ด้วยสองมือ(มีe-book)-บทที่สิบสอง

โดย  ต้นกล้าที่เบ่งบาน

ด้วยสองมือ(มีe-book)

บทที่สิบสอง

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เมื่อครู่คนทั้งสองที่คุยเรื่องเครียดกันอยู่พลันก้มลงตรวจสอบบาดแผลของตนเอง ซึ่งก็จริงอย่างที่หลิวเจี้ยนกล่าว แขนซ้ายของหนานหงส์ชุนที่ซ้นจากการหลบหนีเมื่อก่อนหน้า อาการปวดอาการตึงต่างเบาทุเลาลง ด้านซุนโหวหวังเองก็เช่นกัน แผลพุพองตามตัวก็เหมือนจะสมานกันได้เร็วกว่าปกติแถมซี่โครงซี่ที่หัก ดูเหมือนจะผสานได้ดีอย่างหน้าเหลือเชื่อ แม้จะมีโอสถต่อกระดูกก็ตามที แต่ฤทธิ์ของโอสถนั้น..อย่างไรก็ไม่ควรต่อกระดูกซี่โครงได้เร็วไวเช่นนี้ อย่างน้อย ๆ ต้องใช้เวลาถึงสี่วันในการสมานต่อกระดูก ทว่าตอนนี้ซุนโหวหวังลองกดตรงซี่โครงตรงนั้นเบา ๆ มันกลับแค่รู้สึกเจ็บจี๊ด ๆ เท่านั้น ไม่ได้รู้สึกปวดเหมือนครั้งก่อนหน้า ส่วนหนานหงส์เซียไม่ต้องพูดถึง นางตอนนี้สามารถเดินตัวตรงได้อย่างคล่องแคล่วโดยที่นางไม่รู้ตัว ซ้ำแผลจากคมเขี้ยวอสูรที่หัวไหล่เองก็คล้ายจะสมานติดกันดีแล้ว


“เกลอ.. ใช่ที่นี่ที่..ที่เจ้าเห็นในนิมิตที่ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งชี้ทางให้เอ็งมาหรือไม่?” คราแรกซุนโหวหวังไม่อยากเชื่อนัก ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองนั้นมันแปลกพิศดาลเกินไป แผลของตนเองที่ควรจะรักษาได้ในระดับนี้คืออย่างน้อยต้องสี่วัน แต่ไหนเลยใช้เวลาเพียงชั่วยามกว่า ๆ เท่านั้น


“แปบนะ.. เนตรจ้าวมังกร!!” ดวงตาของคนเรืองแสงสีทองสว่างโรจน์ สิ่งที่หลิวเจี้ยนแลเห็นผ่านดวงเนตรพิเศษนั้นปรากฏเป็นรูปอักษรบางอย่างที่ยากจะเข้าใจ ซ้ำรูปแบบอักขระมากมายที่ปรากฏขึ้นมานั้นล้วนแล้วแต่มีพลังปราณไหลเวียนราวกับสายน้ำคอยหล่อเลี้ยงอักขระปราณนั้นอยู่

“ข้าว่าใช่..โหวหวัง ต้องใช่ที่นี่แน่!! ข้ามั่นใจ!!”


“นิมิตจากผู้ก่อตั้ง?” หนานหงส์ชุนกล่าวถามออกไปด้วยความมึนงงสงสัย


“บอกเจ้าตามตรง..หงส์ชุน ที่พวกข้าเลือกมาทำภารกิจส่งสินค้าที่เมืองมังกรธารา เพราะข้ารู้ความลับบางอย่าง ป่าทางตอนเหนือของเมืองมังกรธารา หรือก็คือป่าแห่งนี้มีสถานที่ลึกลับสถานที่หนึ่ง ซึ่งข้าเดาว่าน่าจะเป็นสุสานหรือสถานที่อันพิเศษบางอย่างของผู้ก่อตั้งแห่งสำนักสี่ขุนเขา ซึ่งสถานที่นั้น..ก็เหมือนจะเป็นที่นี่ ไม่สิ.. มันคือที่นี่แน่นอน!”

หลิวเจี้ยนกล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น ตัวคนยังคอยกวาดสายตามองไปทั่วทุกที่ทุกบริเวณ

บุรุษคิ้วบางอยากจะรู้นัก ว่าภายในถ้ำแห่งนี้ยังมีสิ่งอื่นที่น่าอัศจรรย์มากกว่านี้อยู่อีกหรือไม่ ถ้ามีเพียงความสามารถในการฟื้นฟูรักษา หลิวเจี้ยนคงรู้สึกผิดหวังแย่


“สุสานของผู้ก่อตั้งสำนักสี่ขุนเขาผู้ไร้นามผู้นั้น?” หนานหงส์ชุนถึงกับกล่าวออกมาด้วยความตื่นตกใจ แน่นอนว่าผู้ที่สามารถคิดค้นวิชากระบี่อันสุดยอดเช่นวิชากระบี่โบยสวรรค์ขึ้นมาได้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป คนผู้นั้นต้องมีหลายสิ่งหลายอย่างเก็บซ่อนเอาไว้อีกแน่นอน


“อาจใช่หรืออาจไม่. . .” หลิวเจี้ยนกล่าวยิ้ม ๆ “ไหนดูสิ้..ว่าผู้ก่อตั้งชี้นำให้ข้ามาพบกับสิ่งใด..”

กล่าวจบบุรุษคิ้วบางที่มีดวงเนตรสีทองก็ได้เดินตรงอาด ๆ เข้าไปในส่วนลึกของถ้ำแห่งนี้ในทันที ตัวคนกวาดมองซ้ายขวาด้วยความอย่างละเอียด และตามความคิดของหลิวเจี้ยน สถานที่..ที่พิเศษแบบนี้น่าจะมีการวางกับดักเอาไว้ มิเช่นนั้นกว่าหลายพันปีคงมีคนรู้เรื่องสถานที่แห่งนี้ไปนานแล้วหากไม่มีการวงกลไกเอาไว้


ด้านสองพี่น้องราชวงศ์หนานเองก็ช่วยกันหิ้วปีกซ้ายขวาของซุนโหวหวังเดินตามหลิวเจี้ยนไป อย่างระมัดระวัง ทว่าเดินมาได้ถึงจุดหนึ่ง หลิวเจี้ยนก็สัมผัสได้ว่ารูปแบบของอักขระนั้นเปลี่ยนไป ซ้ำพลังการรักษานั้นก็ได้จืดจางและเบาบางลงเพราะตอนนี้ หลิวเจี้ยนรู้สึกได้ว่าการใช้เนตรจ้าวมังกรของตนนั้น ได้ผลาญพลังปราณลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่จุดที่มีการเปลี่ยนไปของอักขระปราณ

ด้านหลิวเจี้ยนต่างยืนนิ่งกางแขนเป็นการบอกสหายของมันทั้งสามว่าอย่าได้ขยับไปไหนให้รอสัญญาณจากตน

เนตรสีทองของหลิวเจี้ยนกวาดมองไปรอบ ๆ ทางปลายสุดหางตาของคนนั้นเห็นกองกระดูกหลายกองสุมอยู่ทางฝั่งขวาของถ้ำ

“คิดไว้ไม่มีผิด..” แล้วเป็นอย่างที่หลิวเจี้ยนคิด “จากตรงนี้ไป.. ข้าเคลื่อนไหวอย่างไร.. พวกเจ้าก็จงเคลื่อนไหวอย่างนั้น อย่าได้บิด..อย่าได้ทำแปลก.. ข้าเชื่อว่าน่าจะมีกับดักขวางทางเราพวกอยู่”

กล่าวถึงตรงนี้ ดวงเนตรสีทองของหลิวเจี้ยนก็ได้เคลื่อนมองไปที่สหายคนสนิทของมัน “เจ้าไหวหรือไม่โหวหวัง?”

ด้วยสภาพร่างกายของซุนโหวหวังจึงทำให้หลิวเจี้ยนรู้สึกเป็นห่วง กลัวว่าหากเกิดอะไรขึ้นด้วยอาการบาดเจ็บของมัน การตอบสนองของมันคงจะเชื่องช้าจนไม่อาจหลบกับดักเหล่านั้นได้


“สบาย..สบาย ความจริงฉันเดินเองไหวตั้งนานแล้ว ให้วิ่งก็ยังได้.. ฉันเพียงอยากอ้อน...” สายตาของซุนโหวหวังรีบเลื่อนมองไปที่หนานหงส์เซีย ซึ่งทางฝ่ายหญิงสาวก็ได้แค่เพียงก้มหน้าหลบตาแต่ก็ไม่ได้ปล่อยมือออกจากตัวของบุรุษคนที่นางโอบช่วยพยุงแต่อย่างใด


“???” หนานหงส์ชุนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็ได้แต่สาดสายตามองไปทั่วอย่างมึนงงสงสัยแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกไป


หลิวเจี้ยนได้แต่กลอกตาสีทองของตนเองแล้วจึงมองไปที่หนานหงส์เซียราวกับกำลังสื่อว่า ' ข้าเป็นปีศาจหื่นกามแต่เจ้ากลับให้ไอ้หื่นอย่างมันพิงโอบเนี่ยนะ? '

“เอาล่ะ.. ถ้าไหว.. ก็จงตามข้ามาเรื่อย ๆ และทำตามที่ข้ากล่าวไปเมื่อครู่” หลิวเจี้ยนผินกายกลับไปที่เดิม ทุกย่างก้าวที่ก้าวเดินต่างคิดพิจารณาอย่างถี่ถ้วน มันต้องใช้เนตรจ้าวมังกรตรวจสอบพื้นที่มันเหยียบซ้ำหลายรอบก่อนจะวางเท้าลงไป

ทางด้านหลังคนทั้งสามก็คอยเดินคอยย่ำเหยียบจุดเดิมที่หลิวเจี้ยนเคยเหยียบอย่างเคร่งครัด ตอนนี้สิ่งที่น่าไว้ใจที่สุดคือพื้นตรงที่คนด้านหน้าของพวกมันเดินเหยียบแล้วไม่มีอะไรแปลก ๆ พุ่งออกมา


กลุ่มคนทั้งสี่ใช้เวลาเดินเข้าไปส่วนลึกของถ้ำราว ๆ สามชั่วยามกว่า ๆ ตลอดทาง ยิ่งลึก..ซากโครงกระดูกต่าง ๆ ยิ่งบางตา ตั้งแต่ครึ่งชั่วยามก่อนก็ไม่มีซากคนให้ได้เห็นแล้ว เท่ากับว่าจุดที่พวกมันมาถึงนี้ คือความก้าวหน้าที่สุดของบรรพบุรุษที่ตายกราดตามรายทาง

หลิวเจี้ยนใช้เวลาเพิ่มอีกครึ่งชั่วยามก็สามารถนำทางสหายทั้งสามของมันมาถึงยังจุดหนึ่ง ทางเบื้องหน้าของพวกมันในตอนนี้มีประตูบานใหญ่สองบานที่ทั้งกว้างและสูงมากโดยทางฝั่งชิดขอบของประตูทั้งสองบาน ก็ได้มีรูปปั้นมังกรขนาบอยู่ตามทางทั้งสองข้าง

หลิวเจี้ยนเดินนำกลุ่มมาจนเหลือระยะห่างกับประตูเพียงสิบเมตร จู่ ๆ ดวงตาของรูปปั้นมังกรทั้งสองตนก็ได้ส่องสว่างออกมาด้วยสีสี่สี โดยมังกรตัวขวามีดวงเนตรสีน้ำเงินและน้ำตาล ตัวซ้ายเป็นสีแดงและเทาขุ่น..อย่างละข้าง อีกประตูบานใหญ่นั้นที่แต่ละบานกว้างกว่าห้าเมตรและสูงสามสิบเมตรยังมีรูปดวงตาดวงใหญ่ผสานกันอย่างกลมกลืนไม่เห็นแม้แต่รอยต่อของช่องประตูเลย ซ้ำดวงตาดวงนั้นยังเปล่งแสงสีทองออกมาทำให้พื้นที่โดยรอบภายในถ้ำนั้นสว่างเป็นอย่างมาก

ยิ่งเดินเข้าใกล้ ประตูบานนั้นที่หลิวเจี้ยนมองเห็นยิ่งดูน่าเกรงขามพิกล เพราะทั้งประตูและรูปปั้นมังกรอย่างละคู่นั้นดูใหม่มาก ราวกับพึ่งแกะสลักจัดสร้างเมื่อวานนี้เอง มันแตกต่างกับโครงกระดูกที่นอนเกลื่อนอยู่ตามไหล่ทางที่ทั้งดูเก่าดูผุเป็นอย่างมาก


“จากตรงนี้ไม่มีกับดักแล้วละ..” หลิวเจี้ยนกล่าวพร้อมกับคลายเนตรสีทองของตนเองลงแล้วจึงนวดลูกกระตาของตนเอง บุรุษคิ้วบางรู้สึกปวดล้าดวงตาเป็นอย่างมาก


ได้ฟังสิ่งที่หลิวเจี้ยนกล่าว คนทั้งสามที่ตามหลังต่างถอนใจอย่างโล่งอก หนานหงส์ชุนเป็นคนผู้แรกที่เดินเข้าใกล้กับประตูบานด้านซ้ายใช้ฝ่ามือลูบสัมผัสไปบนบานประตูบานนั้นแล้วจึงออกแรงลองผลักดู

ทว่าบานประตูกับนิ่งไม่ไหวติง แม้หนานหงส์ชุนจะลองออกแรงเพิ่มขึ้นแต่บานประตูบานนั้นก็ยังเฉยเมยต่อแรงของบุรุษลูกหลานราชวงศ์หนานผู้นี้

“ก็รู้อยู่หรอกว่ามันคงไม่ขยับ.. พี่หม่า.. เราควรทำเช่นไรต่อ?”


“แปบหนึ่ง!! ข้าขอพักสายตาอีกประเดี๋ยว!!” หลิวเจี้ยนยังคงหลับตาพร้อมทั้งนวดกล้ามเนื้อรอบ ๆ ตาของตนเองต่อไป


“นั่น!! ตรงแถวของประตูของแต่ละบาน มีก้อนหินยื่นออกมาด้วย” หนานหงส์เซียชี้นิ้วไปยังสิ่งที่นางเห็น

สิ่งที่หนานหงส์เซียเห็นนั้นมีลักษณะแตกต่างจากส่วนอื่นของประตูเป็นอย่างมากยกเว้นดวงตาสีทองที่สลักอยู่ตรงกึ่งกลางประตู

ประตูบานซ้ายที่หนานหงส์เซียเห็นนั้น มีแท่นหินทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสสี่ก้อน..แต่ละก้อนกระจายตัวออกไปทั้งสี่ทิศเป็นรูป (+) ซึ่งแต่ละก้อนต่างมีรูปสัญญาลักสลักไว้ในทุกก้อน ก้อนที่อยู่ด้านซ้ายก็มีรูปลูกศรที่ชี้ไปด้านซ้ายสลักอยู่ (<) ก้อนที่อยู่ด้านบนก็มีรูปลูกศรชี้ขึ้นสลักลงไป (^) อีกสองก้อนที่เหลือคือขวากับล่างก็มีสัญญาลักษณ์ทิศทางนั้น ๆ สลักลงไป (>) // (v) เช่นเดียวกัน ขณะที่อีกประตูด้านหนึ่งมีก้อนหินแบบเดียวกับบานประตูด้านซ้าย แต่ว่าบานประตูด้านนี้กลับมีเพียงสองก้อน โดยมีก้อนหนึ่งวาอยู่ทางด้านขวา อีกก้อนหนึ่งวางอยู่ตำแหน่งซ้ายล่างลงมาจากก้อนแรก แถมบนก้อนหินก้อนนั้นยังมีอักษรรูปร่างแปลกประหลาดที่หนานหงส์เซียไม่เคยเห็นสลักอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน


ซุนโหวหวังรีบเดินเข้าไปหาปุ่มนั้น สายตาของคนสอดส่องสำรวจด้วยความอย่างอยากรู้อย่างทราบ ก่อนที่ตัวคนจะค่อย ๆ คลื่นมือไปจับที่หินก้อนหนึ่ง มันใช้อังมืออยู่เหนือก้อนหินก้อนนั้นพร้อมทั้งชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ย

“ดูเหมือนมันจะกดลงไปได้ น่าจะต้องกดให้ถูกต้องเพื่อทำให้กลไกทำงาน เกลอ..เอ็งพอจะรู้หรือไม่ว่าอักษรพวกนี้สื่อถึงสิ่งใด..”


หลิวเจี้ยนที่ทนการรบเร้ารอบสองของสหายไม่ไหวจึงเลิกขยี้ตา แล้วในทันทีที่หลิวเจี้ยนเปิดเปลือกตาขึ้น ตอนนี้ดวงตาของคนนั้นแดงก่ำมีเส้นเลือดแทรกอยู่เต็มรอบข้างนัยน์ตาสีขาวของมัน

เมื่อเห็นก้อนหินทั้งหกก้อน คิ้วคู่บางของคนถึงกับยกขึ้น ก่อนเอ่ยเบา ๆ ออกมา “ไม่จริงน่า.. มันคงไม่ใช่แบบที่ข้าคิดหลอกมั้ง..”

หลิวเจี้ยนค่อย ๆ เดินอาด ๆ เข้าหาก้อนหินทั้งหกก้อนอย่างฉับพลัน มันสำรวจหินแต่ละก้อนอย่างละเอียด ซึ่งก็เป็นอย่างที่มันคิดทุกประการ หินสี่ก้อนทางด้านขวาคล้ายกับปุ่มจอยเกมส์ ด้านขวาเองก็เหมือนกับปุ่มจอยเกมส์ที่อยู่อีกฝั่งโดยปุ้มหนึ่งสลักอักษร A อีก ปุ่มสลักอักษร B


“อย่างไร? เอ็งพอรู้กลไกของมันหรือไม่” ซุนโหวหวังที่ยืนข้างกับหลิวเจี้ยนพลันเอ่ยถามเมื่อเห็นท่าทางของสหายดูประหลาดใจแปลก


“ไม่รู้” หลิวเจี้ยนกล่าวออกมา มันใช้มือลูบลงบนก้อนหินแต่ละก้อนเบา ๆ ก็เป็นดั่งที่ซุนโหวหวังกล่าว ก้อนหินพวกนี้สามารถกดให้ยุบลงไปได้

“แต่หากว่าข้าเป็นไอ้ตาทองในคำทำนายนั่นจริง สิ่งที่ข้ากดลงไปย่อมถูกต้อง..” กล่าวจบ หลิวเจี้ยนไม่ให้สัญญาณใด ๆ ทั้งสิ้นต่อพวกพ้องของมัน เจ้าคนคิ้วบางบรรจงกดก้อนหินเหล่านั้นลงไปในทันที

'ขึ้น..ขึ้น..ลง..ลง..ซ้าย..ขวา..ซ้าย..ขวา..บี..เอ!! '


แก๊ก.. บานประตูที่สูงใหญ่คล้ายเนินเตี้ยค่อย ๆ เคลื่อนขยับถอยหลังไป แสงสว่างจากด้านหลังประตูพลันสาดออกตามรอยแง้มของบานประตูทั้งสอง


หลิงเจี้ยนมองบานประตูทั้งสองที่ถอยหลังไปด้วยความแปลกประหลาดใจ

'เอาจริงดิ? สูตรสามสิบตัวจริงดิ? '

ตอนนี้หลิวเจี้ยนชักเริ่มสงสัยแล้ว ว่าคนที่ตั้งรหัสเป็นสูตรเกมส์ที่มันเคยเล่นเคยโกงนี้เป็นผู้ใดกันแน่

ไม่ใช่..

เขาเป็นคนจากยุคสมัยไหนกันแน่..

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว