ดุจดังมธุรส-2.ไม่มีแม่ ไม่มีใครสนใจ (2)

โดย  รสิตา เพียงพิณ

ดุจดังมธุรส

2.ไม่มีแม่ ไม่มีใครสนใจ (2)

‘ท่านชายไล่ออกไปอยู่กับชู้’

นี่คือสิ่งที่มัลลิกาได้ยินจากคนใช้ในวังที่แอบนินทาลับหลัง เด็กสาวไม่เข้าใจว่าทำไมคนพวกนั้นถึงเรียกคนรักของพี่สาวตนว่าชู้

“เขาพูดกันว่าพี่พิกุลไปกับชู้”

เธอพูดขึ้นในวันหนึ่ง หลังจากเอาแต่ร้องไห้หนักมาหลายวันแทบไม่กินข้าวกินปลา จะยอมกินบ้างก็ในตอนที่คุณหญิงจริญญาลงมาชวนไปกินขนมที่ศาสาหากก็ไม่กี่คำ ร่างเล็กผ่ายผอมลงจนช้องนางอดเป็นห่วงไม่ได้ พยายามเอาอาหารมาให้กินถึงห้องทั้งเช้าเย็น

“ทำไมล่ะจ๊ะน้าช้อง พี่พิกุลจะมีชู้ได้ยังไง”

มัลลิการู้ว่าชู้หมายถึงอะไร แต่พี่สาวของเธอยังไม่ได้แต่งงานมีครอบครัว ทำไมคนถึงพูดว่ามีชู้

“คนเขาจะพูดอะไรก็ช่างเถิด มะลิเชื่อที่น้าบอกก็พอ ว่าพี่พิกุลของมะลิกำลังมีความสุขในเส้นทางชีวิตของตัวเอง”

ช้องนางลูบศีรษะเล็กปลอบโยน คิดว่าไม่จำเป็นต้องให้มัลลิการับรู้ความเป็นไปโดยละเอียด อยากให้หลานสาวตั้งใจเรียนและมีความสุขในแบบที่เด็กสาวทั่วไปควรมี

“ถ้ามีความสุขแล้วทำไมไม่พามะลิไปด้วยล่ะจ๊ะ พี่พิกุลทิ้งมะลิทำไม”

คำถามแสนซื่อของหลานสาวพร้อมดวงตาคู่สวยที่พราวด้วยน้ำตาทำให้ช้องนางอดปวดใจตามไม่ได้

“เพราะพิกุลก็อยากให้มะลิมีความสุขเหมือนกันไงจ๊ะ”

“มะลิไม่มีแม่ แล้วก็ไม่มีพี่สาวแล้ว มะลิไม่มีความสุข ฮือออ”

“โธ่...มะลิมีน้าไงจ๊ะ”

ช้องนางดึงหลานสาวรูปร่างบอบบางมากอดแนบอก น้ำตาคลอไปด้วยแม้จะพยายามสะกดอารมณ์ตัวเองไว้อย่างเต็มที่

“อยู่ที่วัง มะลิมีน้า มีคุณหญิง ได้เรียนหนังสือ พิกุลอยากให้มะลิได้เรียนหนังสือจนจบนะลูก”

“มะลิอยากไปอยู่กับพี่พิกุล”

เด็กสาวยังยืนยันในความคิดตัวเอง ความรู้สึกถูกทิ้งไม่เป็นที่ต้องการทำให้มัลลิกาเจ็บปวดเสียใจอย่างมาก ในเมื่อเหลือเพียงสองคนที่น้องและพี่สาวก็ให้คำสัญญากับแม่ขณะที่กำลังถูกเผาหน้ากองเพลิงว่าจะดูแลเธออย่างดี ไม่ทิ้งน้อง แล้วทำไมช่อพิกุลถึงได้ทิ้งเธอไว้ที่วังคุณารักษ์

“น้ารู้ ว่ามะลิคิดว่าต่อให้ต้องไปอยู่อย่างอดๆ อยากๆ ก็ยอม ขอแค่ได้อยู่ด้วยกันกับพี่สาว แต่มะลิฟังน้านะลูก พิกุลออกไปจากวัง ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยลำแข้งของตัวเองกับคนรัก แล้วตอนนี้ก็มีลูกในท้องเพิ่มมาด้วยอีกคน พิกุลต้องดูแลตัวเอง ดูแลลูก มะลิไม่อยากให้พิกุลเหนื่อยใช่ไหมจ๊ะ”

มัลลิกานึกขึ้นมาได้ที่เห็นพี่สาวไม่สบาย

“พี่พิกุลท้องหรือจ๊ะ”

“ใช่จ้ะ พิกุลท้อง ท่านชายถึงได้ทรงอนุญาตให้ออกไปอยู่กับคนรักไงล่ะจ๊ะ”

เมื่อได้รู้อย่างนี้ทำให้มัลลิกาเริ่มคิดตามสิ่งที่น้าช้องนางบอก

“ถ้ามะลิไปอยู่ด้วย พิกุลก็ต้องพยายามหาเงินมากขึ้นอีกหลายเท่า พิกุลอยากให้มะลิได้เรียนก็ต้องดิ้นรนหาเงินส่งเสียต่อใช่ไหมจ๊ะ”

“มะลิไม่เรียนก็ได้ มะลิจะช่วยพี่พิกุลทำงาน หาเงินเลี้ยงหลาน”

“พิกุลไม่ยอมหรอกจ้ะ เชื่อน่านะจ๊ะ อยู่ที่นี่ ตั้งใจเรียน หม่อมท่านเคยสั่งไว้ว่า ถ้ามะลิกับพิกุลอยากเรียนชั้นอุดมศึกษาก็จะส่งเรียน เพราะฉะนั้นมะลิต้องเรียนเก่งๆ สูงๆ จบไปแล้วจะได้มีงานดีๆ ทำ ช่วยหาเงินเลี้ยงหลาน ถึงตอนนั้นมะลิอยากไปหา ไปเยี่ยมพิกุลเมื่อไรก็ได้ ใช่ไหมจ๊ะ”

ใบหน้าเรียวเล็กพยักรับอย่างเห็นด้วย แต่ถึงอย่างนั้นน้ำตาก็ยังเอ่อคลอ ยังเสียใจที่พี่สาวตัดสินใจทิ้งตนให้อยู่ในวังคุณารักษ์เพียงลำพัง

“ถึงพิกุลไม่อยู่ที่นี่ก็ยังติดต่อกันได้ เขียนจดหมายหากันได้นี่จ๊ะ มะลิเขียนมาฝากน้าส่งให้ก็ได้”

“น้าช้องรู้ว่าพี่พิกุลไปอยู่ที่ไหนใช่ไหมจ๊ะ”

“รู้จ้ะ”

ช้องนางยืนยันกับหลานสาว พร้อมความรู้สึกโล่งอกที่เหมือนคุยกับมัลลิกาเข้าใจแล้วเพราะเจ้าตัวสงบลงไม่ร้องไห้ฟูมฟายหนักเหมือนก่อนหน้านี้


“คะแนนภาษาอังกฤษมะลิสูงที่สุดอีกแล้ว”

คุณหญิงจริญญาหน้างอเมื่อเห็นผลการเรียนของมัลลิกาก่อนจะส่งสมุดคืน ทั้งสองแลกกันดูคะแนนเรียนโดยไม่หวง แต่ถึงอย่างนั้นมัลลิกาก็ไม่ได้ดูคะแนนคุณหญิงเพราะเกรงใจอีกฝ่าย

เมื่อรถมาจอดหน้าตึกคุณหญิงก็รีบลงพร้อมถือกระเป๋ากระโดดตัวลอยขึ้นบันไดอย่างสบายใจ สอบเสร็จปิดภาคเรียน เป็นอิสระ ไม่มีการบ้าน ไม่ต้องทบทวนวิชาที่เรียนในทุกวัน

“กระโดดตัวลอยเชียวนะหญิงเล็ก”

“พี่ชายกลาง ทำไมกลับมาเร็วล่ะคะ”

มัลลิกาที่เพิ่งปิดประตูรถชะงักเล็กน้อย หากก็หันไปมอง ยืนนิ่งมือกุมกระเป๋าตรงหน้าบันไดไม่ก้าวขึ้นไป ขณะที่คุณหญิงโผกอดคุณชายหฤษฎ์พลางหอมแก้มอีกฝ่าย แล้วคุณชายก็หอมกลับเช่นเคย

“ส่งงานแล้ว ไม่มีอะไรต้องจัดการอีกก็เลยกลับมาเลย พี่ส่งของกลับมาล่วงหน้าตั้งหลายวันแล้วนี่นา”

“ดีจังค่ะ จะได้ไปเที่ยวทะเลกันเร็วๆ พี่ชายกลางไม่อยู่ กว่าจะได้ไปทะเลก็ปีละครั้ง เพราะท่านพ่ออนุญาตให้ไปพร้อมกับพี่ชายกลางเท่านั้น ตอนนี้พี่ชายกลางกลับมาแล้วหญิงจะได้ไปทะเลบ่อยๆ แล้ว”

ห้าปีผ่านไปแล้วที่คุณชายหฤษฎ์ไปเรียนต่างประเทศ ซึ่งเวลานี้ก็สำเร็จจบกลับมาแล้ว คุณชายเรียนกฎหมายเหมือนเช่นท่านชายและคงได้เข้าไปทำงานในกระทรวงยุติธรรม มัลลิกาที่อายุย่างเข้าสิบหกปีฟังสิ่งที่ได้ยินท่านชายรับสั่งกับคุณสร้อยและน้าช้องนางอย่างเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง หากก็จดจำได้

ทว่าระหว่างที่คุณชายกลางกลับมาบ้านในทุกครั้งมัลลิกาจะพยายามเลี่ยงเสมอ สายตาที่เหลือบมองตนอย่างรังเกียจเพียงแวบเดียวในวันนั้นยังติดอยู่ในความรู้สึกของเธอ

ในเมื่อไม่ชอบก็อย่าให้เห็นหน้าจะดีกว่า

“อ้าว มะลิทำไมไม่ขึ้นมาล่ะ”

เพราะคุณหญิงหันมาเอ่ยชื่อเธอ คุณชายจึงมองตาม ดวงตาคู่คมกริบนิ่งสนิทที่จ้องมาทำให้มัลลิดาใจเต้นรัวขึ้นมาจนเหงื่อตก เกรงคุณชายกลางจะมองออกว่าตนกลัวอีกฝ่าย พยายามบังคับมือที่ยกมือไหว้คุณชายไม่ให้สั่น

“สวัสดีค่ะคุณชายกลาง”

“สวัสดี”

คุณชายหฤษฎ์พยักหน้าพลางตอบรับสั้นๆ

“เอ่อ มะลิเห็นว่าวันนี้ไม่ต้องทำการบ้านแล้ว ก็เลยจะขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปช่วยงานในครัวน่ะค่ะ”

“รีบขนาดนั้นเชียว มากินขนมด้วยกันก่อนสิ”

“พอดีน้าช้องสั่งเอาไว้น่ะค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”

เธอยกชื่อน้าสาวขึ้นมาอ้าง แล้วรีบออกไปจากตรงนี้โดยเร็ว

“อ้าว เดี๋ยวก่อน ยังคุยไม่จบเลย”

แม้ได้ยินคุณหญิงจริญญาเรียกเอาไว้ มัลลิกาก็ทำเป็นไม่ได้ยิน ก้มหน้าก้มตาเดินฉับๆ เพียงอย่างเดียว

“มีอะไรคุยกันมากมาย เรียนก็เรียนด้วยกัน อยู่บ้านก็ตัวติดกันไม่ใช่หรือ”

คุณชายหฤษฎ์ถามพลางจับศีรษะน้องสาวโยกไปมาอย่างเอ็นดู

“หญิงอยากชวนมะลิไปทะเลด้วย ครั้งนี้จะบังคับให้ไปให้ได้ ชวนเมื่อไรก็ไม่ไปด้วยสักที”

คนเป็นน้องสาวบอกขณะเดินเคียงข้างพี่ชายที่โอบไหล่ตน ทั้งยังช่วยถือกระเป๋าให้

“เขาไม่อยากไปจะบังคับเขาทำไม”

“หญิงรู้ว่าที่จริงมะลิก็อยากไปค่ะ แต่กลัว”

“กลัว?”

คิ้วเข้มของคุณชายขมวดพลางมองน้องสาวด้วยสีหน้าสงสัย

“ค่ะ มะลิกลัวน้ำ คงเพราะเคยจมน้ำมาก่อนนั่นแหละค่ะ”

สิ่งที่น้องสาวบอกทำให้คุณชายหฤษฎ์นึกขึ้นมาได้ว่า ตนเป็นผู้ที่ช่วยฉุดร่างเล็กขึ้นมาจากสระบัวเมื่อหลายปีก่อน


=====

มะลิจะได้ไปทะลไหม? ^^

เฟซบุ๊กเพจ รสิตา เพียงพิณ

https://twitter.com/rasitawriter

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว