที่คุกเข่าอยู่แต่อย่างใด


“อา อาอือ อือ” เจี่ยนเจี่ยนสูดหายใจเข้าลึกด้วยความพอใจและเลียริมฝีปาก พลางชี้มันบดสีเหลืองในถ้วยดินเผาอย่างมีความสุข


นางบดมันที่แข็งให้ละเอียดตามวิธีทำในชาติที่แล้ว จากนั้นก็เติมต้นหอมและเกลือเล็กน้อย และหาน้ำมันหมูมาอีกเล็กน้อย จนทำออกมาได้หนึ่งถ้วยใหญ่


เจี่ยนเจี่ยนใช้ช้อนไม้ตักใส่ปากทีละคำ เด็กน้อยเพิ่งเริ่มหัดกินด้วยตัวเอง เขายังถือช้อนได้ไม่มั่นคงนัก ท่าทางเงอะงะซุ่มซ่ามนั้นทำให้รู้สึกนึกรักและเอ็นดูเป็นพิเศษ


แววตาสับสนของหลิงซานฉิงที่มองเจี่ยนเจี่ยนนั้น นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในสายตาของนางเต็มไปด้วยความสงสารอย่างเหลือล้น นางคิดในใจว่า ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสารจริง ๆ แค่มันบดถ้วยเดียวก็กินอย่างมีความสุขขนาดนั้นเชียวรึ


นางตักมันบดมาถ้วยหนึ่ง ทว่าในหัวกลับคิดว่าจะจัดการกับสถานการณ์ยามนี้อย่างไรดี


เงินห้าร้อยตำลึงเป็นจำนวนไม่ใช่น้อย ๆ ในชาติก่อนมีมูลค่าถึงหลายสิบล้าน อีกฝ่ายวางแผนใช้สถานการณ์นี้ไล่บีบฉาจื่ออัน ดูเหมือนว่าคงต้องเดิมพันกันสักรอบแล้วล่ะ


โครกคราก โครกคราก…


เสียงนี้ดึงหลิงซานฉิงกลับมาสู่ความจริง มันดังมาจากที่ไหนกัน?


คนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นลูบท้องไปมา หากไม่ใช่ฉาจื่ออันแล้วจะเป็นใคร?


เสียงโครกครากดังออกมาจากในท้อง ใบหน้าบวมเป่งของเขาแดงก่ำ เขากินกับแกล้มไปเพียงนิดเดียว และเขาก็หิวมานานแล้ว


ไม่รู้ว่าบนเตาต้มสิ่งใดเอาไว้ กลิ่นหอมที่โชยออกมาทำให้น้ำย่อยในท้องเริ่มเดินขึ้นมา


หลิงซานฉิงอุ้มเจี่ยนเจี่ยนนั่งบนเก้าอี้ไม้ พลางเหลือบมองฉาจื่ออันอย่างเมินเฉย “เจ้าหิวอยู่สินะ หาแผนรับมือได้เมื่อไหร่ค่อยว่ากัน” ทั้งสองคนผลัดกันป้อนมันบดไปมาอย่างมีความสุข มันของยุคนี้ไร้สิ่งปนเปื้อน จึงมีรสชาติหวานเล็กน้อย อร่อยกว่ามันของชาติก่อนมาก


ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออกจนเกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด


หญิงชราที่มีอายุประมาณห้าสิบกว่าปีเดินเข้ามา และอีกฝ่ายยังพาคนชราที่มีร่างกายผอมแห้งคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วย


หญิงชราผู้นั้นนำผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากอยู่บ่อย ๆ พลางเดินเข้ามาพร้อมกับกล่าวว่า “ลุงรอง ท่านต้องไปเป็นพยานให้ข้านะ แม่ของเด็กล้มลงและลุกขึ้นเองไม่ได้ เมื่อถึงตอนที่คุณชายรองถาม ท่านจะต้อง…”


เสียงนั้นขาดหายไปอย่างฉับพลัน หญิงชราเห็นสองแม่ลูกนั่งอยู่บนเก้าอี้และกำลังแย้มยิ้มพูดคุยกัน ก่อนจะหันไปมองฉาจื่ออันที่หน้าแดงก่ำอยู่ในห้อง


นางจึงกรีดร้องเสียงแหลมจนแสบแก้วหู พลางเอ่ยด้วยสายตาล่อกแล่ก “นังบ้านี่ ให้ตายสิ แกยังไม่ตายรึ! ข้าวิ่งเต้นไปทั่วเพื่อช่วยแก แต่แกยังมีใจที่คิดจะกินข้าวอยู่อีกรึ? จื่ออัน เจ้าคุกเข่าอยู่ทำไม ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”


เจี่ยนเจี่ยนตกใจจนทำช้อนไม้ในมือร่วงลงในถ้วย พลางปิดหูแล้วเข้าไปซุกอยู่ในอ้อมกอดหลิงซานฉิง


หลิงซานฉิงจัดผมให้เขา และจัดแจงเขาให้กลับไปนั่งบนเก้าอี้ดี ๆ “ไม่ต้องกลัว มีแม่อยู่”


ฉาจื่ออันมองท่าทางขลาดกลัวของเจี่ยนเจี่ยน แล้วหันไปมองหญิงชราอีกครั้ง ก่อนจะขมวดคิ้วครุ่นคิดทันที


หญิงชราผู้นี้มีรูปร่างที่สูงกว่าผู้หญิงธรรมดามากนัก ยามที่เดินด้วยความเร็วเต็มที่สามารถสลัดคนที่อยู่ข้างๆ ทิ้งไปได้


นางเดินมาถึงอีกด้านของโต๊ะ และพลิกถ้วยที่อยู่บนโต๊ะทิ้ง เศษต่าง ๆ กระจัดกระจายไปทั่ว


และยังชี้หน้าสาปแช่งหลิงซานฉิง พลางพ่นน้ำลายออกมาพร้อมคำพูด “นังหญิงต่ำช้า ข้าไปก่อเวรก่อกรรมอะไรไว้ ถึงได้เจ้ามาเป็นลูกสะใภ้ในตระกูลฉา ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องทำร้ายจื่ออัน ยามนี้ยังเหยียบจมูกขึ้นหน้าอีก![3] ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตาย!”


ครั้นเห็นหญิงชราเดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ หลิงซานฉิงก็อุ้มเด็กไปยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง มองอีกฝ่ายด้วยสายตาราวกับมองคนบ้า แท้จริงแล้วหญิงชราผู้นี้ก็คือฉาซื่อ ผู้เป็นมารดาของฉาจื่ออันนั่นเอง


สายตานั้นทำให้ฉาซื่อรู้สึกไม่สบายใจ แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้โต้แย้งหรือลงมือกลับ แต่กลับรู้สึกขนลุกเพราะสายตาอีกฝ่ายที่จ้องมองมา และยังให้ความรู้สึกเย็นชาเล็กน้อย นางสำรวจหลิงซานฉิงตั้งแต่หัวจรดเท้า พลางคิดกับตัวเองว่า ‘คนก็ยังเป็นคนเดิม เหตุใดถึงรู้สึกเหมือนเปลี่ยนไป? แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปอย่างไร นางก็ยังเป็นสะใภ้ตระกูลฉาอยู่ดี!!’


สายตาของหญิงชราหยุดอยู่ที่หน้าผากของหลิงซานฉิง แววตาก็เปล่งประกายวาบขึ้น นางจับจุดอ่อนใหม่ได้แล้ว จึงเอ่ยขึ้นอย่างทนไม่ไหว “ริอาจนำผ้าที่ข้าเอาไว้ทำเป็นเสื้อผ้ามาพันหัว ถุย!”


เมื่อพูดจบก็พุ่งตัวไปทางหลิงซานฉิง หญิงสาวที่อุ้มเด็กอยู่หลบไม่ทัน ทั้งสองจึงปะทะกันเต็ม ๆ


หลิงซานฉิงกอดเจี่ยนเจี่ยนไว้ในอ้อมอก เอาหลังตัวเองปกป้องเด็กน้อยไว้ หญิงชราถือโอกาสที่หลิงซานฉิงไม่ทันระวัง แล้วยื่นมือไปดึงผ้าที่พันรอบหัวนางออกมา


บาดแผลได้รับการกระทบกระเทือนจนเจ็บปวด หลิงซานฉิงจึงโมโหขึ้นมา นางเคยถูกคนชี้หน้าด่าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? นางปล่อยเจี่ยนเจี่ยนไว้บนพื้น พลางเก็บเศษอาหารบนพื้นขึ้นมา อีกมือจับข้อมือหญิงชราเอาไว้แน่นจนขยับกายไม่ได้ ครั้นเห็นเจี่ยนเจี่ยนตกใจร้องไห้อยู่อีกด้านก็ใช้อีกมือตบออกไปทันที


ด้วยพละกำลังอันมหาศาล ทำให้เจี่ยนเจี่ยนโงนเงนล้มลงกับพื้น เขากัดฟันกุมศีรษะและพยายามข่มเสียงร้องไห้ ทั้งยังมองไปที่หญิงชราอย่างขลาดกลัว หลิงซานฉิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกกังวล


หลิงซานฉิงบีบข้อมือของฉาซื่อเอาไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งยื่นไปขยุ้มผมนางอย่างรุนแรง


หนังหัวของหญิงชราถูกกระชาก นางจึงหันหน้ามาโดยสัญชาตญาณ หลิงซานฉิงจึงตบลงไปบนหน้านางทันที


หลังจากเสียงตบดังออกมาก็เงียบไปครู่หนึ่ง ลุงรองของฉาจื่ออันคิดว่าเป็นเรื่องปกติของตระกูลฉาและตั้งใจจะไม่เข้าไปวุ่นวาย ทว่ายามนี้เมื่อเห็นทั้งคู่ตีกันขึ้นมา เขาก็รีบเข้าไปดึงหญิงชราไว้ทันที “ในเมื่อภรรยาของจื่ออันยังมีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว เจ้าอย่า…”


ฉาซื่อถกแขนเสื้อขึ้น พลางพ่นลมลงบนฝ่ามือสองสามครั้ง ก่อนจะถูมือไปมา


ครั้นเห็นลุงรองทำท่าจะรั้งเอาไว้ไม่ไหวแล้ว แต่ฉาซื่อก็ยังเอ่ยปากสอนนางว่า “เจ้ากล้าตบข้ารึ? จื่ออัน ทำไมเจ้ายังไม่รีบช่วยข้าสั่งสอนมัน!”


ฉาจื่ออันยืนอยู่ตรงกลางระหว่างฉาซื่อกับหลิงซานฉิง เขารู้สึกว่าทั้งสองนั้นดูเหมือนไม่ใช่คน


เขาเหลือบมองหญิงชราในชุดสีคราม ชุดที่นางสวมอยู่ยังคงดูสะอาดสะอ้าน ครั้นหันไปมองหลิงซานฉิงที่เส้นผมยุ่งเหยิง บนขมับมีเลือดไหลซึม อีกทั้งทั่วร่างยังเต็มไปด้วยฝุ่นดิน


ทว่าทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งคือแม้แท้ ๆ ของเขา อีกคนคือภรรยาที่เขากำลังรู้สึกละอายใจต่อนาง แล้วเขาควรจะช่วยอย่างไร?


สายตาของทั้งสองเสมือนสายฟ้าฟาด เสียงเปรี๊ยะ ๆ ที่ดังขึ้นนั้นมากพอจะทำให้เขาตายลงได้ เมื่อเขาเห็นหลิงซานฉิงไม่เอ่ยอะไร จึงมองผ่านเลยไป


หญิงชราทุบอกกระทืบเท้าและบีบน้ำตาลงมาสองสามหยด พลางใช้มุมผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาตลอดเวลา จึงทำให้ดวงตาถูกปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ขณะนั้นเองความชั่วร้ายก็ปรากฏออกมา ปากของนางก็ยังไม่หยุดรำพัน “นังหญิงต่ำช้าผู้นี้กับเด็กใบ้คนนั้นกินอาหารกันอย่างมีความสุข แต่กลับปล่อยให้เจ้าหิว และยังไม่ชัดเจนกับคุณชายรองผู้นั้นอีก หญิงคบชู้สวมเขาเช่นนี้ ได้ทำลายตระกูลฉาของพวกเรา ไม่เช่นนั้นเหตุใดสวรรค์ถึงทำให้นางกำเนิดลูกชายที่เป็นใบ้มาล่ะ!”


หลิงซานฉิงไม่แสดงความอ่อนแอออกมาแม้แต่น้อย และยังเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “มีสิ่งใดที่ข้าต้องขอโทษตระกูลฉากัน? ต้มน้ำทำอาหาร ทำนา ซักผ้า สิ่งไหนที่ข้าไม่ได้ทำ? เจี่ยนเจี่ยนป่วยก็ควรถูกพวกท่านรังแกรึ?”


กลิ่นอายที่ไม่เหมือนเดิมของหลิงซานฉิงทำให้หญิงชรารู้สึกประหลาดใจ


ส่วนฉาจื่ออันรู้สึกปวดหัว เหตุใดเมื่อก่อนเขาไม่เคยสนใจความขัดแย้งมากมายระหว่างแม่และเมีย?


เขานวดขมับอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยไกล่เกลี่ย “ท่านแม่ ท่านพูดน้อยลงหน่อยไม่ได้รึ วันนี้ข้าผิด ข้าไม่ควร…”


หญิงชรายกมือขวาขึ้นลูบหัวของฉาจื่ออันไปมาเพื่อขัดคำพูดของเขา หลังจากนั้น นางก็ส่ายหน้าอย่างเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ “เจ้าหยุดพูดซะ เจ้าใช่ลูกชายข้าจริง ๆ หรือไม่! ถึงได้พูดช่วยหญิงต่ำช้าคนนี้!”


ขณะนั้นเอง บริเวณหน้าประตูก็ปรากฏร่างของใครบางคนมาแวบหนึ่ง แววตาของฉาซื่อเป็นประกายขึ้นมา พลางยืดหลังให้ตรงขึ้นอีก “สะใภ้ใหญ่ สะใภ้รอง รีบเข้ามาหาข้า!”


ที่แท้ด้านนอกห้องยังมีพี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองของฉาจื่ออันยืนอยู่ ทั้งสองเพิ่งกลับมาจากการซักผ้า และมีเพื่อนบ้านไม่กี่คนที่ไปซักผ้ากับทั้งสองคนด้วย พวกนางต่างชะเง้อหน้ามองเข้ามาด้านใน บนใบหน้าเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น


ครั้นหญิงชราเห็นว่ามีคนมองอยู่ด้านนอก ก็แสร้งแข้งขาอ่อนแรงล้มลงไปในอ้อมแขนของฉาจื่ออัน พลางเอ่ยเสียงดังให้คนด้านนอกได้ยิน “สะใภ้ตีแม่สามี ทุกคนรีบมาตัดสินเร็ว! เช่นนี้แล้วข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!”


ประโยคนี้ดึงดูดความสนใจคนด้านนอกขึ้นมา เพื่อนบ้านสองสามคนมองความคึกคักโดยไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร พลางวางอ่างไม้ในมือลงและพากันซุบซิบนินทา “สะใภ้สามบ้านตระกูลฉาทำไมถึงได้โหดร้ายขนาดนี้ ไม่นึกเลยว่าจะเหิมเกริมกล้าทำร้ายแม่สามี?”


“บ้านผู้ใดมีสะใภ้เช่นนี้ บ้านคนนั้นก็คงโชคร้าย รีบ ๆ หย่าไปเสียเถิด!”


หญิงอีกสองคนที่มือเท้าหนาก็รีบวางอ่างไม้ในมือลง ในขณะที่หญิงชรามองจอบที่อยู่นอกห้องเก็บฟืนก็เบ้ปาก ทั้งสองเข้าใจในทันที จึงหยิบจอบออกมาแล้วเดินอ้อมไปด้านหลังหลิงซานฉิง


หลิงซานฉิงไม่ใช่คนที่มีอัธยาศัยดีอะไร นางจึงนำเศษถ้วยดินเผามาถือไว้ “ใครเข้ามา ข้าจะกรีดใบหน้านางทันที!”


ฉาซื่อขมวดคิ้ว พลางผลักฉาจื่ออันที่ประคองอยู่ออกไป ก่อนจะเอ่ยอย่างคับแค้นใจ “มันจะมากเกินไปแล้วนะ! เจ้าใหญ่ ไปเชิญผู้นำตระกูลฉามา เจ้ารองรีบไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน ให้พวกเขามาตัดสิน! ตระกูลฉาควรจะหย่าสะใภ้คนนี้หรือไม่!”


ม่านตาหลิงซานฉิงหรี่ลงพลางคิดอย่างรวดเร็ว หากท่านผู้นำตระกูลมาคงไม่เป็นเรื่องดีแน่ และนางก็มีวิธีจัดการอยู่ในใจแล้ว


ในเวลานี้เอง เสียงหัวเราะหนึ่งก็แทรกเข้ามา “ดูเหมือนข้าจะมาได้ถูกเวลาสินะ แม่จื่ออัน ดีเลยนะ ดูสิว่าข้าพาผู้ใดมาด้วย”


ดวงตาคู่งามของหลิงซานฉิงจ้องเขม็งไปหาคนที่ก้าวข้ามประตูเข้ามา และผู้ที่กล่าวออกมาเมื่อครู่นี้ก็คือหลี่ฉาง ผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน


หลังจากที่หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยจบ ก็หมุนตัวประสานมือคารวะไปทางคนที่อยู่ด้านหลัง และหลิงซานฉิงก็ถือโอกาสที่หลี่ฉางเผยช่องว่างเพื่อให้นางมองเห็นคนผู้นั้น


คุณชายรองตระกูลอวี๋ อวี๋ซิ่งเหวิน


[1] ต่อหน้าทำเป็นรักใคร่ห่วงใย แต่ใจจริงมุ่งร้ายไม่หวังดี

[2] คือผู้หญิงหากยังไม่ออกเรือนต้องเชื่อฟังบิดา เมื่อแต่งงานมาต้องเชื่อฟังสามี และเมื่อสามีถึงแก่กรรมต้องเชื่อฟังบุตรชาย

[3] อุปมาถึงฝ่ายหนึ่งให้เกียรติไม่สนใจพฤติกรรมหยาบคายของอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายไม่เพียงไม่ใส่ใจ กลับมีทีท่าได้ใจยิ่งขึ้น


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว