ฤดูใบไม้ร่วงเดือนแปด ท้องฟ้ายามเช้าตรู่ใสกระจ่างดั่งผืนน้ำ
เหลิ่งเยว่หยุดม้าสีพุทราแดงที่วิ่งมาไกลจนใกล้สิ้นลมที่หน้าประตูใหญ่ของศาลต้าหลี่ นางพลิกตัวลงจากหลังม้าแล้วส่งบังเหียนให้ผู้คุมสองคน จากนั้นลากบุรุษร่างสูงใหญ่เกือบแปดฉื่อที่ถูกมัดแน่นหนาเหมือนหมูรอเชือดส่งให้ขุนนางอาวุโสคนหนึ่งที่ยืนรออยู่หน้าประตูศาล
“บรรพบุรุษของข้าเอ๋ย หัวหน้าเหลิ่งช่างยอดเยี่ยมนัก!” ขุนนางผู้นั้นมองบุรุษร่างใหญ่เครายาวที่ถูกมัดด้วยสายตาชื่นชมราวกับกำลังมองหญิงงามที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ น้ำเสียงสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น
“ราชสำนักมีคำสั่งให้จับโจรร้ายคนนี้มาหลายปีแล้ว ในที่สุดมันก็ตกอยู่ในกำมือของหัวหน้าเหลิ่ง นี่มัน... นี่มันช่าง...” เขาเลือกคำอยู่นานก็ไม่อาจหาถ้อยคำที่เหมาะสม สุดท้ายจึงเอ่ยคำคล่องปากที่สุดออกมา
“ช่างเป็นบุพเพวาสนา!”
คำพูดนี้ทำให้เหลิ่งเยว่รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นางหันมองโจรที่ถูกลากมาอย่างไม่ปรานีจนอาเจียนไปหลายรอบ ชายผู้นี้ตัวหนักมากขนาดผู้คุมสองคนแทบยกไม่ขึ้น หญิงสาวใช้หลังมือเช็ดหน้าที่ไม่ได้ล้างมาหลายวันพลางคิดว่าวาสนาน้อยนิดกับบุรุษที่ผู้เฒ่าจันทราให้มาคงถูกตนใช้ในการจับโจรร้ายคนนี้จนหมดแล้ว
เมื่อนึกถึงบุรุษ เหลิ่งเยว่ก็คิดถึงอีกเรื่องซึ่งทำให้นางต้องออกจากเหลียงโจวกลับมาเมืองหลวงโดยไม่ได้หยุดพักทั้งวันทั้งคืน “ใต้เท้าโจว ข้าได้ยินว่าใต้เท้าจิ่งแห่งศาลต้าหลี่อยู่ที่นี่ใช่ไหม?”
“อยู่สิ อยู่แน่นอน หลายวันนี้มีการสอบสวน พอฟ้าสว่างใต้เท้าจิ่งต้องมาอยู่ที่นี่กับโจรชั่วทุกวัน ช่างลำบากจริงๆ”
“ข้าอยากคุยกับเขา”
“เมื่อครู่เห็นเขาอยู่ที่ห้องอักษรไป๋ ท่านรีบเข้าไปเถอะ ข้าจะเอาเจ้านี่ไปขังให้เรียบร้อยแล้วลงบันทึกให้ ท่านจะได้ไม่ต้องยุ่งยาก”
“ขอบคุณใต้เท้าโจว”
“ขอบคุณข้าทำไม” ใต้เท้าโจวโบกมือปฏิเสธวุ่นวาย “ราชสำนักต้องเป็นฝ่ายขอบคุณท่านต่างหาก”
ห้องขังของศาลต้าหลี่เรียงลำดับตามตัวหนังสือในคัมภีร์พันอักษร
ห้องอักษรไป๋อยู่ในบริเวณห้องคุมขังทั่วไป แต่ละห้องมีเพียงกำแพงและหน้าต่างบานเล็ก บนพื้นปูหญ้าแห้งรองไว้หนึ่งชั้นนอกจากนั้นก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก ไม่ว่านักโทษจะกินดื่มหรือขับถ่ายล้วนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมนี้ ดังนั้นต่อให้เป็นกลางฤดูหนาวก็ยังมีกลิ่นเหม็นจนผู้คนสุดทน เวลาขุนนางทั่วไปทำคดีจึงมักจะนำนักโทษไปยังห้องทรมานหรือไม่ก็สอบถามจากประตูทางเดิน ไม่รู้ว่าใต้เท้าจิ่งคิดอะไรอยู่ถึงได้พาตัวเองเข้ามาข้างใน
เหลิ่งเยว่ขมวดคิ้วอดทนต่อกลิ่นเหม็นไปตลอดทาง พออยู่ห่างห้องอักษรไป๋ราวสี่ห้าห้องพลันได้ยินเสียงหนึ่งที่ไม่เข้ากับบรรยากาศรอบด้าน เป็นน้ำเสียงนุ่มนวลแผ่วเบาในลำคอ
“เนื้อแพะฤดูนี้นุ่มกำลังดีจริงๆ เจ้าลองคิดดูอีกที ไม่ต้องรีบร้อน”
ในสถานที่เช่นนี้ยังสามารถพูดคุยเรื่องอาหารด้วยจิตใจสงบและน้ำเสียงเป็นมิตร ฟังแล้วราวกับไม่ใช่บัณฑิตหนุ่มน้อยที่เพิ่งได้รับตำแหน่งงานในศาลต้าหลี่ที่นางเคยเจอในตำหนักอันอ๋องเลย
หรือในศาลต้าหลี่ยังมีใต้เท้าจิ่งคนอื่นอีก?
เหลิ่งเยว่เดินพลางทบทวนว่ามีคดีไหนที่เกี่ยวข้องกับเนื้อแพะบ้าง จมูกที่เคยได้แต่กลิ่นเหม็นเน่าระหว่างทางเหมือนได้กลิ่นหอมของเนื้อลอยมา ยิ่งเดินไปข้างหน้ากลิ่นหอมยิ่งชัดเจน
กลิ่นหอมเช่นนี้ช่างเหมือนกับ...
หม้อไฟ!
พอถึงตรงนี้เหลิ่งเยว่ก็สะบัดหน้าไล่ความคิดไร้สาระออกไป เหลวไหลน่า! ใครจะมากินหม้อไฟในคุกที่มีกลิ่นเหม็นตลบไปทุกด้านแบบนี้เล่า นางคงสับสนเพราะยังไม่ได้กินมื้อเช้า พอเดินไปถึงห้องคุมขังอักษรไป๋แล้วเห็นคนที่อยู่ด้านใน เหลิ่งเยว่ก็หยุดนิ่งหน้าประตู
ในห้องขังสกปรกมีคนกำลังกินหม้อไฟจริงๆ!
ขุนนางฝ่ายบุ๋นขั้นสี่ท่าทางคล้ายบัณฑิตคนหนึ่งกำลังนั่งเผชิญหน้ากับนักโทษที่ถูกใส่ตรวนมือเท้าโดยมีโต๊ะตัวไม่ใหญ่นักคั่นกลาง บนโต๊ะมีหม้อไฟที่มีควันร้อนลอยกรุ่น ขุนนางชุดแดงใช้ตะเกียบควานหาเนื้อแพะที่เพิ่งจุ่มลงไป เมื่อคะเนจากชามเปล่าทางด้านซ้าย เขาคงกินหม้อไฟนี้มาได้สักพักแล้ว
ในหม้อไฟเป็นน้ำแกงแบบข้นผสมน้ำมันพริก ทั้งยังใส่เครื่องปรุงเสริมรสชาติลงไปอีกไม่น้อย ยิ่งต้มนานกลิ่นหอมก็ยิ่งเข้มข้นจนกลบกลิ่นเหม็นสุดทนในห้องขังได้หมดสิ้น นักโทษผู้นั้นถึงกับกลืนน้ำลายไม่หยุด น่าเสียดายที่มือเท้าไม่อาจขยับจึงได้แต่จ้องหม้อไฟจนตาแทบจะหลุดออกมานอกเบ้า!
ขุนนางผู้นั้นไม่สนใจว่ามีคนอื่นยืนอยู่หน้าประตูห้องขัง พอเนื้อแพะในหม้อได้ที่ก็คีบขึ้นมาพลางมองนักโทษด้วยสายตาเป็นมิตร เอ่ยอย่างใจดี “คิดดีแล้วก็บอกมาเถอะ เจ้าใช้อาวุธอะไรปาดคอเมียตัวเอง?”
นักโทษคนนี้ปาดคอเมียตนเองงั้นหรือ...
พลันเหลิ่งเยว่ก็คิดถึงคดีหนึ่งขึ้นได้ ตอนที่รับคำสั่งให้จับนักโทษกลับเมืองหลวง สำนักตรวจการเมืองซูโจวจับนักโทษคดีสังหารได้คนหนึ่ง นักโทษคิดว่าภรรยาของตนกับเพื่อนบ้านลักลอบมีความสัมพันธ์กันก็เลยบันดาลโทสะฆ่าปาดคอเมียตนเอง คดีนี้ทั้งเวลา สถานที่เกิดเหตุ พยานบุคคลและทุกคำให้การล้วนชี้ไปที่ตัวสามี แต่เพราะหาอาวุธสังหารไม่พบ ตัวสามีเองก็ยืนกรานเสียงแข็งไม่ยอมรับ นักโทษจึงยังเป็นแค่ผู้ต้องสงสัย สำนักตรวจการซูโจวทำได้แค่ขังเขาไว้แต่ไม่อาจปิดคดีจากนั้นก็ส่งรายงานมายังเมืองหลวง
คดีนี้เกิดขึ้นตั้งแต่สองเดือนที่แล้ว ว่ากันตามหลักการทางเมืองหลวงต้องส่งคนไปตรวจสอบซ้ำเรียบร้อย ถ้าจนป่านนี้ยังไม่สามารถสืบหาอะไรเพิ่มเติมได้ก็คงไม่อาจกล่าวโทษว่าสำนักตรวจการเมืองซูโจวไร้ความสามารถ
“ข้า...” แม้นักโทษจะถูกกลิ่นหอมเข้มข้นล่อลวงแต่ก็ยังยืนยันหนักแน่น “ข้าไม่ได้ฆ่าเมียตัวเอง!”
“เอาเถอะ”
ขุนนางไม่มีท่าทีว่าจะมีโทสะ เพียงแต่ยิ้มแสดงความเสียดายก่อนจะคีบเนื้อแพะอีกชิ้นขึ้นมาจากหม้อแล้วจิ้มในถ้วยน้ำจิ้มจากนั้นก็ส่งเข้าปากเคี้ยวช้าๆ
คนผู้นี้หน้าตาหล่อเหลา ท่าทางยามกินก็สง่างาม โดยเฉพาะยามที่ดวงตาหลับพริ้มขณะปากขยับเคี้ยวเป็นจังหวะเชื่องช้าราวกับกำลังลิ้มรสสุดยอดอาหารที่พันตำลึงทองก็ยากจะหาซื้อ ทำให้กระเพาะของเหลิ่งเยว่ที่หดเกร็งเพราะความเหม็นเน่าในคุกเริ่มรู้สึกหิวขึ้นบ้างแล้ว กระทั่งนักโทษที่ใจแข็งปากแข็งมานานก็ยังลืมตัวอ้าปากค้างจนน้ำลายไหลย้อย ดวงตาจ้องเนื้อแพะเขม็ง
ขุนนางละเลียดเคี้ยวเนื้อแพะอย่างสงบเงียบ ท่วงท่างดงามราวกำลังร่ายโคลงกลอน ฉับพลันเขาก็ลืมตาขึ้น ดวงตาฉายแววคมกล้าขณะตะคอกถามเสียงดังโดยไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว
“เมียของเจ้าตายอย่างไร!”
“ข้าใช้กระเบื้อง...” นักโทษสะดุ้งแล้วเผลอตอบออกมาอย่างใจลอย เพียงพริบตาก็ได้สติคืนมาแล้วยืนยันคำตอบเดิมเสียงแข็ง “ข้าไม่ได้ฆ่าเมียตัวเอง! ที่นางตายไม่ใช่ฝีมือข้า!”
เหลิ่งเยว่ขมวดคิ้ว อาวุธสังหารคือกระเบื้องงั้นหรือ?
ชามกระเบื้องสามารถใช้ปาดคอคนได้ด้วยหรือ แสดงว่าชามกระเบื้องคงถูกทุบให้แตกเป็นเศษก่อนใช่ไหม?
ขุนนางยิ้มอย่างเสียดายอีกครั้งจากนั้นก็คีบเนื้อแพะจุ่มลงในหม้อไฟแล้วแกว่งไปมา เขาคีบเนื้อแพะขึ้นมาดูสองครั้ง พอสุกได้ที่ก็จิ้มน้ำจิ้มแล้วส่งเข้าปาก
“อื้ม...อร่อยมาก”
ทั้งสีหน้าท่าทางและน้ำเสียงคนพูดกัดกร่อนจิตใจคนฟังยิ่งกว่าการตะคอกข่มขู่ นักโทษที่ถูกใส่ตรวนมือเท้ามีท่าทีราวกับถูกขนเม่นแทงก้น เริ่มอดกลั้นไม่ไหวแล้ว
“ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น! ท่านต้องปล่อยข้าไป!”
ขุนนางผู้ทำหน้าที่สืบสวนไม่สนใจ ทำตัวเหมือนคนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงโวยวายของนักโทษ สองตามองแต่ในหม้อไฟ “อื้ม... น้ำแกงเข้มข้นได้ที่แล้ว ควรเอาเต้าหู้มาใส่เพิ่มสักหน่อย”
“ปล่อยข้าออกไป!”
ขุนนางวางตะเกียบไว้บนชามแล้วหยิบชามใส่เต้าหู้ที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งขึ้นมา เขามองเต้าหู้ในชามด้วยสีหน้าลังเลก่อนจะหันไปหยิบชามเนื้อปลาสดขึ้นมาด้วย เขามองทั้งสองชามสลับไปมาด้วยสีหน้าคิดหนัก จากนั้นวางชามเนื้อปลาลง ปากก็พึมพำ
“เนื้อปลาเดี๋ยวค่อยลวก หั่นบางขนาดนี้แค่โดนน้ำแกงก็สุกกินได้แล้ว”
“ปล่อยข้าออกไป!” นักโทษตะโกนก้องห้องขัง เสียงตรวนกระทบกันดังแสบหู
ขุนนางใช้ตะเกียบควานหาเนื้อในหม้อ ปากก็ยังพร่ำไม่หยุด “ตอนนี้ต้องกินผ้าขี้ริ้ว* ก่อน ถ้าต้มนานกว่านี้จะเละแล้วไม่อร่อย”
“ปล่อยข้าออกไป!”
“อา... เจอแล้ว!” ขุนนางคีบผ้าขี้ริ้วเข้าปาก “เมียเจ้าตายได้อย่างไร?”
“ข้าใช้เศษกระเบื้อง...”
พอหลุดปากอีกครั้งแม้ได้สติกลับมาก็ไม่ทันแล้ว นักโทษตัวแข็งทื่อ ใบหน้าแข็งค้าง
เป็นเศษกระเบื้องจริงๆ...