ดั่งดวงตะวันที่ฝันหา(Bring me sunshine)-6. ขอพี่มองใกล้ๆ ว่าใช่หรือเปล่า 2/2

โดย  กรวลัญชน์

ดั่งดวงตะวันที่ฝันหา(Bring me sunshine)

6. ขอพี่มองใกล้ๆ ว่าใช่หรือเปล่า 2/2

เหลิ่งเยว่ขมวดคิ้วแน่น นางจำได้ว่าสถานที่เกิดเหตุเป็นหมู่บ้านที่เล็กมากๆ เรียกว่าหากจะให้ควานหาชนิดพลิกทั้งหมู่บ้านก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ทำไมจนตอนนี้ถึงยังไม่สามารถหาเศษกระเบื้องที่มีขนาดใกล้เคียงกับปากแผลได้เสียที

“บอกมาเถอะ” ขุนนางเคี้ยวเนื้อพลางถามเสียงเนิบอย่างใจดี “ถ้าพูดจบเจ้าก็สามารถไปจากที่นี่ได้”

“ข้า...” สีหน้านักโทษยังคงลังเล แต่พอเห็นขุนนางใช้ตะเกียบควานหาเนื้อในหม้ออีกรอบ ความอัดอั้นที่ถูกเก็บกดไว้ก็พังทลายราวไหที่ถูกทุบแตก

“ข้ารู้ว่านังสารเลวนั่นแอบเป็นชู้กับชายอื่นลับหลัง พอถูกจับได้ก็ไม่สำนึกยังกล้าขึ้นเสียงด่าข้าอีก ข้าโมโหเลยเขวี้ยงชามกระเบื้องใส่นางจนแตกไปหนึ่งใบ ข้า... ข้าแค่อยากให้นางหุบปาก ใครจะรู้...”

ขุนนางวางตะเกียบลงแล้วหยิบกระดาษและพู่กันที่เตรียมไว้ด้านหลังออกมา เขาตวัดพู่กันติดต่อกันไม่หยุดด้วยท่วงท่าราวมังกรร่ายรำ เพียงพริบตาก็บันทึกคำพูดเมื่อครู่ลงบนกระดาษอย่างไม่มีตกหล่น

“เศษกระเบื้องซ่อนอยู่ที่ใด?”

“ข้าใช้ครกทุบจนละเอียดแล้วโยนเข้าไปในเล้าไก่”

มือที่จับพู่กันชะงัก “เล้าไก่รึ?”

“ใช่! เล้าไก่! ใต้เท้าไม่เคยเลี้ยงไก่คงไม่รู้ว่าไก่กินอาหารแล้วจะจิกเอาเศษหินก้อนเล็กๆ เข้าไปด้วยเพื่อช่วยย่อย บ้านข้ามีไก่หลายสิบตัวแค่คืนเดียวก็จิกกันเกลี้ยงแล้ว ที่ข้าพูดล้วนเป็นเรื่องจริง ไม่เชื่อท่านลองไปถามไก่พวกนั้นดู”

ตามปกติคดียิ่งใหญ่โตก็จะยิ่งจัดการยาก เจ้าหน้าที่ที่ถูกส่งไปตรวจสอบจึงยิ่งมีตำแหน่งสูง คนที่เข้าใจงานชาวบ้านอย่างเช่นการเลี้ยงไก่ก็คงมีไม่มาก มิน่าผ่านมาสองเดือนแล้วยังปิดคดีไม่ได้สักที

เหลิ่งเยว่มองนักโทษที่จิตใจใกล้แหลกสลายเพราะหม้อไฟแล้วอดสงสารไม่ได้ ตอนที่อันอ๋องออกกฎห้ามไม่ให้ใช้ทัณฑ์ทรมานบังคับให้นักโทษยอมรับสารภาพ เขาคงคิดไม่ถึงว่าจะมีคนใช้วิธีกินหม้อไฟต่อหน้านักโทษอยู่ด้วยกระมัง แต่พอเทียบวิธีนี้กับการถูกตีด้วยไม้พลองหรือฟาดด้วยแส้ การกินหม้อไฟยั่วก็ไม่นับว่าแย่

ขุนนางหนุ่มไม่ถามอะไรอีก เพียงจดบันทึกอย่างรวดเร็วแล้วลุกขึ้นก้าวยาวๆ ไปที่ประตูห้องขัง จากนั้นก็เอากระดาษบันทึกคำสารภาพยัดใส่มือผู้คุม เมื่อถึงตอนนี้เขาจึงสังเกตเห็นเหลิ่งเยว่ ขุนนางหนุ่มชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะก้มหัวเล็กน้อยด้วยท่าทีเกรงใจ

เหลิ่งเยว่ยังไม่ทันก้มหัวตอบตามมารยาท ขุนนางหนุ่มก็หายลับไปจากสายตาแล้ว เหลิ่งเยว่ทันเห็นแค่เงาสีแดงวูบหนึ่งเท่านั้น

นางเคยได้ยินมานานแล้วว่าตอนที่ใต้เท้าจิ่งเป็นสหายร่วมเรียนหนังสือกับรัชทายาท เขาใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเรียนวิชาตัวเบาที่ยอดเยี่ยมแขนงหนึ่งจนสามารถเข้าออกวังหลวงที่มีการตรวจตราเข้มงวดได้โดยไม่มีผู้ใดรู้ และเมื่อต้นปีตอนพบกันในตำหนักอันอ๋อง เหลิ่งเยว่ก็ได้พิสูจน์ความจริงเรื่องนี้มาแล้ว

หากพิจารณาจากรูปกายภายนอกใต้เท้าจิ่งไม่มีลักษณะของคนที่มีวรยุทธ ท่อนขาเพรียวยาวก็ดูไม่คล้ายผู้ที่มีกำลังภายใน ตอนแรกนางจึงคิดไม่ถึงว่าคำเล่าลือจะเป็นจริง

ใต้เท้าจิ่งที่ดูคล้ายบัณฑิตหนุ่มผู้นี้ไม่ได้เรียบง่ายเหมือนอย่างที่ตาเห็น

ตอนที่เหลิ่งเยว่เดินตามมาทันที่มุมทางเดิน ชายผู้นั้นกำลังยืนพิงกำแพงอยู่ข้างโอ่งน้ำแล้วอาเจียนแทบเป็นแทบตาย นางยืนรอจนเขาหยุดอาเจียนถึงเดินเข้าไปหา แผ่นหลังชายหนุ่มขยับขึ้นลงอย่างแรงเพราะเหนื่อยจนหอบ ลมหายใจไม่เป็นจังหวะ

“เจ้าลองสิ่งนี้ดู”

ขุนนางหนุ่มหันมองด้วยความตกใจ เขาไม่คิดว่าจะมีคนยืนอยู่ด้านหลัง เหลิ่งเยว่ไม่พูดอะไรอีกเพียงยื่นขวดยาใบหนึ่งไปตรงหน้า

เครื่องแบบขุนนางขั้นสี่เป็นชุดสีแดงเข้ม ดูสุขุมสง่างามแต่ไม่ได้กดข่ม ขุนนางหนุ่มใช้ผ้าไหมสีม่วงผืนหนึ่งปิดปากเผยให้เห็นหัวคิ้วและหางตาที่ดูอบอุ่น ผ้าสีม่วงที่ปิดไว้ขับให้ใบหน้าหล่อเหลาดูละเมียดละไมไร้พิษภัย

เหลิ่งเยว่คลุกคลีอยู่ที่ซานฝ่าซือ* มานานพอควรแต่ไม่เคยเห็นขุนนางคนใดมีท่าทางเหมือนคนที่ถูกรังแกได้ง่ายๆ เช่นเขามาก่อน คล้ายกับว่าแค่นางใช้หัวแม่โป้งก็สามารถทำให้เขาเจ็บปางตายได้แล้ว

“ช่วยย่อยอาหาร” เหลิ่งเยว่เขย่าขวดยาในมือ ถือโอกาสกวาดตามองคนที่น่ารังแกตรงหน้าอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี “เจ้ากินได้ไม่จุเลย”

พอเห็นขุนนางผู้นั้นชะงัก เหลิ่งเยว่จึงเพิ่งสังเกตสภาพขวดยาในมือตัวเอง นางยิ้มมุมปาก “ถึงขวดจะดูสกปรกไปสักหน่อยแต่รับรองว่าข้างในสะอาด หากเจ้าไม่ต้องการก็แล้วไป”

พอเห็นเหลิ่งเยว่ชักมือกลับขุนนางหนุ่มพลันได้สติรีบคว้าขวดยาสกปรกไว้ เขาเปิดขวดออกแล้วเทยาสองเม็ดใส่ปาก หัวคิ้วเข้มย่นเล็กน้อย หลังกลืนยาแล้วจึงค่อยส่งขวดคืนให้ด้วยท่าทางนุ่มนวล “ขอบคุณมาก”

“เจ้าเก็บเอาไว้เถอะ เมื่อครู่หากไม่สำเร็จ เจ้าก็คงฝืนกินต่อไปสินะ”

ขุนนางหนุ่มทำท่าทางซาบซึ้งแล้วไม่ได้เกรงอกเกรงใจนางอีก เขากล่าวขอบคุณอีกครั้งก่อนเก็บขวดยาไว้ในอกเสื้อพลางยิ้มอย่างจนปัญญา

“ถึงวิธีนี้จะมีจุดอ่อนอยู่บ้างแต่ได้ผลเร็ว ช่วงที่ต้องส่งสรุปสำนวนคดี งานจะค่อนข้างมาก”

“เจ้าคือขุนนางเซ่าชิงของศาลต้าหลี่ ใต้เท้าจิ่ง จิ่งอี้ใช่หรือไม่?”

ขุนนางหนุ่มยืนนิ่งก่อนจะพยักหน้า “ใช่”

เหลิ่งเยว่กุมกระบี่ยกมือขึ้นประสานคำนับ “ข้าคือหัวหน้าหน่วยพิเศษของกรมอาญานามเหลิ่งเยว่ สามปีก่อนหลังกลับจากกองทัพในเป่ยเจียงก็มาเป็นมือปราบในสังกัดอันอ๋อง ออกทำคดีให้กับอันอ๋องในหลายเมืองจึงไม่ค่อยได้กลับเมืองหลวง เจ้าอาจจำข้าไม่ได้แล้ว”

“ข้าจำได้” จิ่งอี้ตอบหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งในชุดสีแดงเพลิงที่อยู่เบื้องหน้าด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ตอนต้นปีข้าไปตำหนักอันอ๋อง พวกเราได้พบกันที่นั่น”

สำหรับสตรีผู้หนึ่งที่มีสภาพขี้ฝุ่นเต็มหัว ใบหน้าเปื้อนดิน ตัวเลอะโคลนที่พอพบหน้ากันก็เอาแต่จับจ้องช่วงล่างของเขาตาไม่กะพริบ ไม่ว่าอย่างไรจิ่งอี้ก็ลืมไม่ลงอยู่แล้ว มาวันนี้หญิงสาวคนเดิมก็ยังแอบเหลือบมองช่วงล่างของเขาแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อเสียงจริงจัง “ข้ามาที่นี่เพื่อส่งตัวนักโทษและถือโอกาสคุยกับเจ้าเรื่องหนึ่งด้วย”

ในช่วงเวลาที่ต้องส่งสรุปสำนวนคดีเช่นนี้ จิ่งอี้มักได้ฟังเรื่องต่างๆ จากผู้ที่เกี่ยวข้องกับตำหนักอันอ๋องเกือบทุกวัน พออีกฝ่ายเกริ่นแบบนี้คำพูดที่ตามมาส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ใช่เรื่องดี จิ่งอี้จึงลอบถอนใจ ตอบกลับเสียงอ่อนโยน

“เชิญเจ้าว่ามาได้เลย”

“เย็นนี้พวกเราแต่งงานกันเถอะ”

เหลิ่งเยว่กล่าวประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงเดียวกันกับประโยคก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยน จิ่งอี้ชะงักไปครู่ใหญ่แล้วถามย้ำอย่างไม่แน่ใจ

“แต่งงานกันรึ?”

“ในเมื่อเจ้าจดจำข้าได้ก็สมควรจำสัญญาหมั้นหมายระหว่างพวกเราได้ การหมั้นหมายที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน” น้ำเสียงเหลิ่งเยว่ราบเรียบเหมือนตอนรายงานการส่งตัวนักโทษ พอเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าเปลี่ยนไป เหลิ่งเยว่ก็ช่วยทบทวนความจำให้

“ในงานเสี่ยงทายครบรอบขวบปีของเจ้าไง”

“ข้าจำได้ แต่ว่า...” จิ่งอี้มองนางอย่างงุนงงคล้ายยังสงสัยว่าตัวเองฟังผิดหรือเปล่า เขาถามเสียงเบา “เย็นนี้หรือ?”

พอเหลิ่งเยว่ได้ยินก็ฉุกคิดได้ว่าตนยังไม่ได้สอบถามความเห็นของเขา น้ำเสียงที่เอ่ยต่อจึงแฝงด้วยความรู้สึกผิด “เย็นนี้เจ้าไม่ว่างหรือ?”

จิ่งอี้นิ่งไป เขาอยากจะยิ้มทั้งน้ำตา ปัญหาไม่ใช่เรื่องว่างหรือไม่ว่างสักหน่อย “นับว่าว่างอยู่...”

ไม่รอให้จิ่งอี้พูดจบ เหลิ่งเยว่ก็ถอนหายใจโล่งอกแล้วสรุปเรื่องหมั้นหมายไม่ต่างจากสรุปคดี

“ดี! ข้าเองก็ว่าง ถ้าเช่นนั้นเย็นนี้เจ้ากับข้าแต่งงานกัน ตอนนี้ข้าขอกลับไปรายงานตัวที่ตำหนักอันอ๋องก่อน ส่วนเจ้าก็จัดการธุระไป เสร็จเรื่องแล้วไปรับตัวข้าที่นั่น ตกลงตามนี้นะ! เจ้ามีปัญหาอื่นอีกไหม?”

เหลิ่งเยว่วางแผนแต่งงานลื่นไหลดุจสายน้ำ จิ่งอี้ฟังแล้วคล้อยตามจนเผลอตกปากรับคำ “ได้”

“ตอนเย็นพบกัน”

“ตอนเย็นพบกัน”

กระทั่งเงาร่างของเหลิ่งเยว่หายลับไปจากสายตานานแล้ว จิ่งอี้ที่ยืนอยู่เพียงลำพังตรงมุมทางเดินพลันได้สติ เมื่อครู่เขา...

รับปากว่าเย็นนี้จะแต่งงานกับนาง!

จิ่งอี้ล้วงเข้าไปในอกเสื้อ ควานหาขวดยาที่มีไออุ่นซึ่งไม่รู้ว่าเป็นของเขาหรือว่าของนางออกมา พอมองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ

เรื่องที่ควรมาในที่สุดก็มาแล้ว

--------------------------------------------------------

ซานฝ่าซือ * หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั้งสาม

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว