“ในตอนนั้นท้องฟ้ามักจะสดใสวันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าเธอพูดเสมอว่าวันจบการศึกษาช่างแสนไกลจนมองไม่เห็น...”
คราวนี้ นักศึกษาชายในโรงละครต่างดำดิ่งลงไปในความทรงจำ
ใบหน้าของเพื่อนร่วมโต๊ะ ที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้น ถ้อยคำที่ต่อว่าและพูดคุยกันค่อย ๆ ดังขึ้นในหู
ช่วงเวลานั้นที่ได้อยู่กับเด็กสาว พวกเขามักจะอารมณ์ดี ผ่อนคลาย ไร้กังวลเสมอ รู้สึกว่าชีวิตดำเนินไปอย่างเชื่องช้าและเชื่อมั่นว่าความรู้สึกที่แท้จริงนี้จะคงอยู่ตลอดไป
แต่ในวันที่เชื่องช้านั้น เวลากลับไร้ความปราณีและโบยบินไปราวกับสายฟ้า
ชั่วพริบตาพวกเขาต่างก็วิ่งตามหาชีวิตของตัวเอง
“ใครหนอพานพบเธอคนอ่อนไหวขี้ใจน้อย
ใครกันคอยปลอบโยนคนขี้แยอย่างเธอ
ใครหนอได้อ่านจดหมายที่ฉันเขียนให้เธอ
ใครกันทิ้งมันปลิวหายไปกับสายลม…”
ท่วงทำนองอันไพเราะของกีตาร์และกลอง ดึงความโศกเศร้านั้นออกมาจนแทงทะลุหัวใจของพวกเขา
ทำให้นักศึกษาชายเหล่านั้น อดไม่ได้ที่จะนึกถึงช่วงเวลาวัยเยาว์ตอนเรียนหนังสือของตนเอง คิดถึงคนที่นั่งข้างตัวเองในตอนนั้น ร้องไห้ในบางเวลา แต่ไม่เคยแค้นเคือง แอบเขียนจดหมายถึงเธอ แต่เธอกลับเก็บไว้ราวสมบัติล้ำค่า...
“วันเวลาในอดีตช่างไกลห่าง
ฉันเองก็มีภรรยาของฉัน
ฉันให้หล่อนดูรูปถ่าย
บอกเล่าเรื่องราวของเธอคนที่เคยนั่งร่วมโต๊ะข้างกัน...”
เนื้อเพลงท่อนนี้ทำให้เหล่านักศึกษาชายทั้งหมดกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง
จากความทรงจำสู่ปัจจุบันที่เป็นความจริง หากแต่งงาน ฉันควรให้ภรรยาได้ดูภาพและฟังเรื่องของเธออย่างตรงไปตรงมา
เหล่านักศึกษาชายเริ่มถอนหายใจ พวกเขาต้องยอมรับความจริงในข้อนี้ แม้จะรู้สึกหมดหนทาง แต่จิตใจกลับสงบลง !
“ใครหนอที่แต่งไปกับเธอคนอ่อนไหวขี้ใจน้อย
ใครกันคอยปลอบโยนคนขี้แยอย่างเธอ
ใครหนอเกล้ามวยผมให้กับเธอ
ใครกันตัดชุดแต่งงานให้กับเธอ...
ล้า... ล้า...”
เมื่อเพลงจบลง ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาชายหรือนักศึกษาหญิง บนใบหน้าของพวกเขาต่างเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา น้ำตาที่ไหลออกมาอย่างเงียบ ๆ แม้จะกลั้นเอาไว้เพียงใดแต่สุดท้ายก็ไหลออกมาอยู่ดี
เพลงนี้ทำให้คนจมลงสู่ทะเลความทรงจำ ชวนให้คิดถึงอดีตได้อย่างง่ายดาย
หนึ่งเพลง สองอารมณ์ ความทรงจำที่เคยประทับใจของเราไม่เคยเก่าไปตามกาลเวลา !
หลิวจือเซียโค้งคำนับให้ผู้ชม
จากนั้นเขาก็วางกีตาร์โปร่งลง ขอบตาของเขาแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย
ความจริงแล้วเพลงนี้ก็โดนใจเขามากเช่นกัน มีใครบ้างที่ไม่เคยเป็นเด็ก ใครบ้างไม่เคยผ่านช่วงวัยเยาว์
สามารถกลั้นไม่ให้ร้องไห้ได้ ก็นับว่าหลิวจือเซียควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดีมากแล้ว
“แปะ ! ”
“แปะแปะ ! ”
“แปะแปะแปะ ! ”
เสียงปรบมือค่อย ๆ ดังขึ้น เหล่านักศึกษาที่จมอยู่กับเสียงร้องมานานในที่สุดก็เพิ่งรู้สึกตัว จากนั้นเสียงปรบมือก็ค่อย ๆ ดังขึ้นจนกึกก้องไปทั่วโรงละคร
ตามมาด้วยเสียงตะโกนที่ดังลั่นไปทั่วทั้งโรงละคร
“บ้าจริง ใครกล้าบอกว่าจือเซียของฉันเป็นแค่เน็ตไอดอลอีกล่ะก็ ฉันจะอัดให้เละเลย ! ”
“สามารถแต่งเพลงใหม่และร้องออกมาได้อย่างง่ายดาย เท่สุด ๆ ไปเลย ! ”
“ตอนที่ได้ฟังเพลง ‘ได้เจอเธอพอดี’ ของเขา ฉันก็ร้องไห้ไปแล้วรอบหนึ่ง พอมาตอนนี้ก็ยังต้องร้องไห้อีก ! ”
ตรงที่นั่ง เสียงโห่ร้องและเสียงปรบมือของเหล่านักศึกษายังคงดังอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาถึงสองนาทีเต็ม
เมื่อเหล่านักศึกษาสงบสติอารมณ์ลงแล้ว หวางฉีซึ่งแอบอยู่ข้างเวทีก็ถือโอกาสนี้กลับขึ้นไปเวทีอีกครั้ง
“เอาล่ะครับ พวกเราขอบคุณหลิวจือเซียมาก ที่มาร้องเพลง ‘เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน’ ให้เราฟัง”
หวางฉีเดินมาที่กลางเวที ดวงตาของเขาแดงเรื่อ “หากทุกคนชอบเพลง ‘เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน’ ให้เริ่มลงคะแนนได้เลย นับถอยหลัง 30 วินาที เริ่มได้ ! ”
บนหน้าจอขนาดใหญ่ปรากฎแท่งกราฟรูปทรงสี่เหลี่ยมและตัวเลขอารบิกอีกครั้ง แต่สิ่งที่ต่างออกไปก็คือ คราวนี้แท่งกราฟรูปทรงสี่เหลี่ยมกลับปรากฏขึ้นถัดจากแท่งกราฟรูปทรงสี่เหลี่ยม ของหลิวไค
ทำให้เห็นถึงการเปรียบเทียบได้อย่างชัดเจน
แท่งกราฟรูปทรงสี่เหลี่ยมของหลิวจือเซียค่อย ๆ พุ่งสูงขึ้น ไม่นานก็นำหน้าหลิวไคในที่สุด
แม้ตัวเลขอาราบิกบนแท่งกราฟรูปทรงสี่เหลี่ยมจะกลายเป็นเครื่องหมายคำถามสามอัน แต่มีแค่คนโง่เท่านั้นที่ไม่รู้ว่าการแข่งขันครั้งนี้หลิวจือเซียเป็นผู้ชนะ !
ด้านข้างเวทีสีหน้าของหลิวไคพลันซีดลงทันที ในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ส่วนหลางเวิ่นซิงกลับมีสีหน้าผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด !
นั่นเรียกว่าอะไร นั่นเรียกว่าความเบิกบานใจยังไงเล่า !
เจ้าหานจวิ้นชิงอาศัยว่าตัวเองมีความสามารถ แม้แต่อยู่ในบริษัทก็ไม่ไว้หน้าเขา คราวนี้เป็นอย่างไงล่ะ ก็แพ้ให้เขาอยู่ดี รอกลับไปที่บริษัทแล้ว ดูสิแกยังจะกล้าหยิ่งผยองอีกไหม
หลางเวิ่นซิงเต็มไปด้วยความยินดีปรีดา !
“ขอเชิญหลิวไคขึ้นมาบนเวทีด้วยครับ พวกเราจะประกาศผลแล้วครับ ! ”
หวางฉีจ้องไปที่แท่งกราฟรูปทรงสี่เหลี่ยมทั้งสองเสาบนหน้าจอมีตัวเลขโชว์ขึ้นมา “165 ต่อ 227 ขอแสดงความยินดีกับหลิวจือเซีย ที่ชนะการแข่งขันครั้งนี้ ด้วยคะแนนที่ขาดลอยครับ ! ”
“หลิวจือเซีย ! ”
“หลิวจือเซีย ! ”
ในโรงละครเล็ก ๆ แห่งนี้ก็ปั่นป่วนขึ้นมาทันที เหล่านักศึกษาทั้งหมดต่างก็ตะโกนเรียกชื่อของหลิวจือเซียอย่างบ้าคลั่ง
“ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ! ” หลิวจือเซียพนมมือขึ้น พลางกล่าวขอบคุณไม่หยุด
หลิวไคเดินขึ้นเวทีไปด้วยความอกสั่นขวัญแขวน ท่าทางย่ำแย่อย่างมาก
“นายแพ้แล้ว ! ” หลิวจือเซียจ้องหลิวไคพร้อมกับเอ่ยต่ออีกว่า “หวังว่านายจะทำตามที่สัญญาเอาไว้ ! ”
“แก แกอย่าได้รังแกเกินไปหน่อยเลย ! ” หลิวไคขบกรามแน่น พลางเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“รังแกเกินไปงั้นหรือ ? ” หลิวจือเซียหัวเราะเสียงเย็น “ตอนที่นายเสนอเงื่อนไขพวกนั้นออกมา นายเคยคิดไหมว่าตนเองรังแกคนอื่นมากขนาดไหนห๊ะ ? ”
หลิวไคปรายตามองไปทางคณะกรรมการ พลางเอ่ยว่า “ฉันจะบอกแกให้นะ อาจารย์หานเป็นลุงแท้ ๆ ของฉัน ถ้าแกกัดฉันไม่เลิกล่ะก็ ฉันกล้ารับประกันเลยว่าต่อไปแกจะไม่มีทางได้เพลงดี ๆ จากเขาแม้แต่เพลงเดียว”
ในเมื่อกล่อมไม่สำเร็จก็เริ่มขมขู่เลยงั้นหรือ !
อีกอย่างเจ้าหมอนี่ยังเป็นหลานชายแท้ ๆ ของหานจวิ้นชิง มิน่าล่ะหานจวิ้นชิงถึงเข้าข้างเขาขนาดนี้ !
“เพลงจากเขางั้นหรือ ? ” หลิวจือเซียหัวเราะออกมา “ตั้งแต่เพลง ‘ได้เจอเธอพอดี’ มาจนถึงเพลง ‘เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน’ เพลงไหนที่ด้อยไปกว่าเพลงของลุงนายบ้าง นายคิดว่าฉันจะไปอ้อนวอนให้ลุงของนายแต่งเพลงให้งั้นหรือ ? ”
“หลิวจือเซีย ! ” เมื่อไม้อ่อนไม้แข็งล้วนไม่สำเร็จ สีหน้าของหลิวไคเวลานี้จึงเต็มไปด้วยความดุดัน
“ฮ่าฮ่าฮ่า ทำไม นายจะกัดหัวฉันหรือไง ? ”
หลิวจือเซียไม่กลัวหลิวไคเลยแม้แต่น้อย “ลูกผู้ชายต้องรักษาสัญญา นายก็รู้ว่าที่โรงละครแห่งนี้มีอุปกรณ์บันทึกภาพเอาไว้ ถ้านายกล้าเบี้ยวล่ะก็ ฉันจะโหลดคลิปวีดีโอออกมาจากนั้นก็จะเอาไปโพสต์ลงเน็ต ทำให้นายไม่สามารถก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงได้อีก ! ”
“ถือว่านายแน่มาก ! ” สีหน้าของหลิวไคซีดลงยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะคุกเข่าลงให้กับหลิวจือเซีย พลางโขกหัวลงกับพื้นและเอ่ยว่า “ฉันเป็นหมูโง่ ฉันเป็นหมูโง่ ฉันเป็นหมูโง่ ! ”
ท่าทางที่เกิดขึ้นอย่างปุ๊บปั๊บของหลิวไค ทำให้นักศึกษาทั้งโรงละครต่างก็ตื่นตกใจไปตาม ๆ กัน
“แม่เจ้า ต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือ ทำอะไรกันเนี่ย บ้าไปแล้วหรือ ? ”
“นายไม่รู้อะไร เมื่อกี้รุ่นพี่บอกว่านี่เป็นเดิมพันที่พวกเขาสัญญากันเอาไว้ก่อนที่จะแข่งกัน”
“อะไรกัน แค่พูดกันไม่รู้เรื่องถึงกับต้องทำเรื่องบ้า ๆ แบบนี้เลยหรือ ? ”
เมื่อเหล่านักศึกษารู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทว่ากลับไม่มีใครเห็นใจหลิวไคแม้แต่น้อย หยิ่งยโสแบบนี้ ย่อมต้องโดนสั่งสอนซะบ้าง !
อีกทั้งการเอาคืนแบบนี้ เยี่ยมไปเลย ขอปรบมือให้ !
“เสี่ยวข่าย ! ”
หานจวิ้นชิงลุกขึ้นจากโซฟาทันที ดวงตาของเขาแทบจะลุกเป็นไฟ
“เดี๋ยวก่อน ! ” หลางเวิ่นซิงดึงหานจวิ้นชิงเอาไว้พอดี “กล้าพนันก็ต้องกล้ายอมรับความพ่ายแพ้ พนันกันเอาไว้แล้ว นายบอกเองไม่ใช่หรือว่าเป็นเรื่องของเด็ก ให้พวกเขาไปจัดการกันเองเถอะน่า ! ”
เยี่ยม คำพูดของเขาย้อนกลับมาเข้าตัวเสียแล้ว !
“อาจารย์หาน นายเองก็อย่าลืมสัญญาของเราก่อนหน้านี้ด้วยล่ะ” หลางเวิ่นซิงเอ่ยเตือน “หลังกลับไปถึงบริษัท ฉันหวังว่าจะได้เห็นนายคนใหม่ ที่ไม่ทำตัวสูงส่งคิดว่าตัวเองเป็นเจ้านักแต่งเพลงอันดับหนึ่ง”
หานจวิ้นชิง “คุณวางใจเถอะ ผมไม่ใช่คนที่แพ้ไม่เป็น ! ”
ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่หลิวไคไม่ได้เรื่อง สู้คนอื่นไม่ได้ !
“ดี ได้ยินคำพูดนี้ของนาย ฉันก็วางใจแล้ว ! ” หลางเวิ่นซิงพยักหน้า “เหมือนกับที่พวกเขาตกลงกันก่อนหน้านี้ หลิวไคถูกคัดออกจากการคัดเลือก ยังมีผู้หญิงอีกคนที่ยังไม่ได้แสดงความสามารถใช่ไหม พวกนายคัดเลือกต่อก็แล้วกัน เย็นนี้ฉันมีนัดทานข้าวกับเพื่อน ต้องขอตัวก่อนล่ะ ! ”
หลางเวิ่นซิงลุกขึ้นยืน และส่งสัญญาณให้กับหลิวจือเซียบนเวที
“หวังว่านายจะทำตามสัญญานะ ! ”
หลิวจือเซียพยักหน้ารับ ก่อนจะทิ้งคำพูดเอาไว้ให้หลิวไค แล้วเดินตามหลางเวิ่นซิงออกไปด้านนอก
ส่วนเย่หลินเถาน่ะหรือ ให้เขากลับไปกับพวกหูอี้ฟานก็แล้วกัน ยังไงซะกลับบริษัทไป เขาก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ไม่สู้ให้กลับไปพร้อมพวกหูอี้ฟาน ไม่แน่อาจจะได้กินมื้อค่ำกับพวกเขาด้วยก็ได้
…………………..
เมื่อออกมาจากโรงละครเล็ก ๆ ก็เป็นเวลา 6 โมงครึ่งแล้ว
หลิวจือเซียที่เดินตามหลางเวิ่นซิงทันเอ่ยขึ้นว่า “พี่ซิง พี่นัดเพื่อนกินข้าวตั้งแต่เมื่อไหร่กันครับ ? ”
“ก็นายไม่ใช่หรือไง ? ” หลางเวิ่นซิงหัวเราะออกมา “มีความสุขขนาดนี้ เดี๋ยวฉันจองที่ไว้ อย่าไปกินร้านเก่า ๆ ของเหล่าจางนั่นบ่อยนักเลย”
“พี่ซิง คำพูดนี้ของพี่ถ้าพี่หาวได้ยินเข้าล่ะก็ เขาต้องเอาพี่ตายแน่ ! ” หลิวจือเซียถึงกับพูดไม่ออก สองคนนี้ทำตัวเป็นพ่อแง่แม่งอนไปได้
“กริ๊ง ! ”
เอ่ยเพียงเท่านั้น จู่ ๆ มือถือของหลิวจือเซียก็ดังขึ้น เมื่อเขาล้วงมือถือขึ้นมาดูชื่อที่ปรากฎบนหน้าจอ ก็อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าอ่อนโยนออกมา “ฮัลโหล ! ”
“ฮัลโหล ใช่คุณพ่อไหมคะ ? ” เสียงที่ยังพูดยังไม่ค่อยชัดนักของเยว่เยว่ ก็ดังออกมาจากมือถือ
หลางเวิ่นซิงที่กำลังจะแอบฟัง เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเล็ดลอดออกมาจากโทรศัพท์ก็นิ่งไป ก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปปล่อยให้สองคนพ่อลูกได้คุยกัน
“นี่พ่อเอง ! ” หลิวจือเซียหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “วันนี้เยว่เยว่เป็นเด็กดีหรือเปล่า คิดถึงพ่อไหม ? ”
“เยว่เยว่เป็นเด็กดีมากเลยค่ะ ! ” เยว่เยว่ออดอ้อนขึ้นมาทันที “แล้วก็ แล้วก็เยว่เยว่คิดถึงคุณพ่อด้วยค่ะ คุณพ่อคิดถึงหนูไหมคะ ? ”
“คิดถึงแน่นอนอยู่แล้ว ! ” รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิวจือเซียกดลึกมากขึ้น “เมื่อเช้าคุณครูสอนอะไรหนูบ้าง ? ”
“สอนพวกเราวาดภาพค่ะ ! ” เยว่เยว่เอ่ยอย่างออดอ้อน “หนูวาดรูปลูกเป็ดขี้เหร่ พี่ฮันวาดหงส์ขาว คุณครูยังชมพวกเราด้วยนะคะว่าวาดสวย ! ”
“เยว่เยว่เก่งจังเลย ! ” หลิวจือเซียเอ่ย “คืนนี้พ่อจะให้รางวัลด้วยการเล่านิทานให้ฟังเรื่องหนึ่งดีไหม ? ”
“หนู หนูขอสองเรื่องได้ไหมคะ ? ” เสียงของเยว่เยว่ฟังดูคาดหวัง
“ไม่...” หลิวจือเซียแสร้งหยุดชะงัก “ไม่เล่าเรื่องเดียว แต่พ่อจะเล่าให้ลูกฟังสองเรื่องเลย ! ”
“เย้ ดีจังเลย ! ” เสียงของเยว่เยว่น้อยเต็มไปด้วยความดีใจ “หนูหนึ่งเรื่อง พี่ฮันหนึ่งเรื่อง เธอต้องดีใจมากแน่ ๆ เลยค่ะ ! ”
“เด็กคนนี้นี่ ! ” หลิวจือเซียหัวเราะออกมา
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว